ตอนที่ 787 ชักดาบฆ่าอย่างอำมหิต
ถังเทียนปรากฏอยู่หน้าเรือพู่พลิ้วราวกับภูตพราย
เขายืมกระแสลมของเรือพู่พลิ้วเหมือนกับขนนกที่ลอยตามลม แม้ว่าเรือพู่พลิ้วจะมีอุปกรณ์ป้องกันเสียงมาก แต่สำหรับถังเทียนในตอนนี้ไม่มีปัญหา
เขาได้ยินคำสนทนาที่เกิดขึ้นในเรือทั้งหมด
สภาวะใจของถังเทียนเทียนไม่ได้กระเพื่อมแม้แต่น้อยเขารู้สึกเหมือนกับที่เขาอยู่ภายในโลกลวงตาที่ซึ่งเขาเผชิญกับคนแคระพลอยน้ำเงินฟังอย่างไม่แยแส
เขาไม่ได้ตั้งใจรอต่อไปเนื่องจากการเสียเวลาไม่ใช่อุปนิสัยที่ดี หลังจากยืนยันสถานะและเจตนาของพวกนั้นแล้วว่าเป็นศัตรู ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียเวลาต่อไป
เรือพู่พลิ้วในภาพขาวดำที่ปรากฏต่อสายตาถังเทียนแตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นเห็น สายใยกฎที่เคลื่อนไหวเลือนรางและวัสดุเฉพาะที่ใช้สร้างระบบป้องกันและกฎธรรมชาติเฉพาะของมัน พร้อมกับกฎลมที่นักสู้ใช้ควบคุมกระแสลมปรากฏชัดเจนสำหรับเขา
เรือพู่พลิ้วยาว 60เมตรเหมือนกับบอลขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยกฎธรรมชาติในสายตาของถังเทียน
กฎธรรมชาติปริมาณมากอย่างน่าประหลาดคล้ายกับใยแมงมุมที่พันอยู่รอบเรือพู่พลิ้วทั้งลำ
แต่ถังเทียนสามารถหาช่องว่างขนาดต่างๆได้หกช่องภายในใยขนาดใหญ่นั้น สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ช่องว่างที่ใกล้เขาที่สุด เขายกฝ่ามือขวาเหยียดแขนเล็งตรงไปที่ด้านข้างของเรือ
ชั้นผิวของเกราะเทพเจ้ามีประกายสายฟ้าไหลผ่านทะลักไปที่ฝ่ามือของเขา ฝ่ามือขวาของเขาสว่างเจิดจ้าและรัศมีสายฟ้าเต็มฝ่ามือในปริมาณน่าทึ่ง
ซูชิงซึ่งมีสีหน้าสงสัยกำลังจะถามจี๋เจ๋อ จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดสนั่นทันที ตาของเขาเบิกกว้าง ในสายตาของเขาลำแสงสีเงินเป็นประกายแพรวพราวยิงเข้าที่ด้านซ้ายของเรือ และยิงทะลุออกด้านขวาของเรือในแนวขวางกลางเรือพู่พริ้ว
ลำแสงสีเงินหนายิงออกมาและหายไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีรูเหลือให้เห็นทางผนังด้านซ้ายและขวาในสายตาทุกคน ทุกคนตะลึงคิดว่าพวกเขาตาฝาด
เศษไม้กระดานที่แตกออกปลิวกระเด็นไปทั่ว มีร่างหนึ่งมายืนต่อหน้าพวกเขาโดยไม่มีใครรู้
เศษไม้กระดานที่ลอยอยู่ใกล้ตัวเขาถูกไฟไหม้จนเหลือแต่เถ้าในเวลานาทีเดียว
จี๋เจ๋อหน้าซีดหันไปมองและเตรียมวิ่งไปที่แสงซึ่งยิงมาและเกิดระเบิด แต่เมื่อเขาเหลือบเห็นเห็นร่างที่กระพริบจากหางตา เขารู้สึกเหมือนกับเป็นแมวที่ถูกล่ามด้วยเชือกที่มองไม่เห็น
เขาเลิกล้มความคิดจะหลบหนีและนั่งนิ่งอยู่กับเก้าอี้ไม่กล้าขยับแม้แต่นิ้วเดียว!
‘มาจากเขา!’
เขาเป็นคนแรกที่รู้สึกถึงปีศาจและเมื่อเขาคิดจะเตือนพวกที่เหลือ เขาตกใจที่ตระหนักได้ว่าสัมผัสรู้ของเขาถูกอีกฝ่ายตรึงไว้ และที่ตามมาจากนั้น อากาศรอบตัวเขาดูเหมือนจะเปิดตัว กฎธรรมชาติของเขาเองกลายเป็นซบเซาความรู้สึกของเขาที่มีต่อโลกรอบตัวของเขาถูกกักเอาไว้
เหมือนกับว่าร่างของเขาไม่สามารถควบคุมได้
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนั้น เขายังยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ไม่กล้าเคลื่อนไหว
มีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เขามีและรู้สึกในตอนแรกและความรู้สึกที่ตามมา แต่ไม่มีความต่างกันเลยในแง่ตอนจบ สายใยกฎธรรมชาติมีรัศมีอำมหิตที่เป็นเหมือนสายรัดที่มองไม่เห็นเหมือนกับถูกตรึงที่คอ ตราบใดที่เขาขยับมีแต่จุดจบที่จะเกิดขึ้นกับเขา
เป็นบางอย่างที่เขาไม่ยินดีจะเผชิญ
‘แย่จริง!’ เขารู้แล้วว่าสายใยกฎธรรมชาติที่แฝงไปด้วยรังสีฆ่าฟันตั้งใจยิงออกมาจากอีกฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าเขา เขาคงตายไปนานแล้ว
การรับรู้นี้ไม่มีประโยชน์ต่อเขา แต่กลับทำให้เขามีแต่จะเต็มด้วยความกลัว เขาไม่เคยรู้สึกจนใจแบบนี้มาก่อน
ไม้แผ่นกระดานแตกและร่วงลงไปทำให้ทั่วทั้งเรือเงียบไปหมด
เงียบราวกับป่าช้า
แก้วทั้งหมดของพวกเขาลอยขึ้นในอากาศ ทุกคนอ้าปากกว้างค้างขณะที่พวกเขาจ้องมองร่างที่ปรากฏอย่างว่างเปล่า ในพวกเขาทุกคนมีน้อยคนที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
นอกจากจี๋เจ๋อแล้ว ซูชิงรู้สึกตัวเป็นคนที่สอง เขาเป็นคนที่ผ่านโลกมามากและเอาตัวรอดได้
ปากของเขาแห้ง หัวใจของเขาเต้นแรงในที่สุดเขาก็เข้าใจทำไมจี๋เจ๋อถึงได้แสดงสีหน้าแปลก เขามองดูจี๋เจ๋อ ‘ความหยิ่งยโสของเขาหายไปไหน? เขาเป็นเหมือนแมวเชื่องถอยกลับเข้ามุมพยามแขม่วท้องอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ’
‘แม้แต่จี๋เจ๋อยังทำท่าอย่างนั้น...’
หัวใจของซูชิงกำลังเต้นแรง แต่เขาฝืนตัวเองให้สงบลง เขายื่นมือไปที่แก้วเหล้าและทำท่ากลบเกลื่อนความกลัวในใจของเขาเมื่อเขาสัมผัสแก้ว ในที่สุดเขาสงบลง
“ท่านที่นับถือมาโดยมิได้รับเชิญ ทำไมไม่มานั่งดื่มกันก่อน?”
ซูชิงยิ้ม เขาผายมือซ้ายเชื้อเชิญเหมือนเจ้าภาพที่ดีพยายามรับรองอาคันตุกะเชื้อเชิญเขาให้ดื่ม
จี๋เจ๋ออดชื่นชมชูชิงไม่ได้ก่อนนี้เขาดูแคลนเจ้าถุงใส่เหล้าผู้นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของเขา เขาคงไม่มีทางสนใจ ใครจะรู้กันว่าในสถานการณ์ร้ายแรงแบบนั้นซูชิงยังเป็นตัวของตัวเองได้ ในจุดนี้ซูชิงแข็งแกร่งกว่าเขา
หลังจากคิดถึงผลงานของตัวเองแล้วจี๋เจ๋อรู้สึกละอาย ซูชิงให้บทเรียนชีวิตเขา อย่าได้ให้คนอื่นดูแคลนเขา
ในขณะต่อมาสีหน้าของเขาชะงักค้าง
คอของซูชิงมีรอยเลือดบางๆ เขายังค้างอยู่ในท่าเดิม เว้นแต่ดวงตาที่เบิกกว้างตกใจในตัวเขาโลหิตฉีดพุ่งเหมือนน้ำพุฉีดพุ่งเต็มโต๊ะก่อนซูชิงล้มลงกับพื้น
ตาของจี๋เจ๋อแทบถลนจากเบ้า หน้าของเขาแทบไม่เหลือสีเลือดอีกต่อไป
เขาตะลึงเป็นไก่ตาแตก
ชักดาบของเขาทันทีที่เขาพบคนที่เข้ากันไม่ได้จี๋เจ๋อก็เป็นคนแบบนั้นเหมือนกัน
แต่การชักดาบฆ่าอย่างอำมหิตทันทีที่พวกเขาเข้ากันไม่ได้นับเป็นครั้งแรกของเขาที่พบคนแบบนี้
‘นั่นอำมหิตเกินไป...’
เขาพึมพำในใจ ‘คนอย่างเจ้ามีตำแหน่งสำคัญควรนั่งลงและพูดคุยกันในเวลาอย่างนี้น่ะหรือ? เจ้าเคลื่อนไหวแบบนั้นได้ยังไง? เจ้าก็ฆ่าคนทันทีที่ก้าวเข้ามาได้ยังไง?’
ตอนนี้บนเรือที่เงียบเป็นป่าช้าพลันแตกฮือเหมือนรังผึ้ง
อาคันตุกะอื่นแตกตื่นกันหมดดูเหมือนจะตื่นจากฝันกลางวัน ศพของซูชิงและเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วรวมทั้งพวกเขา
เสียงกรีดร้องสุดแรงดังขึ้น พวกเขาเป็นเหมือนยุงไร้หัวบินกันวุ่นวาย พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่บนเรือเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้องก็กระโดดออกจากเรือและเผ่นหนีโดยไม่คำนึงทุกอย่าง
แต่ก่อนที่พวกเขาจะบินไปได้ไม่เท่าใด ศีรษะของพวกเขาดูเหมือนจะปะทะบางอย่างและร่างของพวกเขาปลิวร่วงลงพื้นเหมือนกระสอบทราย
ราวกับว่าท้องฟ้าถูกห่อหุ้มเหมือนกับลูกซาลาเปา
พวกที่ช้ากว่าหยุดอยู่กับที่ทันทีไม่มีใครเห็นว่านักสู้พวกนั้นตายยังไง ความกลัวครอบคลุมจิตใจพวกเขา พวกเขาพึมพำคำพูดที่ไม่ได้ยิน หน้าพวกเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ร่างของพวกเขาสั่นสะท้าน ไม่มีใครกล้าหนีอีกต่อไป
เมื่อสูญเสียนักสู้ผู้คอยควบคุมเรือ เรือพู่พลิ้วไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไปก่อให้เกิดการตื่นตระหนก
แต่ในขณะต่อมาเรือพู่พลิ้วที่สูญเสียการควบคุมดูเหมือนจะถูกมือที่มองไม่เห็นจับไว้แน่นและเกิดความมั่นคงอีกครั้ง แขกที่ยังแตกตื่นเสียหลักกันทันทีเรือพู่พลิ้วที่มั่นคงเคลื่อนไหวทันทีทำให้พวกเขาลอยคว้างและเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง
เรือพู่พลิ้วบินเร็วขึ้น สูงขึ้นทุกที
ภายในเรือจี๋เจ๋อกัดฟันเนื่องจากฟันของเขาสั่น
เทพอสูรที่คลุมอยู่ในตัวเกราะก้าวข้ามแอ่งเลือดและค่อยๆเดินเข้ามาหาเขา
‘ดาบพิศวงจี๋เจ๋อ...ข้าคือดาบพิศวงจี๋เจ๋อ... เป็นแบบนี้ได้ยังไง...’
เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเขาถูกตรึง ฝีเท้าที่เหมือนภูตพรายของอีกฝ่ายดังเข้าหูเขา เสียงดังเหมือนอสูรเคลื่อนไหว จากนั้นเขารู้สึกว่าบ่วงที่มองไม่เห็นกระชับรัดคอเขา
เขาไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังหายใจลำบาก
‘โธ่เว้ย!’
!
‘ข้าคือดาบพิศวงจี๋เจ๋อนะเฮ้ย!’
เขาคำรามในใจ และยกมือทั้งสองอย่างว่าง่ายและใช้พลังอึดสุดท้ายพูดอย่างอ่อนล้า“ข้ายอมแพ้!”
ฝีเท้าของเทพอสูรหยุดทันที
ประโยคนี้ระบายพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเขาออกไป เขานั่งอยู่กับที่ด้วยความผิดหวัง แต่สามารถรู้สึกได้ถึงความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกในตัว ห่วงรอบคอเขาหลวมลงเขารีบสูดหายใจรับอากาศทันที แม้แต่อากาศที่ปนคาวเลือดก็ยังรู้สึกว่าอร่อยที่สุดและมีกลิ่นหอมหวานกว่าที่เคยสูดหายใจมาก่อน
‘การมีชีวิตให้ความรู้สึกที่ดีมาก’
‘ข้าแพ้ไปแล้ว ใครจะสนใจเรื่องคนอื่นจะดูถูกข้าเล่า?’
เทพอสูรที่น่ากลัวไม่ได้มองเขาแค่หมุนตัวแล้วจากไปทำให้จี๋เจ๋อเกือบร้อง เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เขาตกอยู่ในสภาพอย่างนี้
‘เป็นเพราะพวกเขาอยู่ในรายชื่อทำเนียบสุดยอดนักสู้ พวกเขานับว่าเป็นยอดฝีมือไม่ใช่หรือ?’
เมื่อนึกย้อนถึงคำพูดตัวเองจี๋เจ๋อได้แต่ฝืนยิ้ม ‘นั่นเป็นเรื่องน่ารังเกียจเกินไป!’ ตอนนี้เขาต้องการจะกลืนคำพูดเหล่านั้นลงท้องให้หมด เพราะคำพูดเช่นนั้น ทำให้เขาต้องมาพบกับคนที่กลัวอย่างนี้
ทุกคนที่กำลังกรีดร้องค่อยๆ สงบ พวกเขาทุกคนนั่งกับพื้นหน้าซีดขาวตัวสั่น ทั้งหมดยกมือขึ้นขณะที่งอตัวลงให้มากเท่าที่ทำได้ จนมองดูเหมือนกุ้งร่างไร้ศีรษะของซูชิงยังเตือนเขาไม่ให้ดึงดูดความสนใจของเทพอสูรนี้
สาวใช้พากันร้องไห้ทุกคน
จากนั้นจี๋เจ๋อจึงได้เห็นปีศาจชัดเจน
ตั้งแต่เริ่มแรกที่เขาปรากฏ ปีศาจร้ายนี่ไม่ได้พูดสักคำ ร่างของเขาไม่ใหญ่ แต่คลุมรอบไปทั้งตัวเหมือนเกราะแปลกประหลาดคล้ายกับชั้นเหล็กหลอมไม่มีรูปที่จับต้องได้
มันเปล่งรัศมีประหลาด ซึ่งส่องแสงไม่เจิดจ้า
‘นั่นเป็นโลหะเหลวแบบไหนกัน?’
จี๋เจ๋อคิดอะไรไม่ออก ถ้าเกราะอย่างนั้นเคยปรากฏมาก่อนน่าจะมีความทรงจำอยู่ในใจของเขาบ้างแน่นอน ‘ทำไมข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเกราะนี้เลย?’
ปีศาจยืนอยู่ที่กราบเรือหันหน้ารับลม
เพราะนักสู้ที่ควบคุมเรือให้แล่นไปได้ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต แต่เรือพู่พลิ้วกลับบินเร็วมากขึ้นและมั่นคงกว่าแต่ก่อน เหมือนกับว่าแล่นอยู่บนสเก็ตน้ำแข็ง เขากำลังควบคุมเรือพู่พลิ้วเองและยังทำได้โดดเด่นมากกว่านักสู้ทั้งสิบที่ฝึกมาทางกฎธาตุลม
‘บ้าเอ๊ย!ปีศาจนี้เป็นใครกันแน่!’
จี๋เจ๋อรู้สึกขมในปาก ความรู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องอุกอาจ ‘สิ่งที่ยิงผ่านเรือพู่พลิ้วก็คือกฎสายฟ้า และสิ่งที่ฆ่าซูชิงก็คือกฎอวกาศ แต่เขาใช้อะไรกับข้า?’ จี๋เจ๋อไม่รู้ ตอนนี้บุรุษผู้นี้แสดงความเชี่ยวชาญกฎลม ยิ่งจี๋เจ๋อตรวจสอบปีศาจนี้ ก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้น
สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือเป็นไปได้ยังไงเขาไม่เคยได้ยินมาแม้แต่น้อย หรืออย่างน้อยก็นึกถึงคนที่ทรงพลังเช่นนั้น?
‘เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?’
‘คนผู้นี้เป็นใคร?’
ทันใดนั้น มีแสงพุ่งวาบเข้ามาในเรือทำให้ร่างที่ยืนอยู่กราบเรืออยู่ในท่ามกลางแสง มองดูเหมือนกับเทพสงคราม
จี๋เจ๋อตะลึง
ครู่ต่อมาเขาเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ
‘ตำแหน่งนี้ก็คือ...ตรงไปเมืองพายุ!’
‘คนผู้นี้… คือบุรุษหน้ากากผี!’