ตอนที่แล้วตอนที่ 785 ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใบไม้ผลิ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 787 ชักดาบฆ่าอย่างอำมหิต

ตอนที่ 786 รู้แจ้งเกราะเทพเจ้า


ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ลุกเป็นไฟไม่ส่งผลต่อถังเทียนแม้แต่น้อย

ในบรรดาเทวรูปห้ามุทราเขาคุ้นเคยกับปางมือจิตวิญญาณไร้ลักษณ์มากที่สุด และมุทราจิตวิญญาณไร้ลักษณ์ทำงานร่วมกับหมัดเทพเจ้า,ดูเหมือนจะเปิดหน้าต่างบานใหม่ เขาเหมือนกับปีศาจหมกมุ่นฝึกฝนทั้งวันและคืนจนลืมเลือนโลกที่อยู่รอบตัวเขา

เขาค่อยๆ รั้งหมัดเทพเจ้าสายใยกฎธรรมชาตินับไม่ถ้วนรวมกันอยู่รอบๆ หมัดของเขา  ในพริบตาหมัดขวาของเขาก็สว่างราวกับดวงอาทิตย์

เมืองพายุสว่างเจิดจ้าเพราะเขา  และรัศมีที่น่ากลัวคลุมรอบเมืองไว้ทั้งหมดบางครั้งผู้คนจะกราบกรานด้วยความหวาดกลัวขณะที่พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า  แต่หลายคนเริ่มจะชิน  เพราะช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน  ดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนกลางคืนหลายครั้งและทุกครั้งที่เกิดขึ้นพลังที่น่ากลัวจะกระแทกไปทั่วเมืองอย่างรุนแรงเหมือนเกิดพายุใหญ่

จากการตกใจในตอนแรก ผู้คนกลายเป็นคุ้นชินต้องบอกว่าการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ให้เข้ากับสภาพโดยรอบแข็งแกร่งน่าทึ่ง

ถังเทียนประสบกับความผันผวนเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง

เทียบกับอดีตของเขา  ขอบเขตสายตาของเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า และความเข้าใจในเรื่องอำนาจและพลังของเขาก็มากมายกว่าแต่ก่อน  วิทยายุทธ, กฎธรรมชาติ, อาวุธจักรกล ฯลฯทั้งทางภายในและภายนอก ภายในก็คือขุดค้นศักยภาพของร่างกาย ภายนอกก็คือเข้าใจประโยชน์ของกฎธรรมชาติ  ความรู้ทั้งสองส่วนนี้รวมกันเป็นหนึ่ง  เพราะร่างมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวโดยธรรมชาติ นี่คือเหตุผลที่พลังทุกอย่างเมื่อขึ้นถึงจุดสุดยอดจะต้องกลับมารวมกันโดยธรรมชาติ

นิ้วทั้งห้าในมือซ้ายเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วมากและตั้งท่ามุทราจิตวิญญาณไร้ลักษณ์

แสงที่ประมวลบรรจบบนหมัดเทพเจ้าในมือขวาของเขาดูเหมือนโลหะเหลวซึ่งไหลไปตามแขนสู่ทั่วร่างของเขา  รัศมีแสงจางลงมาก แต่ยังคงมีความสว่างมากมันหดลงคลุมตัวถังเทียนเหมือนกับว่าถูกใช้เป็นเกราะให้ถังเทียน

รัศมีแสงที่ดูเหมือนของเหลวสุดท้ายขยายไปที่หลังศีรษะของเขา  และไหลลงมาจากหน้าผากของถังเทียนและคลุมไปทั้งหน้าของเขา

โลกในสายตาของเขาเปลี่ยนไปทันที

โลกที่งดงามสูญเสียสีสันไปและกลายเป็นโลกขาวดำอากาศที่กำลังไหลเวียนทั้งหมด เขาสามารถเห็นได้ก่อนนี้หายไปหมด  กลับแทนที่ด้วยกฎสายใย นี่เป็นครั้งแรกที่ถังเทียนได้เห็นสภาพที่แตกต่างของสายใยกฎธรรมชาติทำให้เขาตื่นเต้นทันทีจนเขาต้องออกจากสภาวะนั้นทันที

หลังจากตรวจสอบอย่างต่อเนื่องหลายวันในที่สุดเขาก็มีประสบการณ์บางอย่าง เขาตระหนักได้ว่าสายใยกฎธรรมชาติความจริงไม่ใช่สายใยจริงๆ  ความจริงเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนเรียงตัวเข้าด้วยกันและจุดแสงนั้นจะมีรูปแบบแตกต่างสองอย่างคือ ขาวและดำ  เขาไม่รู้ว่าจุดขาวและดำใช้ทำอะไร

ถังเทียนไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย  ไม่มีวิธีลัดในการก้าวหน้า  ทุกคนมักจะพูดอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับ ‘ช่วงการรู้แจ้ง’ แต่ผู้คนยากจะเห็นงานสะสมที่ทำไว้ก่อนนั้น  คนก็รู้แต่ว่าภาชนะเต็มเมื่อน้ำล้นออกจากถ้วย

สภาพใจของเขาดูเหมือนกับว่าเขากำลังโบยบินออกไปจากเมืองพายุ  เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงจากขอบฟ้ากวาดไปทั่วแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่

ไม่มีความดีใจหรือโกรธเกลียด  เขาเป็นเหมือนกับผู้ดูที่สงบเสงี่ยมขณะมองดูโลกที่งดงามถูกห้อมล้อมด้วยสีดำและขาวและกลับสู่ต้นกำเนิดของมัน

ด้วยการผสานหมัดเทพเจ้าและหกมุทราเทพอสูร  ทำให้เข้าถึงสภาวะพิเศษ  นั่นคือความสามารถในการต่อสู้รูปแบบใหม่ที่ถังเทียนสร้างขึ้นมา

ถังเทียนรู้สึกว่าสภาวะเช่นนี้เหมือนกับการตื่นรู้ เขาคิดถึงบาร์บาราและกองทหารที่ตื่นแล้วของเขา  และไม่รู้ว่าการตื่นรู้คือสิ่งที่เขากำลังประสบ  แต่เขาไม่สนใจ แสงรัศมีเป็นเหมือนเกราะทำให้เขาคิดถึงอาวุธประเภทเกราะ  ‘ตั้งแต่นี้จากหมัดเทพเจ้าเราจะเรียกว่าเกราะเทพเจ้ารวมกันไปเลย’

เกราะเทพเจ้าตื่นรู้!

ร่างของเขาเคลื่อนไหวก้าวไปบนสายใยกฎธรรมชาติอย่างนุ่มนวลทำให้ร่างขอเงขาหายไปทันที  เขาปรากฏตัวห่างออกไป3 กิโลเมตรโดยไม่มีการเตือน

เขายื่นนิ้วออกไปสัมผัสกับสายใยกฎธรรมชาติที่ยืดขยายไปในขอบฟ้าเป็นสายใยกฎที่บรรจุกฎธาตุลม และร่างของเขาเริ่มลอยออกไปเหมือนขนนก และลอยไปตามลมพัด

เขามาถึงชั้นเมฆที่ซึ่งเขาชี้นิ้วออกมาและแหย่ไปที่สายใยกฎธรรมชาติที่ห้อยลงมา

ครืนนน!

สายฟ้าแปลบปลาบนับไม่ถ้วนสว่างวาบจากกลุ่มเมฆทันทีและคลุมอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา

เกราะเทพเจ้าที่ตื่นขึ้นของถังเทียนเป็นประกายแพรวพราวด้วยสายฟ้าทำให้เขาดูเหมือนเทพสายฟ้าจุติ

ประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ถังเทียนเพ่งความสนใจมาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก  แต่เขายังคงสงบอยู่ได้  รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างระมัดระวังบางอย่างที่เขาทำในอดีตสองสามวันที่ผ่านมา

ความผันผวนของโลกไม่มีที่สิ้นสุด  แม้ว่าโลกในสายตาเขาจะเป็นแค่สีดำและขาว  แต่ก็น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งกับสิ่งต่างๆ  ทั้งหมดรออยู่ที่นั่นให้เขาตรวจสอบและตรวจดู

ทันใดนั้น เขาหยุดอยู่กับที่ มีคนกำลังบิน

เป็นเรือทองลำใหญ่ที่กำลังบิน

“ได้ขึ้นเรือพู่พลิ้วของพี่ซูนับเป็นประสบการณ์สุดยอดจริงๆ”  คนที่พูดอายุราว 26-27 ชื่อว่าจี๋เจ๋อ  จี๋เจ๋อมีรูปลักษณ์ที่สูงสง่านัยน์ตาแคบและริมฝีปากบางซีด ทำให้เขาดูมีเสน่ห์

เขายืดหลังด้วยท่าทางพอใจ

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขา  ทุกคนจะพยักหน้าให้  ทุกอย่างบนเรือเป็นของหรูมีราคา ทั้งเหล้าเครื่องดื่มและของว่างทำได้ดีเยี่ยมทำให้ใครก็ตามที่เห็นจะมีท่าทางเหมือนกับว่าอดอยากมาหลายปีและแม้แต่ขนสัตว์ที่หุ้มที่นั่งพวกเขาก็ทำมาจากหนังนากดำนากดำเติบโตในที่หนาวจัดและมีจำนวนน้อยมีนิสัยมากระแวงดังนั้นจึงจับพวกมันได้ยากมาก ต้องบอกว่าคุณค่าของมันอยู่ที่หนังหนังที่สมบูรณ์แบบอย่างนั้นยากจะพบเห็น แต่เรือลำนี้มีมากกว่า 50

ซูชิงรู้สึกดีใจมากขณะหัวเราะลั่น  “ได้รับคำชมจากน้องจี๋เจ๋อ  เรือพู่พลิ้วของเขานับว่าไม่ได้สร้างเสียเปล่า”

เรือพู่พลิ้วเป็นสมบัติโปรดของซูชิง เป็นเรือสีทองทั้งลำและเป็นเรือสมบัติที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนบาป ตลอดทั้งลมสร้างจากวัสดุไม้ที่มีชื่อว่าสนพู่พลิ้ว  เรือมีความยาว 60 เมตรและภายในประดับตกแต่งอย่างเลิศหรู เฉพาะเรือลำนี้ ซูชิงใช้สมบัติมากมายหาช่างฝีมือดีที่สุดสร้างด้วยวัสดุที่ไม่ธรรมดา

ภายใต้การควบคุมด้วยนักสู้ผู้เชี่ยวชาญกฎธรรมชาติลมสิบคนเรือสามารถเคลื่อนไหวโดยยืมพลังลมด้วยความเร็วมาก นอกจากนี้คนงานที่ควบคุมเรือก็เป็นยอดฝีมือทั้งหมดและแม้จะเคลื่อนที่ได้เร็วเรือก็ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย

ตระกูลซูเป็นตระกูลเก่าในสี่เมืองใหญ่  และสมบัติของพวกเขามีอยู่ลึกล้ำตามธรรมชาติ และในฐานะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลที่กุมอำนาจในตระกูลซู ซูชิงมีเงินและอำนาจตลอดความรอบรู้ในเรื่องบันเทิงและเพลง  เขามีการเชื่อมโยงมากมาย

“เรือพู่พลิ้วมีชีวิตชีวาเหมือนกับชื่อจริงๆ”  จี๋เจ๋อกล่าว “ข้าสงสัยจริงว่า บุรุษหน้ากากผีทรงพลังแข็งแกร่งเหมือนที่เล่าลือไหม  เขาอย่าทำให้ผิดหวังจะดีกว่า  ไม่อย่างนั้นคงจะน่าเบื่อเกินไป”

คำพูดโอ้อวดของจี๋เจ๋อไม่มีใครคัดค้าน  แต่กลับมีผู้คนเห็นด้วยกับเขาแทน

“ดาบพิศวงจี๋เจ๋อใครจะกล้าคัดค้านเจ้าเล่า?” ซูชิงแกล้งทำเป็นกังวล “น้องจี๋เจ๋อ เจ้าอย่าได้แนะนำตัวเองจะดีกว่า  ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำให้เขาขวัญฝ่อ  เราเดินทางไกลมาอย่างยิ่งใหญ่จะเป็นยังไงถ้าเราต้องมาเห็นศัตรูเผ่นหนี?”

ทุกคนหัวเราะลั่น

“นั่นน่ะสิ!”

“พูดได้ถูกใจ!”

“ข้ากำลังรอดูน้องจี๋สำแดงพลังอยู่  ถ้าเจ้าขู่ศัตรูจนขวัญหนีดีฝ่อ  อย่างนั้นก็แย่เลย!”

แม้ว่าจี๋เจ๋อจะหัวเราะก็ตาม  แต่เขายังดูใจเย็นอยู่มาก  แต่นัยน์ตาเรียวยาวของเขามีแววหยิ่งยโส  แต่เขาไม่ได้ยินดีกับคำเยินยอ  แต่หันไปคุยกับซูชิง  “พี่ซูรู้เรื่องบุรุษหน้ากากผีมากเท่าใด?”

“ไม่มาก”  ซูชิงสลายยิ้ม “เมื่อพูดถึงเรื่องบุรุษหน้ากากผี อย่างนั้นเราต้องพูดเกี่ยวกับหน่วยสุญญตาหมีใหญ่ก่อน  คนกลุ่มนี้ถูกคลื่นพัดมาติดฝั่งจำนวนเกือบห้าพัน ไม่มีที่ใดที่เรียกว่าทวีปหมีใหญ่ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ใครจะรู้กันว่าอาจเป็นมหาอำนาจใหม่ที่ปรากฏออกมาในช่วงสองสามร้อยปีก็ได้  แต่ฟังจากชื่อแล้วคล้ายกลับว่าจะเป็นกองทัพหนึ่ง”

“ใช่แล้ว”  คนผู้หนึ่งเสริม  “พวกเขาเป็นกองทัพจริงๆ  และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยความถูกต้องแม้จะเป็นนักโทษ พวกเขาก็ยังแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ยังแปลก พวกเขาทุกคนแข็งแกร่งมั่นคงและดีกันทุกคน

จี๋เจ๋อหรี่ตาและกล่าว  “พี่ซูข้าเชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความคิดของตระกูลซูแน่นอน”

ซูชิงพยักหน้า  “น้องจี๋เจ๋อฉลาดจริงๆ  และมองขาดทุกอย่าง  แม้ว่าตระกูลเล็กๆของข้าจะเกี่ยวดองกับตระกูลหลูเมืองม้าบิน แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นด้วย”

ขณะนี้ทุกคนวางถ้วยในมือลงและฟังอย่างตั้งใจ

“ไม่ว่าบุรุษหน้ากากผีจะเป็นผู้สืบทอดของปรมาจารย์หลี่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ”  ซูชิงมองทุกคนและกล่าว  “แดนบาปมีประวัติศาสตร์มาสองสามร้อยปี  และมีสี่เมืองใหญ่เป็นแกนหลัก  สำหรับหลายปีที่ผ่านมาทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างดี ระดับสูงคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็จะนำปัญหามาให้ทุกคน”

จี๋เจ๋อประหลาดใจ “พวกนายท่านทั้งหลายคิดว่าบุรุษหน้ากากผีและหน่วยสุญญตาหมีใหญ่จะคุกคามสี่เมืองใหญ่หรือ?”

ซูชิงหัวเราะอย่างน่ากลัว“พลังของหน่วยสุญญตาหมีใหญ่ขึ้นอยู่กับบุรุษหน้ากากผี  เขาจะทำอะไรได้มากแค่ไหน?  ระดับสูงแค่กังวลว่าคนที่ทะเยอทะยานบางคนจะฉวยโอกาสกระทำการบางอย่าง  นอกจากนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรต้องทำคือบีบคอมันไม่ให้เติบโตในขณะที่มันยังอยู่ในเปล”

จี๋เจ๋ออยู่ในห้วงคิดลึก  ขณะที่คนที่เหลือพากันเงียบ

ซูชิงยกแก้วและดื่มอวยพรให้จี๋เจ๋อ  “ถ้าเรื่องนี้ไม่สำคัญ  ทำไมเราต้องรบกวนน้องจี๋เจ๋อด้วยเล่า?  แต่สามารถเห็นน้องจี๋เจ๋อลงมือ ข้าก็สบายใจแล้ว”

จี๋เจ๋อหัวเราะ  “ข้าจะรับผิดชอบกับคำพูดของพี่ซูเอง”

ซูชิงพูดด้วยท่าทีมีอารมณ์  “ว่าไปแล้ว บุรุษหน้ากากผีนี้ประหลาดหลูเทียนเหวินตายเพราะเขา  เหอซินพ่ายแพ้เขา  แม้แต่เมืองพายุก็ตกไปอยู่ในมือของเขาทั้งหมดนี้เป็นยอดฝีมือในทำเนียบทั้งนั้นพวกเขาไม่สามารถล้มบุรุษหน้ากากผีได้ยังไง?”

จี๋เจ๋อรู้ว่าซูชิงยืมแรงผลักดันกระตุ้นเขา  แต่เขาไม่ได้ขัดขวาง และแค่นเสียง“ทำเนียบนักสู้น่ะหรือ? แค่เพราะพวกเขาอยู่ในทำเนียบนักสู้ยังจะนับเป็นยอดฝีมือได้หรือฮ่าฮ่า”

เหมือนกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกและหัวเราะอย่างไร้ความหมาย

ซูชิงหัวเราะ ‘ตราบใดที่จี๋เจ๋ออยู่ที่นี่ ก็นับว่าดี’

ทันใดนั้น จี๋เจ๋อหยุดหัวเราะทันที

เหมือนกับว่าเขาต้องมนต์สะกดและยังคงนิ่ง  ตาของเขาจ้องมองออกไปข้างนอกเรือ  แววถือดีในดวงตาของเขาหายไปไม่เหลือร่องรอย  สีหน้าเขาชะงักค้าง และหน้าค่อยๆ ซีดไร้สีเลือด

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ทุกคนสับสน

“น้องจี๋เจ๋อ?”  ซูชิงตรวจสอบเขา

เขาลอบคิด ‘หรือว่าจี๋เจ๋อมีโรคลับบางอย่างกำเริบกะทันหัน?’

แต่เมื่อสาวใช้ด้านหลังจี๋เจ๋ออ้าปากค้างเนื่องจากนางตกใจเห็นว่าด้านหลังชุดขาวจี๋เจ๋อหลั่งเหงื่ออย่างรวดเร็ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด