ตอนที่ 786 รู้แจ้งเกราะเทพเจ้า
ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ลุกเป็นไฟไม่ส่งผลต่อถังเทียนแม้แต่น้อย
ในบรรดาเทวรูปห้ามุทราเขาคุ้นเคยกับปางมือจิตวิญญาณไร้ลักษณ์มากที่สุด และมุทราจิตวิญญาณไร้ลักษณ์ทำงานร่วมกับหมัดเทพเจ้า,ดูเหมือนจะเปิดหน้าต่างบานใหม่ เขาเหมือนกับปีศาจหมกมุ่นฝึกฝนทั้งวันและคืนจนลืมเลือนโลกที่อยู่รอบตัวเขา
เขาค่อยๆ รั้งหมัดเทพเจ้าสายใยกฎธรรมชาตินับไม่ถ้วนรวมกันอยู่รอบๆ หมัดของเขา ในพริบตาหมัดขวาของเขาก็สว่างราวกับดวงอาทิตย์
เมืองพายุสว่างเจิดจ้าเพราะเขา และรัศมีที่น่ากลัวคลุมรอบเมืองไว้ทั้งหมดบางครั้งผู้คนจะกราบกรานด้วยความหวาดกลัวขณะที่พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่หลายคนเริ่มจะชิน เพราะช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนกลางคืนหลายครั้งและทุกครั้งที่เกิดขึ้นพลังที่น่ากลัวจะกระแทกไปทั่วเมืองอย่างรุนแรงเหมือนเกิดพายุใหญ่
จากการตกใจในตอนแรก ผู้คนกลายเป็นคุ้นชินต้องบอกว่าการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ให้เข้ากับสภาพโดยรอบแข็งแกร่งน่าทึ่ง
ถังเทียนประสบกับความผันผวนเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง
เทียบกับอดีตของเขา ขอบเขตสายตาของเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า และความเข้าใจในเรื่องอำนาจและพลังของเขาก็มากมายกว่าแต่ก่อน วิทยายุทธ, กฎธรรมชาติ, อาวุธจักรกล ฯลฯทั้งทางภายในและภายนอก ภายในก็คือขุดค้นศักยภาพของร่างกาย ภายนอกก็คือเข้าใจประโยชน์ของกฎธรรมชาติ ความรู้ทั้งสองส่วนนี้รวมกันเป็นหนึ่ง เพราะร่างมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวโดยธรรมชาติ นี่คือเหตุผลที่พลังทุกอย่างเมื่อขึ้นถึงจุดสุดยอดจะต้องกลับมารวมกันโดยธรรมชาติ
นิ้วทั้งห้าในมือซ้ายเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วมากและตั้งท่ามุทราจิตวิญญาณไร้ลักษณ์
แสงที่ประมวลบรรจบบนหมัดเทพเจ้าในมือขวาของเขาดูเหมือนโลหะเหลวซึ่งไหลไปตามแขนสู่ทั่วร่างของเขา รัศมีแสงจางลงมาก แต่ยังคงมีความสว่างมากมันหดลงคลุมตัวถังเทียนเหมือนกับว่าถูกใช้เป็นเกราะให้ถังเทียน
รัศมีแสงที่ดูเหมือนของเหลวสุดท้ายขยายไปที่หลังศีรษะของเขา และไหลลงมาจากหน้าผากของถังเทียนและคลุมไปทั้งหน้าของเขา
โลกในสายตาของเขาเปลี่ยนไปทันที
โลกที่งดงามสูญเสียสีสันไปและกลายเป็นโลกขาวดำอากาศที่กำลังไหลเวียนทั้งหมด เขาสามารถเห็นได้ก่อนนี้หายไปหมด กลับแทนที่ด้วยกฎสายใย นี่เป็นครั้งแรกที่ถังเทียนได้เห็นสภาพที่แตกต่างของสายใยกฎธรรมชาติทำให้เขาตื่นเต้นทันทีจนเขาต้องออกจากสภาวะนั้นทันที
หลังจากตรวจสอบอย่างต่อเนื่องหลายวันในที่สุดเขาก็มีประสบการณ์บางอย่าง เขาตระหนักได้ว่าสายใยกฎธรรมชาติความจริงไม่ใช่สายใยจริงๆ ความจริงเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนเรียงตัวเข้าด้วยกันและจุดแสงนั้นจะมีรูปแบบแตกต่างสองอย่างคือ ขาวและดำ เขาไม่รู้ว่าจุดขาวและดำใช้ทำอะไร
ถังเทียนไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ไม่มีวิธีลัดในการก้าวหน้า ทุกคนมักจะพูดอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับ ‘ช่วงการรู้แจ้ง’ แต่ผู้คนยากจะเห็นงานสะสมที่ทำไว้ก่อนนั้น คนก็รู้แต่ว่าภาชนะเต็มเมื่อน้ำล้นออกจากถ้วย
สภาพใจของเขาดูเหมือนกับว่าเขากำลังโบยบินออกไปจากเมืองพายุ เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงจากขอบฟ้ากวาดไปทั่วแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่
ไม่มีความดีใจหรือโกรธเกลียด เขาเป็นเหมือนกับผู้ดูที่สงบเสงี่ยมขณะมองดูโลกที่งดงามถูกห้อมล้อมด้วยสีดำและขาวและกลับสู่ต้นกำเนิดของมัน
ด้วยการผสานหมัดเทพเจ้าและหกมุทราเทพอสูร ทำให้เข้าถึงสภาวะพิเศษ นั่นคือความสามารถในการต่อสู้รูปแบบใหม่ที่ถังเทียนสร้างขึ้นมา
ถังเทียนรู้สึกว่าสภาวะเช่นนี้เหมือนกับการตื่นรู้ เขาคิดถึงบาร์บาราและกองทหารที่ตื่นแล้วของเขา และไม่รู้ว่าการตื่นรู้คือสิ่งที่เขากำลังประสบ แต่เขาไม่สนใจ แสงรัศมีเป็นเหมือนเกราะทำให้เขาคิดถึงอาวุธประเภทเกราะ ‘ตั้งแต่นี้จากหมัดเทพเจ้าเราจะเรียกว่าเกราะเทพเจ้ารวมกันไปเลย’
เกราะเทพเจ้าตื่นรู้!
ร่างของเขาเคลื่อนไหวก้าวไปบนสายใยกฎธรรมชาติอย่างนุ่มนวลทำให้ร่างขอเงขาหายไปทันที เขาปรากฏตัวห่างออกไป3 กิโลเมตรโดยไม่มีการเตือน
เขายื่นนิ้วออกไปสัมผัสกับสายใยกฎธรรมชาติที่ยืดขยายไปในขอบฟ้าเป็นสายใยกฎที่บรรจุกฎธาตุลม และร่างของเขาเริ่มลอยออกไปเหมือนขนนก และลอยไปตามลมพัด
เขามาถึงชั้นเมฆที่ซึ่งเขาชี้นิ้วออกมาและแหย่ไปที่สายใยกฎธรรมชาติที่ห้อยลงมา
ครืนนน!
สายฟ้าแปลบปลาบนับไม่ถ้วนสว่างวาบจากกลุ่มเมฆทันทีและคลุมอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา
เกราะเทพเจ้าที่ตื่นขึ้นของถังเทียนเป็นประกายแพรวพราวด้วยสายฟ้าทำให้เขาดูเหมือนเทพสายฟ้าจุติ
ประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ถังเทียนเพ่งความสนใจมาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก แต่เขายังคงสงบอยู่ได้ รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างระมัดระวังบางอย่างที่เขาทำในอดีตสองสามวันที่ผ่านมา
ความผันผวนของโลกไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าโลกในสายตาเขาจะเป็นแค่สีดำและขาว แต่ก็น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งกับสิ่งต่างๆ ทั้งหมดรออยู่ที่นั่นให้เขาตรวจสอบและตรวจดู
ทันใดนั้น เขาหยุดอยู่กับที่ มีคนกำลังบิน
เป็นเรือทองลำใหญ่ที่กำลังบิน
“ได้ขึ้นเรือพู่พลิ้วของพี่ซูนับเป็นประสบการณ์สุดยอดจริงๆ” คนที่พูดอายุราว 26-27 ชื่อว่าจี๋เจ๋อ จี๋เจ๋อมีรูปลักษณ์ที่สูงสง่านัยน์ตาแคบและริมฝีปากบางซีด ทำให้เขาดูมีเสน่ห์
เขายืดหลังด้วยท่าทางพอใจ
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนจะพยักหน้าให้ ทุกอย่างบนเรือเป็นของหรูมีราคา ทั้งเหล้าเครื่องดื่มและของว่างทำได้ดีเยี่ยมทำให้ใครก็ตามที่เห็นจะมีท่าทางเหมือนกับว่าอดอยากมาหลายปีและแม้แต่ขนสัตว์ที่หุ้มที่นั่งพวกเขาก็ทำมาจากหนังนากดำนากดำเติบโตในที่หนาวจัดและมีจำนวนน้อยมีนิสัยมากระแวงดังนั้นจึงจับพวกมันได้ยากมาก ต้องบอกว่าคุณค่าของมันอยู่ที่หนังหนังที่สมบูรณ์แบบอย่างนั้นยากจะพบเห็น แต่เรือลำนี้มีมากกว่า 50
ซูชิงรู้สึกดีใจมากขณะหัวเราะลั่น “ได้รับคำชมจากน้องจี๋เจ๋อ เรือพู่พลิ้วของเขานับว่าไม่ได้สร้างเสียเปล่า”
เรือพู่พลิ้วเป็นสมบัติโปรดของซูชิง เป็นเรือสีทองทั้งลำและเป็นเรือสมบัติที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนบาป ตลอดทั้งลมสร้างจากวัสดุไม้ที่มีชื่อว่าสนพู่พลิ้ว เรือมีความยาว 60 เมตรและภายในประดับตกแต่งอย่างเลิศหรู เฉพาะเรือลำนี้ ซูชิงใช้สมบัติมากมายหาช่างฝีมือดีที่สุดสร้างด้วยวัสดุที่ไม่ธรรมดา
ภายใต้การควบคุมด้วยนักสู้ผู้เชี่ยวชาญกฎธรรมชาติลมสิบคนเรือสามารถเคลื่อนไหวโดยยืมพลังลมด้วยความเร็วมาก นอกจากนี้คนงานที่ควบคุมเรือก็เป็นยอดฝีมือทั้งหมดและแม้จะเคลื่อนที่ได้เร็วเรือก็ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
ตระกูลซูเป็นตระกูลเก่าในสี่เมืองใหญ่ และสมบัติของพวกเขามีอยู่ลึกล้ำตามธรรมชาติ และในฐานะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลที่กุมอำนาจในตระกูลซู ซูชิงมีเงินและอำนาจตลอดความรอบรู้ในเรื่องบันเทิงและเพลง เขามีการเชื่อมโยงมากมาย
“เรือพู่พลิ้วมีชีวิตชีวาเหมือนกับชื่อจริงๆ” จี๋เจ๋อกล่าว “ข้าสงสัยจริงว่า บุรุษหน้ากากผีทรงพลังแข็งแกร่งเหมือนที่เล่าลือไหม เขาอย่าทำให้ผิดหวังจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงจะน่าเบื่อเกินไป”
คำพูดโอ้อวดของจี๋เจ๋อไม่มีใครคัดค้าน แต่กลับมีผู้คนเห็นด้วยกับเขาแทน
“ดาบพิศวงจี๋เจ๋อใครจะกล้าคัดค้านเจ้าเล่า?” ซูชิงแกล้งทำเป็นกังวล “น้องจี๋เจ๋อ เจ้าอย่าได้แนะนำตัวเองจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำให้เขาขวัญฝ่อ เราเดินทางไกลมาอย่างยิ่งใหญ่จะเป็นยังไงถ้าเราต้องมาเห็นศัตรูเผ่นหนี?”
ทุกคนหัวเราะลั่น
“นั่นน่ะสิ!”
“พูดได้ถูกใจ!”
“ข้ากำลังรอดูน้องจี๋สำแดงพลังอยู่ ถ้าเจ้าขู่ศัตรูจนขวัญหนีดีฝ่อ อย่างนั้นก็แย่เลย!”
แม้ว่าจี๋เจ๋อจะหัวเราะก็ตาม แต่เขายังดูใจเย็นอยู่มาก แต่นัยน์ตาเรียวยาวของเขามีแววหยิ่งยโส แต่เขาไม่ได้ยินดีกับคำเยินยอ แต่หันไปคุยกับซูชิง “พี่ซูรู้เรื่องบุรุษหน้ากากผีมากเท่าใด?”
“ไม่มาก” ซูชิงสลายยิ้ม “เมื่อพูดถึงเรื่องบุรุษหน้ากากผี อย่างนั้นเราต้องพูดเกี่ยวกับหน่วยสุญญตาหมีใหญ่ก่อน คนกลุ่มนี้ถูกคลื่นพัดมาติดฝั่งจำนวนเกือบห้าพัน ไม่มีที่ใดที่เรียกว่าทวีปหมีใหญ่ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ใครจะรู้กันว่าอาจเป็นมหาอำนาจใหม่ที่ปรากฏออกมาในช่วงสองสามร้อยปีก็ได้ แต่ฟังจากชื่อแล้วคล้ายกลับว่าจะเป็นกองทัพหนึ่ง”
“ใช่แล้ว” คนผู้หนึ่งเสริม “พวกเขาเป็นกองทัพจริงๆ และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยความถูกต้องแม้จะเป็นนักโทษ พวกเขาก็ยังแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ยังแปลก พวกเขาทุกคนแข็งแกร่งมั่นคงและดีกันทุกคน
จี๋เจ๋อหรี่ตาและกล่าว “พี่ซูข้าเชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความคิดของตระกูลซูแน่นอน”
ซูชิงพยักหน้า “น้องจี๋เจ๋อฉลาดจริงๆ และมองขาดทุกอย่าง แม้ว่าตระกูลเล็กๆของข้าจะเกี่ยวดองกับตระกูลหลูเมืองม้าบิน แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นด้วย”
ขณะนี้ทุกคนวางถ้วยในมือลงและฟังอย่างตั้งใจ
“ไม่ว่าบุรุษหน้ากากผีจะเป็นผู้สืบทอดของปรมาจารย์หลี่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ” ซูชิงมองทุกคนและกล่าว “แดนบาปมีประวัติศาสตร์มาสองสามร้อยปี และมีสี่เมืองใหญ่เป็นแกนหลัก สำหรับหลายปีที่ผ่านมาทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างดี ระดับสูงคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็จะนำปัญหามาให้ทุกคน”
จี๋เจ๋อประหลาดใจ “พวกนายท่านทั้งหลายคิดว่าบุรุษหน้ากากผีและหน่วยสุญญตาหมีใหญ่จะคุกคามสี่เมืองใหญ่หรือ?”
ซูชิงหัวเราะอย่างน่ากลัว“พลังของหน่วยสุญญตาหมีใหญ่ขึ้นอยู่กับบุรุษหน้ากากผี เขาจะทำอะไรได้มากแค่ไหน? ระดับสูงแค่กังวลว่าคนที่ทะเยอทะยานบางคนจะฉวยโอกาสกระทำการบางอย่าง นอกจากนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรต้องทำคือบีบคอมันไม่ให้เติบโตในขณะที่มันยังอยู่ในเปล”
จี๋เจ๋ออยู่ในห้วงคิดลึก ขณะที่คนที่เหลือพากันเงียบ
ซูชิงยกแก้วและดื่มอวยพรให้จี๋เจ๋อ “ถ้าเรื่องนี้ไม่สำคัญ ทำไมเราต้องรบกวนน้องจี๋เจ๋อด้วยเล่า? แต่สามารถเห็นน้องจี๋เจ๋อลงมือ ข้าก็สบายใจแล้ว”
จี๋เจ๋อหัวเราะ “ข้าจะรับผิดชอบกับคำพูดของพี่ซูเอง”
ซูชิงพูดด้วยท่าทีมีอารมณ์ “ว่าไปแล้ว บุรุษหน้ากากผีนี้ประหลาดหลูเทียนเหวินตายเพราะเขา เหอซินพ่ายแพ้เขา แม้แต่เมืองพายุก็ตกไปอยู่ในมือของเขาทั้งหมดนี้เป็นยอดฝีมือในทำเนียบทั้งนั้นพวกเขาไม่สามารถล้มบุรุษหน้ากากผีได้ยังไง?”
จี๋เจ๋อรู้ว่าซูชิงยืมแรงผลักดันกระตุ้นเขา แต่เขาไม่ได้ขัดขวาง และแค่นเสียง“ทำเนียบนักสู้น่ะหรือ? แค่เพราะพวกเขาอยู่ในทำเนียบนักสู้ยังจะนับเป็นยอดฝีมือได้หรือฮ่าฮ่า”
เหมือนกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกและหัวเราะอย่างไร้ความหมาย
ซูชิงหัวเราะ ‘ตราบใดที่จี๋เจ๋ออยู่ที่นี่ ก็นับว่าดี’
ทันใดนั้น จี๋เจ๋อหยุดหัวเราะทันที
เหมือนกับว่าเขาต้องมนต์สะกดและยังคงนิ่ง ตาของเขาจ้องมองออกไปข้างนอกเรือ แววถือดีในดวงตาของเขาหายไปไม่เหลือร่องรอย สีหน้าเขาชะงักค้าง และหน้าค่อยๆ ซีดไร้สีเลือด
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ทุกคนสับสน
“น้องจี๋เจ๋อ?” ซูชิงตรวจสอบเขา
เขาลอบคิด ‘หรือว่าจี๋เจ๋อมีโรคลับบางอย่างกำเริบกะทันหัน?’
แต่เมื่อสาวใช้ด้านหลังจี๋เจ๋ออ้าปากค้างเนื่องจากนางตกใจเห็นว่าด้านหลังชุดขาวจี๋เจ๋อหลั่งเหงื่ออย่างรวดเร็ว