ตอนที่ 27 - สตูดิโอ
1/3
ตอนที่ 27 - สตูดิโอ
“แก!!” หลงเฟยโกรธจนหน้าแดง “คงเบื่อชีวิตแล้วสินะ กับอีแค่นักลงทุนรายย่อยแบบแก ตระกูลหลงเราสามารถบดขยี้ได้ด้วยมือเดียว! แล้วมาดูกันว่าแกจะอยู่ได้นานแค่ไหนถ้าไม่มีสินค้าในมือ!”
“ได้ งั้นมารอดูกัน เชิญออกไปได้ อ้อ ฉันไม่ส่งนะ” เจียงหลินเอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลงอย่างสบายใจ
หลงเฟยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเมินเขาก็โกรธจนแทบบ้า ตะคอกเสียงเย็น “รอฉันก่อนเถอะ! อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”
ว่าจบ หลงเฟยก็ออกจากร้านไปโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย
“ประธานเจียง ไล่ฉันออกเถอะ” เฉินยี่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เธอรู้ว่าที่หลงเฟยทำแบบนี้เพราะเขาไม่เข้าใจตัวเอง หลงเฟยผู้จัดการร้านคนใหม่ต้องการให้ผู้จัดการร้านคนเก่าหายไปจากสายตาเขาตลอดกาล
เจียงหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอส่ายหัว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่จำเป็น ตราบใดที่คุณทำงานให้ฉัน คุณไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น เขาเป็นลูกเจ้าของบริษัทแล้วไง? เขาไม่ใช่ลูกฉันซักหน่อย ทำไมฉันต้องไปเอาใจเขาด้วย”
“ถึงหลงเฟยจะไม่ใช่เจ้าของบริษัทหลงเหมือนพ่อเขา เป็นแค่จิ้งจอกไม่ใช่พยัคฆ์ แต่จิ้งจอกก็ยังมีเขี้ยว ไปทำเขาเสียหน้าแบบนี้ เจียงหลิน คุณคิดอะไรอยู่?” หลิวซิงเย่พูดพร้อมขมวดคิ้ว
“ฉันมีแหล่งสินค้าเป็ฯของตัวเอง วางใจได้ อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเขาจะขัดขวางสินค้าของฉันได้ยังไง!” เจียงหลินพูดด้วยความมั่นใจ และเพื่อทำให้ทั้งคู่สบายใจ เจียงหลินนำสินค้าที่เก็บไว้ไปเพิ่มไว้ในคลัง เพื่อให้พวกเขาเห็นว่ามันมีมากแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ที่เจียงหลินได้ทอง เงิน และหยกจากในห้างสรรพสินค้าใหญ่ เธอนำมันกลับมาเยอะมาก เจ้าพวกนี้อย่างน้อยก็มากพอสำหรับการวางขายชั่วระยะเวลาหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เจียงหลินก็นึกถึงปัญหาต่อไป เธอกล่าวว่า “เรื่องแหล่งที่มาของสินค้าไม่มีปัญหา แต่ฉันยังขาดช่างฝีมือสำหรับโซนเวิร์กช็อป ถ้าพวกเราเปิดสตูดิโอในส่วนนี้ได้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เป็นสองเท่า”
หลิวซิงเย่พยักหน้าและพูดว่า “นั่นไม่ใช่ปัญหา ฉันรู้จักช่างฝีมือดีๆมากมาย แต่พวกเราต้องเช่าบ้านอีกหลัง ซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมอีกบางส่วน และนั่นไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย”
“ไม่มีปัญหา เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา!” เจียงหลินยังมีเงินมากกว่า 1 ล้านอยู่ในมือ ถ้านำไปเช่าบ้านกับซื้อเครื่องจักรนับว่าเหลือเฟือ
ตลอดทั้งเดือนเจียงหลินไม่ได้ไปไหน เธออยู่ในเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับพวกเครื่องประดับและตามหาบ้านเช่าทำเลดีๆ
ระหว่างนี้ เธอกับหลิวซิงเย่ก็ออกไปซื้อเครื่องจักรที่จำเป็นสำหรับสตูดิโอมา
ตอนแรกเจียงหลินวางแผนที่จะสร้างสตูดิโอขนาดเล็กเท่านั้น สถานที่ก็เลยดูไม่ใหญ่จนเกินไป ทั้งยังอยู่ใกล้ร้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เยอะ
เจียงหลินจ้างช่างฝีมือสำหรับสตูดิโอตามคำแนะนำก่อนหน้านี้ของหลิวซิงเย่ ตอนนี้แค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว เพราะถ้ายุ่งจริงๆ หลิวซิงเย่สามารถไปช่วยเขาได้
วันนี้เจียงหลินมาพบกับพนักงานใหม่ประจำสตูดิโอของเธอ หลิวซิงเย่ไม่ลืมที่จะแนะนำเจียงหลิน “นี่คือถังฉีซาน เป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในวงการ ฉันไปเจอเขาตอนพนันหินดิบ อย่าเห็นว่าอายุเขาน้อย ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานถลุงและแปรรูปเงินกับทองคำมาแล้ว แถมยังเป็นศิษย์ของเพื่อนเก่าฉันด้วย
“อย่างไรก็ตาม วิกฤติการเงินที่ผ่านมา โรงงานแปรรูปหยกอยู่ในภาวะถดถอย พวกเขาไม่ยอมจ่ายโบนัส เขาเลยลาออกมาหางานอื่นทำ”
“และงานที่เขาต้องการก็ตรงกับที่ฉันอยากจ้างพอดี ยินดีต้อนรับ” เจียงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถังฉีซานเป็นคนที่เงียบมาก เจียงหลินเลยได้พูดคุยกับเขาแค่ไม่กี่นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกอุตสาหกรรม อีกฝ่ายตอบได้มากสุดไม่เกินสามคำ
หรือในบางครั้ง ถังฉีซานก็ทำราวกับว่าเขาไม่มีอะไรจะพูด ใบหน้าเขาแทบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
หลิวซิงเย่หัวเราะและพูดว่า “เด็กคนนี้มีฝีมือ แค่ไม่ค่อยพูด อาจารย์เขามักกล่าวว่าธรรมชาติเขาเป็นคนเยือกเย็น แค่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนไม่เก่ง พอฉันบอกว่าเขาได้อยู่คนเดียวในสตูดิโอนี้ ไม่ใช่โรงงานแปรรูปหยก เขาก็ตอบตกลงทันที”
“ไม่เลวเลย” เจียงหลินไม่ติดเรื่องนิสัยเขา ต่างคนก็ต่างบุคลิก นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรยอมรับกันและกัน
จากการสอบถาม เจียงหลินได้รู้มาว่าถังฉีซานมีความเชี่ยวชาญในสายอาชีพของตัวเองมาก นอกจากการผลิตตามปกติแล้ว เขายังสามารถแปรรูปเป็นพวกทองโบราณหรือทองแข็งแบบ 3 มิติได้อีกด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถเชื่อม ปรับแต่ง และฝังเพชรได้
การแปรรูปเครื่องประดับหยกให้มีขนาดใหญ่ไปจนถึงการทำเป็นสร้อยข้อกำไลขนาดเล็ก รวมไปถึงงานแกะสลักจิ๋ว ถังฉีซานทำเป็นทั้งสิ้น
ตามปกติแล้วการมีสตูดิโอเวิร์กช็อปพวกเครื่องประดับแบบนี้เป็นอะไรที่มีค่าใช้จ่ายมาก ส่วนใหญ่แล้วมีแต่ร้านค้าใหญ่ที่ทำ แต่แน่นอนว่าบางแห่งเช่นร้านของเจียงหลินเป็นข้อยกเว้น
เพราะยังไงซะพวกทอง เงิน หยก ของหลายอย่างที่เจียงหลินนำกลับมาจากวันสิ้นโลกจำเป็นต้องได้รับการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ และขัดเงา
ถึงเวลา พอได้ของมาก็นำมาที่นี่ มันจะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้เยอะ
หลังจากเจียงหลินเสร็จสิ้นภารกิจเรื่องนี้ ในที่สุดผลประกอบการเดือนแรกก็ออกแล้วเช่นกัน
ปรากฏว่าเดือนนี้ขายได้ทั้งสิ้น 1.2 ล้านหยวน
สำหรับยอดขายนี้ เฉินยี่รู้สึกอายเล็กน้อย เพราะเธอคิดว่ามันต่ำไปหน่อย เธอทำงานผู้จัดการมานาน เลยคุ้นเคยเป็นอย่างดีเรื่องกระแสของผู้ซื้อ
สถานที่ตั้งของร้านเจียงหลินนั้นดีมาก การตกแต่งก็เหมาะสมเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ใช่ร้านขายเครื่องประดับขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่มูลค่าการซื้อขายสมควรหมุนเวียนอยู่ที่ 2 - 3 ล้านต่อเดือนก็มีโอกาสเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม แค่นี้เจียงหลินก็พอใจมากแล้ว
ยังไงซะร้านนี้ก็เป็นชื่อเธอ ไม่มีค่าเช่า นี่ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ถ้าหักค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างพนักงานและค่าใช้จ่ายจิปาถะแล้ว มากสุดเสียราวๆ 200,000 หยวน
ต้นทุนต่ำมาก ขณะที่สินค้าในร้านเธอมาจากวันสิ้นโลกที่ไม่มีคนต้องการ บางคนยอมแลกมันด้วยอาหารเพียงมื้อเดียว
ดังนั้นการได้กำไรสุทธิ 1 ล้านต่อเดือน อีกทั้งยังเป็นเดือนแรกของการเปิดขาย
เท่านี้ก็ทำให้เจียงหลินมีความสุขจนแทบคุมตัวเองไม่อยู่!
เจียงหลินณู้สึกว่าอนาคตของเธอสว่างไสว!
อย่างไรก็ตาม แม้เจียงหลินจะมีสินค้าเก็บไว้ในคลังพอสมควร แต่เธอทราบดีว่าวันหนึ่งพวกมันต้องถูกขายออกไป
เช้าวันรุ่งนี้ เจียงหลินแวะมาที่ร้าน ทักทายเฉินยี่และหลิวซิงเย่ “ฉันจะออกไปสักพัก ขอฝากร้านไว้กับพวกคุณแล้ว”
“คุณจะไปไหน?” เฉินยี่เห็นว่าวันนี้ชุดของเจียงหลินดูแตกต่างจากปกติ
เจียงหลินยืนอยู่หน้าร้าน แสงตะวันยามเช้าส่องมาที่เธออย่างนุ่มนวล มันทำให้เธอดูสง่างามและมีชีวิตชีวา
หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“ฉันจะไปหาของมาตุนเพิ่ม!”