MDB ตอนที่ 259 ต่อชะตาโลหิตและชำระไขกระดูก
หลินจินไม่มีทางปล่อยโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้หลุดมือไป เสี่ยวฮั่วเป็นสัตว์วิเศษธรรมดา ห่างไกลจากสัตว์หายากมาก หลินจินจึงต้องบ่มเพาะพลังอันยอดเยี่ยมนี้ในตัวมัน ผ่านความช่วยเหลือของเม็ดยาและการฝังเข็ม และกระบวนการวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบสองขั้นตอนก่อนที่เขาจะสามารถชำระไขกระดูกของเสี่ยวฮั่วและบรรลุผลดังกล่าว
ถึงกระนั้นเสี่ยวฮั่วก็ถึงขีดจำกัดของเขาที่ระดับสี่ เพื่อให้มันก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปอีก มันจะต้อง ‘ออกจากดักแด้' และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูง
นี่คือเหตุผลที่หลินจินต้องให้เม็ดยาโลหิตมังกรแก่เจ้าหมาป่า อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยมีจังหวะควบคุมเส้นเลือดของเสี่ยวฮั่วและช่วยเขาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้
แต่นี่เป็นจังหวะที่เหมาะสมแล้ว
ในขณะที่เสี่ยวฮั่วกำลังดื่มเลือดของมังกรเฒ่า หลินจินก็เดินเข้าไป เขาหยิบเม็ดยาโลหิตมังกรออกมา และกรีดส่วนเล็ก ๆ บนหลังของเสี่ยวฮั่วด้วยมีดผ่าตัด จากนั้นก็ฝังเม็ดยาเข้าไปแล้วเย็บปิดผิวหนังด้วยเข็มลวดขดของเขา
จากนั้นเขาก็แทงเข็มกว่าร้อยเล่มลงบนร่างของเสี่ยวฮั่วเพื่อช่วยเลือดของมันไหลออกมาได้ง่ายขึ้น
ทุกคนรอบข้างงุนงงกับฉากนี้ ทั้งอีกาทมิฬและนักปราชญ์ปีศาจหรือมาดามผีเด็กและชายโลงศพ พวกเขาไม่เคยเห็นขั้นตอนดังกล่าวมาก่อน
คนธรรมดาคนไหนจะกล้าพอที่จะปล่อยให้เลือดของสัตว์วิเศษไหลออกมาผ่านการฝังเข็ม?
ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตจะแข็งแกร่งเพียงใด หากเลือดของพวกมันไหลออกจนหมด มันจะนำไปสู่ความตายอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงกระนั้น เลือดที่กระเด็นออกจากร่างของเสี่ยวฮั่วก็กลายเป็นเปลวไฟทันที
หลินจินประคองอวัยวะสำคัญของเสี่ยวฮั่วด้วยเข็มขดเพื่อไม่ให้เจ้าหมาป่าตายเพราะเสียเลือดมาก
ต่อไปก็ถึงเวลาต่อชะตาโลหิตและชำระไขกระดูกของมัน
ครึ่งหนึ่งของมังกรเฒ่าถูกทำลายโดยเขี้ยวของเสี่ยวฮั่ว ในขณะที่เลือดในร่างกายของเขาถูกดูดจนแห้ง แต่ถึงอย่างนั้น มังกรเฒ่าก็ยังไม่ได้ขาดใจตาย
เขาเป็นสัตว์ปีศาจอายุสี่ร้อยปี ความมุ่งมั่นในการมีชีวิตช่างเป็นอะไรที่น่าชื่นชม แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าเขากำลังจะสิ้นใจในไม่ช้า เนื่องจากร่างของเขาได้หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“นี่… นี่มันเทคนิคการต่อชะตาโลหิตและชำระไขกระดูก โอ้ ท่านปรมาจารย์ผู้เกรียงไกร ข้ารู้ถึงข้อบกพร่องของข้า การบ่มเพาะนั้นยากเกินไป ดังนั้นโปรดช่วยข้าด้วย…”
ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นบางสิ่งที่เหลือเชื่อ น้ำเสียงของมังกรเฒ่านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เชื่อสายตา แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็สูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ชั่วพริบตาต่อมา หัวของเขาก็ห้อยลงและเสียชีวิต
ในช่วงเวลาที่เขาขาดใจ ภายในพระราชวัง จักรพรรดิเหอเฉียนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง รูม่านตาของเขาขยายออกและเขารักษาสัตว์วิเศษ มังกรหยกระดับสี่ได้อย่างรวดเร็วผ่านพันธสัญญาโลหิต
ในระหว่างกระบวนการ เขาได้ยินเสียงคำรามต่ำดังก้องในหูของเขา
“เหอเฉียน เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้หักหลังข้า!!!”
คำรามอย่างเกรี้ยวกราดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความอาฆาตที่ทำให้ผู้ฟังหนาวเย็นไปถึงสันหลัง ทำให้เหงื่อเย็นไหลออกมา
โชคดีที่เสียงนั้นหายไปในไม่ช้า ราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก
ในบรรดาขุนนางมีผู้ที่มีมังกรหยกระดับสามก็รู้สึกถึงความทุกข์ใจในสหายของพวกเขาและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยับยั้งพวกมัน ผู้ที่มีขอบเขตการบ่มเพาะพันธสัญญาโลหิตที่ต่ำกว่าก็สูญเสียการควบคุมสัตว์เลี้ยงของพวกเขาไป
ทันใดนั้น ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของขุนนางหลายคนและเกิดความโกลาหลขึ้น
ในคฤหาสน์บางแห่งก็ปรากฏผู้เสียชีวิต
ที่ตำหนักขององค์หญิงหก เหล่านางกำนัลของเธอคอยปรนนิบัติเธออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมง ในขณะที่แพทย์ประจำราชวงศ์รออยู่ด้านนอก ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
แต่จู่ ๆ องค์หญิงมีสีหน้าเจ็บปวด หลังของเธอโค้งงอขณะที่ออร่าเย็นยะเยือกรวมตัวกันบริเวณท้องของเธอ จากนั้นเธอส่งเสียงกรีดร้องและคำราม
อย่างไรก็ตาม ออร่าเย็นยะเยือกนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในไม่ช้า
นางกำนัลต่างก็หวาดกลัวจนสิ้นสติ ลมกระโชกแรงหมุนวนภายในห้อง และผ่านหมอกควันดำ พวกเขามองเห็นเงาของมังกรแหวกว่ายผ่านไป เหล่าผู้ที่จิตใจแข็งแกร่งยังคงยืนนิ่งอยู่ บางคนก็ทรุดตัวลงกับพื้น ในขณะที่หญิงสาวที่ใจเสาะกรีดร้องก่อนที่จะสลบไป
เหตุการณ์นี้ถูกรายงานต่อจักรพรรดิเหอเฉียนทันที
เหอเฉียนมาถึงแทบจะในทันที
“ฝ่าบาท เมื่อกี้นี้…” นางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าลงเพื่อรายงาน แต่เหอเฉียนโบกมืออย่างไม่ไยดี
"ไม่ต้องพูดอะไร แล้วก็ห้ามให้ใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด จงจำไว้ว่าถ้าใครพูดอะไรออกไปจะต้องโทษประหารทันที!”
"รับด้วยเกล้าเพคะ!"
"ออกไปได้แล้ว!"
เหอเฉียนออกคำสั่งและทุกคนก็ถอยกลับไป
ในขณะที่เหอหยู่ยังคงไม่ได้สติ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผิวของเธอดูดีขึ้นมาก
เหอเฉียนไม่ได้เรียกแพทย์ เขาสังเกตอย่างระมัดระวังก่อนจะกำหมัดแน่น
"มันไปแล้ว มันหายไปแล้วจริง ๆ”
แม้กระทั่งตอนนี้ เหอเฉียนก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของเขา ดังนั้นเขาจึงเรียกขันทีเหยาเชิงมาซักถาม
ไม่นาน เหยาเชิงก็มาพร้อมกับรายงาน
“ตอนนี้วัดมังกรหยกยังคงถูกปิดด้วยแผงกั้น ไม่มีใครเข้าหรือออกพ่ะย่ะค่ะ” เหยาเซิงรายงาน
เหอเฉียนพยักหน้า
จากนั้น เมื่อนึกขึ้นได้บางอย่าง เขาจึงสั่งว่า “สั่งให้ใครสักคนปล่อยเหอฉิงออกมา”
“องค์หญิงเจ็ด?” เมื่อได้ยินคำสั่งเหยาเชิงก็ลังเลใจ “ฝ่าบาท องค์หญิงเจ็ดค่อนข้างทำตัวไม่เหมาะสมมาสองสามวันแล้ว กระหม่อมเกรงว่าองค์หญิงจะ…”
"ไม่เป็นไร ฉิงอ๋อร์มีบุคลิกที่ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมา ข้าคิดว่าจะต้องมียอดฝีมือที่ช่วยให้สัตว์เลี้ยงของเธอวิวัฒนาการ และมีมากกว่าหนึ่งครั้งที่เธอเผลอหลุดคำว่า 'ภัณฑารักษ์' ออกมา
ข้าจึงฉันคิดว่ายอดฝีมือที่เธอพบนั้นจะต้องเป็นภัณฑารักษ์คนเดียวกันอย่างแน่นอน การปล่อยเธอออกมาจะเป็นผลดีแก่เรา ถ้าภัณฑารักษ์มาหาข้าเพื่อขอให้ปล่อยตัวเธอ เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไร?”
หลังจากที่เหอเฉียนพูดจบ เหยาเชิงก็รีบออกไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
ขณะที่เหยาเชิงออกไป เขาก็ครุ่นคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่พระองค์วางแผนไว้อย่างไร อาจกล่าวได้ว่าพระองค์เป็นผู้ชนะที่แท้จริงในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้
เป็นไปตามคาดหมายของจักรพรรดิ ตอนนี้เหยาเชิงต้องทำตามที่เขาบอกเท่านั้น
เขาไม่ควรถามคำถามที่ไม่จำเป็น
เมื่อเหอฉิงได้รับอิสรภาพแล้ว เธอรีบไปที่ห้องของเหอหยู่ทันที เมื่อเธอเห็นเหอเฉียน เธอได้ถวายบังคมอย่างสำรวม ก่อนจะวิ่งไปที่ข้างเตียงของพี่สาวเพื่อตรวจดูอาการของเธอ
“ฉิงเอ๋อร์ ลูกไม่จำเป็นต้องกังวลไป ตอนนี้พี่สาวของเจ้าปลอดภัยดี”
เหอเฉียนกำลังยิ้ม
ในฐานะจักรพรรดิ เหอเฉียนไม่ค่อยยิ้ม อย่างน้อย ๆ เหอฉิงก็ไม่เคยจำได้ว่าเคยเห็นเขาเคยทำ
ชายผู้นี้มักจะทำหน้าเรียบเฉย ดูเคร่งขรึม แต่บัดนี้ ท่านพ่อของเธอกำลังยิ้ม เขายิ้มอย่างสดใสราวกับว่ามีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น
เหอฉิงไม่ทราบรายละเอียดและเธอยังคงกลัวพ่อของเธอเล็กน้อยดังนั้นเธอจึงไม่ถามต่อเพิ่มเติม
แต่เธอเชื่อว่าเหอหยู่จะไม่เป็นไร
เพราะภัณฑารักษ์ให้สัญญากับเธอแล้ว ด้วยความสามารถของภัณฑารักษ์ เขาสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเหอฉิงจึงไม่เคยสงสัยเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ภายในวัดมังกรหยก
หลินจินยังไม่สลายค่ายกลละอองเมฆา อันที่จริง เขาไม่ได้วางแผนที่จะต่อชะตาโลหิตและชำระไขกระดูกเสี่ยวฮั่วอย่างในตอนนี้ แต่เนื่องจากเขาได้ลงมือไปแล้ว เขาจึงต้องทำให้เสร็จคราเดียว
คนอื่น ๆ ยังคงเงียบและไม่ได้ออกความเห็นใด ๆ เลย ยิ่งกว่านั้น พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้ชมกระบวนการมหัศจรรย์นี้ ทุกคนกลั้นหายใจและเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้น
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับการต่อชะตาโลหิตและชำระไขกระดูก ตำนานเล่าขานไว้ว่าในช่วงสูงสุดของยุคอมตะ กระบวนการนี้ทำขึ้นสำหรับผู้ฝึกตน
ในยุคของสัตว์วิเศษ กระบวนการอันน่าทึ่งนี้จะช่วยปรับปรุงศักยภาพของสัตว์วิเศษให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ข้าไม่คาดคิดเลยว่าภัณฑารักษ์รู้เทคนิคนี้ด้วย ข้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย"
นักปราชญ์ปีศาจได้อ่านหนังสือหลายเล่ม แม้ว่าเขาจะไม่แข็งแกร่ง แต่ความรู้ของเขาก็แน่นมาก
จากคำอธิบายของเขา คนอื่น ๆ เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ชู่ว เงียบก่อน อย่าเพิ่งรบกวนภัณฑารักษ์” อีกาทมิฬเตือน
เปลวไฟในร่างกายของเสี่ยวฮั่วได้ดับลงแล้ว ขนสีแดงเข้มบนร่างกายของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยแสงสีไพลินที่ส่องประกาย มันเป็นสีที่สลับระหว่างสีแดงและสีน้ำเงิน
ผีเด็กดูกังวล หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดว่า
“จากคุณสมบัติของมังกรหยกไม่จะเข้ากันได้กับหมาป่าอัคคี โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเขาจะเปลี่ยนสายเลือดของมัน มันจะต้องมีคุณลักษณะที่เข้ากันได้ มิฉะนั้น…”
แม้เธอจะพูดไม่จบ แต่คนอื่น ๆ ก็เข้าใจความหมายของเธอ
คุณลักษณะของมังกรหยกนี้คือลมและน้ำ การรวมกันจะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่เห็นได้ชัดว่าหมาป่าอัคคีมีคุณสมบัติธาตุไฟ แม้ว่ามันจะมีคุณสมบัติอื่น ๆ พวกมันก็น่าจะเป็นไม้หรือทองเป็นส่วนใหญ่ คุณสมบัติที่อยู่คนละขั้วเช่นน้ำและไฟจะไม่มีทางมาบรรจบกัน
ถ้าใครไม่ระวัง สัตว์วิเศษอาจธาตุแตกแล้วร่างระเบิดได้ทันที