(ฟรี) บทที่ 130 เซิงจื่อเซี่ยที่แปลกประหลาด เยว่เจียนหลี่ที่เปลี่ยนไป!
มันเป็นรุ่งเช้าแล้ว
เยว่เจียนหลี่จับผ้าห่มและจ้องมองไปที่หลี่หราน
“หลี่หราน? เจ้าควรเปลี่ยนชื่อเป็นหลี่หลัวจื่อมากกว่า!”
[TL: 骡子(หลัวจื่อ) ‘ล่อ’ เป็นสัตว์พันธุ์ผสมระหว่างม้ากับลา แสดงถึงความอึดและถึกทน]
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่กลางดึกที่นางผล็อยหลับไปจนถึงรุ่งสาง เขายังไม่ยอมหยุดจนนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง!
ในเวลานี้ ใบหน้าของเยว่เจียนหลี่เป็นสีแดงด้วยความอับอาย และนางไม่เหลือพละกำลังแม้แต่น้อย
แม้ด้วยสมรรถภาพทางกายของนาง นางก็รู้สึกเหมือนกำลังจะแตกสลาย
ในทางกลับกัน หลี่หรานน่ะหรือ?
เขารู้สึกสดชื่นและอยู่ในสภาพดีเยี่ยม!
เมื่อเผชิญกับการจ้องมองที่ขุ่นเคืองของนาง หลี่หรานก็หน้าแดงและเกาหัว “อะแฮ่ม ชีวิตขึ้นอยู่กับการออกกำลังกาย ฮ่าๆ...”
เยว่เจียนหลี่กลอกตาใส่เขาและพูดว่า “เหมือนที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด เจ้ามันคนวิปริต!”
เมื่อเห็นท่าทางที่เหนื่อยล้าของนาง หลี่หรานก็รู้ว่ามันมากเกินไป เขาเอื้อมมือดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด
“ไม่...”
เยว่เจียนหลี่คิดว่าเขากำลังจะทำมันอีกครั้ง ในขณะที่นางกำลังจะร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก จู่ๆพลังงานทางพุทธะก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง
พร้อมกับเสียงแผ่วเบาของปรมันต์ จิตใจของนางสงบลงอย่างรวดเร็ว
ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดทั้งหมดหายไป ร่างกายของนางรู้สึกอบอุ่นและสบาย
“เจ้าศึกษาพุทธะด้วย?” เยว่เจียนหลี่ไม่สามารถทำใจเชื่อได้
พลังพุทธะที่บริสุทธิ์เช่นนี้หาได้ยากมากแม้แต่ในหมู่ภิกษุที่มีชื่อเสียงของวิหารอู่หวาง
หลี่หรานเป็นผู้บ่มเพาะเต๋า ดังนั้นจึงไม่เป็นไรหากสมรรถภาพทางกายของเขาสามารถบดขยี้สัตว์อสูรขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณได้ แต่เขากลับเป็นภิกษุด้วย?
มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!
“อมิตาพุทธ ภิกษุผู้สิ้นอาสวะรูปนี้ชื่อว่าพระชุ้ง แม่นางรู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลี่หรานยิ้มอย่างชั่วร้าย
“พระชุ้ง? ช่างเป็นชื่อที่ประหลาดจริงๆ...” เยว่เจียนหลี่พึมพำ
[TL: อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเล่นมุกอะไร]
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเขินอายเมื่อนึกถึงวิธีที่เขาใช้พลังงานพุทธบริสุทธิ์
นางรีบซ่อนตัวใต้ผ้าห่มและไม่กล้ามองหน้าเขาอีก
—
โรงเตี๊ยมจันทราฤดูใบไม้ร่วง
หลังจากพักผ่อนมาทั้งวันทั้งคืน ผู้บ่มเพาะก็เกือบจะฟื้นตัวแล้ว
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งกลับไปที่นิกายโดยเซิงจื่อเซี่ย
คนที่เหลือรวมตัวกันที่ห้องโถง พวกเขากำลังดื่มชาและพูดคุยกัน และบรรยากาศก็ผ่อนคลายกว่าเดิมมาก
ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาเป็น ‘สหาย’ ที่เคยมีประสบการณ์ชีวิตและความตายร่วมกัน
สำหรับเซิงจื่อเซี่ย นางมีรอยคล้ำใต้ตาสองดวงและดวงตาของนางเองก็เหม่อลอย
“องค์หญิงเซิง มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” หลินหลางเยว่ถามด้วยความสงสัย “ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“อา?” ความเขินอายวาบผ่านดวงตาของเซิงจื่อเซี่ยขณะที่นางส่ายหัว “ไม่มีอะไร เป็นเพียงว่าเมื่อคืนข้าพักผ่อนไม่เพียงพอ”
“โอ้ เข้าใจแล้ว...” หลินหลางเยว่ไม่ได้ถามต่อ
“บุตรศักดิ์สิทธิ์หลี่มาแล้ว!” เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ห้องโถงก็เงียบลงทันที
ทุกคนมองไปที่บันได
หลี่หรานเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ
ทุกคนยืนขึ้น รวมทั้งหลินหลางเยว่
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะที่ต่อสู้กับคลื่นสัตว์อสูรด้วยกัน พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งและความกล้าหาญของหลี่หราน
เขาได้ช่วยชีวิตพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งในสามท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือดนั้น
ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความเคารพ
มีเพียงใบหน้าของเซิงจื่อเซี่ยเท่านั้นที่เป็นสีแดง นางซ่อนตัวอยู่ด้านข้างเหมือนกระต่ายที่ตื่นตระหนก
ฉินหรูเหยียนก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ บุตรศักดิ์สิทธิ์หลี่ เจ้านอนหลับสบายไหม?”
หลี่หรานพยักหน้า “ไม่เลวเลย”
เมื่อเซิงจื่อเซี่ยได้ยินสิ่งนี้ นางก็ก้มศีรษะลงและหน้าแดงก่ำราวกับแอปเปิ้ลสุก
นางพึมพำกับตัวเอง “เจ้านอนหลับสบายแต่ข้าไม่ได้นอนทั้งคืน!”
เหตุผลก็คือฉากนั้น...
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกกระสับกระส่าย
—
หลี่หรานมาถึงที่นั่งและนั่งลง
หลังจากที่เขานั่งลงแล้ว คนอื่นๆก็ทำตาม
หลินหลางเยว่มองไปรอบๆและถามด้วยความสงสัยว่า “หัวหน้าศิษย์เยว่ไม่มาหรือ? นางยังพักผ่อนอยู่?”
“ข้าอยู่นี่”
พร้อมกับเสียงสดชื่น เยว่เจียนหลี่เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับดาบในมือ ชุดของนางในวันนี้แสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา
“ขอโทษทุกคนด้วย ข้าออกไปเดินเล่นในตอนเช้าและมาช้าไปหน่อย” นางป้องมือขณะพูด
“ทุกอย่างปกติดี”
“หัวหน้าศิษย์เยว่สุภาพเกินไป”
“เชิญนั่งก่อน”
ทุกคนพูดคุยกันเล็กน้อย
มีเพียงฉินหรูเหยียนเท่านั้นที่จ้องมองนางอย่างจริงจัง
ใบหน้าของเยว่เจียนหลี่นั้นเต็มไปด้วยความสดชื่น ผิวของนางเปล่งปลั่งยิ่งกว่าเดิม และดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยประกายแวววาว
คนอื่นอาจบอกไม่ได้ แต่ฉินหรูเหยียนสามารถบอกได้
เยว่เจียนหลี่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
“จะเป็นไปได้ยังไง? นางยัง...”
ในขณะนั้นเองที่เยว่เจียนหลี่นั่งลง
หลี่หรานยิ้มและขยิบตาให้นาง จากนั้นรอยแดงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง และนางก็หันศีรษะหนีในลักษณะที่ผิดธรรมชาติ...
ฉินหรูเหยียนผู้ซึ่งสังเกตเห็นฉากนี้เกิดความคิดที่บ้าคลั่งขึ้นมา
แม้จะเป็นเช่นนั้น นางก็ยังตกใจกับการคาดเดาของตัวเอง!
“ไม่ ไม่มีทาง!”
เมื่อเห็นว่าทุกคนมาถึงแล้ว เซิงจื่อเซี่ยจึงยืนขึ้นและพูดว่า “ทุกคน ข้าคือเซิงจื่อเซี่ยจากตระกูลเซิง”
“ด้วยความร่วมมือและความกล้าหาญของทุกคน เราสามารถต้านทานคลื่นสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวและปกป้องผู้คนนับแสนในเมืองหนานเฟิงไว้ได้ นี่คือชัยชนะของมนุษยชาติ!”
“ในนามของตระกูลเซิง ข้าขอขอบคุณนักรบผู้กล้าหาญทุกท่านสำหรับการทำงานหนัก ขอบคุณสำหรับการปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์!
“ข้าจะให้เสด็จพ่อประกาศเรื่องนี้ให้โลกรู้ ชื่อของนักรบทุกคนมีค่าควรแก่การจดจำในประวัติศาสตร์!”
จากนั้นนางก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
คำพูดของนางจริงใจและนางไม่ได้บอกว่าสิ่งใดถูกหรือสิ่งใดผิด สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจมาก
ความประทับใจที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
จากนั้นเซิงจื่อเซี่ยก็นั่งลง
หลินหลางเยว่ถามว่า “หลี่หราน เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
คืนนั้น หลังจากเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคู่ต่อสู้ ความปรารถนาที่จะเอาชนะของนางก็หายไปหมดแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับพระคุณช่วยชีวิต การทุบตีที่นางได้รับนั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึงด้วยซ้ำ...
หลี่หรานส่ายหัว “ข้าจะให้เจ้าพูดแทนก็แล้วกัน”
“เข้าใจแล้ว” หลินหลางเยว่พยักหน้า
“แม้ว่าคลื่นสัตว์อสูรจะหยุดลงชั่วคราว แต่เรายังไม่พบแหล่งที่มาของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกตินี้ มันอาจเป็นสมบัติหรืออันตรายร้ายแรงก็ย่อมได้”
“สถาบันเทียนซูกำลังเตรียมที่จะเข้าไปในเทือกเขาเพื่อตรวจสอบ หากใครมีความคิดเห็นเดียวกันก็สามารถมากับเราได้”
“แต่จากการคาดเดาของข้า สาเหตุของคลื่นสัตว์อสูรน่าจะเกิดจากการที่สัตว์อสูรถูกขับไล่ออกมา สิ่งนี้ทำให้สัตว์อสูรจากด้านในและรอบนอกถูกบังคับให้ออกมาโจมตีหมู่บ้านและเมืองหนานเฟิง”
“และหากเป็นเช่นนั้นจริง พื้นที่โดยรอบจะกลายเป็นสถานที่อันตรายและสัตว์ดุร้ายอาจปรากฏขึ้นในส่วนลึกของเทือกเขา!”
“ทุกๆคน ถ้าเจ้าเลือกที่จะเข้าไปในเทือกเขา เจ้าจะต้องระมัดระวังให้ดี!”
สิ่งที่หลินหลางเยว่พูดนั้นสมเหตุสมผล
ผู้บ่มเพาะรู้ว่ามันเป็นการเดิมพัน แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเข้าไป
พวกเขามาเพื่อค้นหาโชคชะตาอมตะตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อคลื่นสัตว์อสูรสิ้นสุดลงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะยอมแพ้กลางคัน
หลินหลางเยว่พยักหน้า
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปในเทือกเขาด้วยกันเถอะ!”
“เราจะออกเดินทางทันที!”
/////