ตอนที่แล้วบทที่ 124 ราชาอสูรและปีศาจในร่างมนุษย์!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 126 องค์หญิงเซิงจื่อเซี่ย!

(ฟรี) บทที่ 125 การโต้กลับของมนุษยชาติ!


ทันใดนั้นทั้งสนามรบก็เงียบลง

ทุกคนดูฉากนี้ด้วยความตกตะลึง

หลี่หรานยืนตระหง่านดุจดั่งหอคอยเหล็กกำลังปล่อยพลังงานโลหิตที่หนาแน่นออกมา

สำหรับราชสีห์อสนีคลั่งที่เย่อหยิ่งจองหอง ร่างกายของมันกำลังกระตุกอย่างต่อเนื่องในขณะที่เลือดไหลออกมาจากรูบนหน้าอกของมัน

พลังชีวิตที่น่าล้นหลามของสัตว์อสูรขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณทำให้มันไม่ตายในทันที แม้ว่าหัวใจของมันจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม

ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกของมันปราศจากความกระหายและความโหดเหี้ยมโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงความเจ็บปวดและการอ้อนวอน

มันหวาดกลัวขณะที่มันพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด!

ดวงตาสีแดงเข้มของหลี่หรานเย็นยะเยียบขณะที่เขายกเท้าขวาขึ้นเหยียบหัวของราชสีห์อสนีคลั่ง

ดวงตาที่หวาดกลัวของมันถูกกระแทกแตกอย่างรุนแรง

ของเหลวสีแดงและสีขาวกระเซ็นไปทุกทิศทาง

ขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณ ราชสีห์อสนีคลั่ง—ตายแล้ว!

การต่อสู้ที่นองเลือดระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูรครั้งนี้ใช้เวลาเพียงชั่วก้านธูปอย่างคุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสินว่าใครจะอยู่และใครจะตาย ใครจะเหลือรอดและใครจะจากไป!

ศพขนาดใหญ่ของราชสีห์อสนีคลั่งซีดลง และดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งของมันก็มืดสลัว

มันไม่มีแม้แต่ทักษะอันศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังออกมาจากร่างของมัน การทำลายกายเนื้อของมันคือความตายอย่างแท้จริง

หลี่หรานเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตาที่ไม่แยแสไปที่ฝูงสัตว์อสูร

ความกล้าของพวกมันมลายสิ้นไปหมดแล้ว

ในที่สุดพวกมันก็ตระหนักว่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เหยื่อแต่อย่างใด

เขาเป็นนักล่า!

หลี่หรานก้าวไปข้างหน้า และสัตว์อสูรก็ถอยหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงสะอื้นด้วยความกลัวถูกปล่อยออกมาจากปากของพวกมัน

เขาก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และสัตว์อสูรก็ล่าถอยอีกครั้ง

คนเพียงคนเดียวบังคับให้คลื่นสัตว์อสูรทั้งหมดล่าถอย

เสียงเย็นชาของหลี่หรานดังขึ้น “ศิษย์ของวิหารโหยวหลัวจงฟัง!”

“ขอรับ!” ศิษย์หลายคนบินเข้ามาหาเขา

พวกเขาทำตามคำสั่งของหลี่หรานและสร้างแนวป้องกันเพื่อป้องกันสัตว์อสูร ในขณะที่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา

แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะซีดเซียวเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสิ้นลมแม้แต่คนเดียว!

หลี่หรานมองไปที่กลุ่มสัตว์อสูรตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว “เริ่มการล่า!”

“ฆ่า!” ดวงตาของเหล่าศิษย์เต็มไปด้วยความเร่าร้อนขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าหาสัตว์อสูร

เยว่เจียนหลี่มองไปที่ร่างตรงหน้า แก้มของนางแดงก่ำและหัวใจของนางก็เต้นแรง

นี่คือหลี่หราน!

นางก้าวขึ้นไปบนดาบบินและลอยขึ้นไปในอากาศ เสียงของนางดังและชัดเจน “ศิษย์ของศาลาหมื่นดาบฟังคำสั่งข้า ถึงเวลาโต้กลับแล้ว!”

“ฆ่า!”

“ส่งพวกมันกลับไปที่เทือกเขาสือว่าน!”

“เพื่อความรุ่งโรจน์ของมวลมนุษยชาติ!”

ผู้บ่มเพาะรู้สึกว่าเลือดของพวกเขาเดือดพล่าน พวกเขาใช้จิตวิญญาณที่เหลืออยู่เพื่อพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูร!

เสียงแตรแสดงการโต้กลับดังขึ้นอย่างเป็นทางการ

แนวป้องกันที่ถูกผลักไปที่ทางเข้าเมืองกำลังผลักคลื่นสัตว์อสูรทั้งหมดกลับไป!

คลื่นสัตว์อสูรทั้งหมดถูกทำให้กลัวในพริบตาโดยหลี่หราน

เดิมทีพวกมันถูกผลักดันโดยสัญชาตญาณในการล่า แต่ในขณะนี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกมันหายไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันหันกลับและหนีไปพร้อมกับร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

อู้วววว!

ในความสับสนอลหม่าน พวกพ้องของพวกมันถูกเหยียบย่ำจนตาย

ในขณะนี้ ความโกรธที่สะสมอยู่ในใจของผู้บ่มเพาะได้รับการระบายออกในที่สุด!

แสงศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นทันที ทักษะเต๋าส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน

หลี่หรานไม่ได้โจมตีต่อ

เขายืนเอามือไพล่หลัง แม้ว่าเสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่ง แต่การคงอยู่ของเขาก็ยังคงเปล่งประกาย

หลินหลางเยว่จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างว่างเปล่า หัวใจของนางเต็มไปด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้

นี่คือปีศาจที่ไร้กฎเกณฑ์

เขาดูหมิ่นวิถีธรรม เกลียดชังวิถีมาร และไม่สนใจแม้แต่อัจฉริยะของนิกายชั้นนำ

บุคคลดังกล่าวเต็มใจที่จะกระโจนเข้าสู่คลื่นสัตว์อสูรและต่อสู้กับราชาอสูรขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณจนถึงแก่ความตายเพื่อปกป้องมนุษย์ธรรมดาของเมืองหนานเฟิง!

หากเขาไม่ได้ใช้วิธีดั้งเดิมและบ้าเลือดในการฆ่าราชสีห์อสนีคลั่งและข่มขู่สัตว์อสูร คลื่นสัตว์อสูรก็คงไม่ถอยกลับ!

“หลี่หราน...”

“เจ้าเป็นคนเช่นใดกันแน่?”

แสงยามเช้าค่อยๆส่องลงมาผ่านช่องว่างของท้องฟ้า

ในที่สุดกลางคืนก็ถูกแสงแดดแผดเผา และคลื่นสัตว์อสูรก็สลายไปจนหมดสิ้น

พื้นที่นอกเมืองหนานเฟิงถูกทำลายล้าง

กลิ่นคาวของเลือดปกคลุมไปทั่วซากปรักหักพัง และผืนดินสีอ่อนก็ถูกย้อมเป็นสีดำสนิทและสีแดงเข้ม

ซากศพที่ถูกทำลายนั้นดุร้ายและน่าสะพรึงกลัว พวกมันปกคลุมที่ราบและปิดกั้นเส้นขอบฟ้าทั้งหมด

กระบี่และดาบกระจัดกระจายไปรอบๆ แม้แต่ควันก็ยังไม่ถูกพัดปลิวออกไป...

อย่างไรก็ตาม ฉากวินาศสันตะโรนี้กลับเต็มไปด้วยความหวัง

เสื้อผ้าของผู้บ่มเพาะนั้นขาดวิ่นและร่างกายของพวกเขาก็ปกคลุมไปด้วยเลือด ปราศจากร่องรอยของผู้บ่มเพาะที่สูงส่งและทรงพลังอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเขากลับไปเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ตื่นเต้น

ในท้ายที่สุด คลื่นสัตว์อสูรก็ไม่สามารถทะลวงผ่านแนวป้องกันของมนุษย์ชาติได้

ไม่มีสามัญชนของเมืองหนานเฟิงคนใดเสียชีวิต

นี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์

แอ๊ดด

ประตูของเมืองหนานเฟิงเปิดออกอย่างช้าๆ

สามัญชนพุ่งออกจากเมืองราวกับกระแสน้ำ

แม้ว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในเมือง แต่พวกเขาก็รู้ว่าการต่อสู้ข้างนอกนั้นรุนแรงเพียงใดด้วยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนสวรรค์และทักษะเต๋าที่ดังกึกก้อง

ผู้บ่มเพาะอมตะที่ปกติจะมองลงมาอย่างสูงส่งนั้นกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเขา!

เจ้าเมืองแห่งเมืองหนานเฟิงเดินผ่านฝูงชนมาถึงหน้าผู้บ่มเพาะ เขาคุกเข่าลงและหมอบกราบ

“ขอบคุณท่านผู้เป็นอมตะที่ช่วยชีวิตพวกเราชาวเมืองหนานเฟิง!”

พลเมืองที่อยู่ข้างหลังเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน...

“ขอบคุณท่านผู้เป็นอมตะที่ช่วยชีวิตพวกเรา!”

“ขอบคุณท่านผู้เป็นอมตะ!”

ในบรรดาคนเหล่านี้มีทั้งชายชราผมขาว เด็กที่เกล้าผมเป็นมวย และแม้แต่หญิงสาวที่อุ้มทารก... โดยไม่มีข้อยกเว้น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณและชื่นชมบูชา

เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้ ผู้บ่มเพาะก็รู้สึกถึงความปิติยินดีเล็กน้อย

พวกเขาดีใจที่ไม่หนีจากการสู้รบและเลือกที่จะต่อสู้เพื่อมนุษย์ธรรมดา จนสุดท้ายพวกเขาก็ปกป้องประตูเมืองได้สำเร็จ

“บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของการบ่มเพาะเช่นกัน?”

จากนั้นชาวบ้านก็แบกเปลหามออกมาและช่วยเหลือผู้บ่มเพาะที่บาดเจ็บเข้าไปในเมือง

กำแพงเมืองเงียบลง

ผู้บ่มเพาะที่รู้จักกันในชื่อ “กองหนุน” ดูฉากนี้ด้วยสีหน้าขมขื่น

โดยไม่คาดคิด คลื่นสัตว์อสูรถูกขับไล่กลับไป

การแสดงออกของผู้ดูแลจากพระราชวังเต๋าสูงสุดนั้นไม่น่าดูอย่างยิ่ง

หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่เพียงแต่จะนำความอับอายมาสู่นิกายเท่านั้น เขายังต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงอีกด้วย

ดวงตาของผู้ดูแลหลิวเปลี่ยนไป “ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ!”

“ถูกต้อง กองหนุนก็มีส่วนด้วย!”

“ใช่แล้ว เราเองก็ถือว่ามีส่วนร่วมเช่นกัน!”

“เมื่อกี้ข้ายังแจกจ่ายเม็ดยาด้วยซ้ำ!”

คนกลุ่มนี้เริ่มตะโกนอย่างไร้ยางอาย

ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไปตามกำแพง ชายหนุ่มหน้าขาวก็ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา

“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสิบลมหายใจในการไสหัวไป มิฉะนั้น...”

ไป๋เจียงเย่พูดอย่างเฉยเมย“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด”

ศิษย์นิกายเซิงอวี่ที่อยู่ข้างหลังต่างล้อมรอบพวกเขา

ผู้ดูแลหลิวกลืนน้ำลาย “ไป๋เจียงเย่ เจ้าเองก็ยืนดูอยู่เฉยๆไม่ใช่หรือไง? นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”

รอยยิ้มของไป๋เจียงเย่นั้นสว่างไสว “ใช่แล้ว ข้าเพียงแต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ เพราะชีวิตของสามัญชนก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตปศุสัตว์ในสายตาข้า”

“ข้าก็แค่เห็นพวกเจ้าแล้วไม่พอใจเท่านั้น มีข้อโต้แย้งอะไรไหม?”

ผู้ดูแลหลิวขมวดคิ้ว “เจ้า!”

ฟันของไป๋เจียงเย่ขาวราวกับหิมะ “เหลือเวลาอีกห้าลมหายใจ”

“ไป๋เจียงเย่!”

“สี่”

ผู้ดูแลหลิวกระทืบเท้าและบินหนีไปพร้อมกับเหล่าศิษย์ของพระราชวังเต๋าสูงสุด

นิกายอื่นๆและผู้บ่มเพาะพเนจรก็ไม่กล้าอยู่ต่อและหนีไป

ความโหดเหี้ยมของนิกายเซิงอวี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!

ไป๋เจียงเย่หันกลับไปมองร่างสูงและตรงของหลี่หรานด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆจางหายไป

“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง...”

/////

[ TL: (มนุษย์ธรรมดา = สามัญชน = คนธรรมดา = พลเมือง) ความหมายเหมือนกันแต่บางบริบทจะใช้ต่างกัน เลือกใช้คำว่ามนุษย์เลยไม่ได้เพราะผู้บ่มเพาะก็เป็นมนุษย์ ]