(ฟรี) บทที่ 125 การโต้กลับของมนุษยชาติ!
ทันใดนั้นทั้งสนามรบก็เงียบลง
ทุกคนดูฉากนี้ด้วยความตกตะลึง
หลี่หรานยืนตระหง่านดุจดั่งหอคอยเหล็กกำลังปล่อยพลังงานโลหิตที่หนาแน่นออกมา
สำหรับราชสีห์อสนีคลั่งที่เย่อหยิ่งจองหอง ร่างกายของมันกำลังกระตุกอย่างต่อเนื่องในขณะที่เลือดไหลออกมาจากรูบนหน้าอกของมัน
พลังชีวิตที่น่าล้นหลามของสัตว์อสูรขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณทำให้มันไม่ตายในทันที แม้ว่าหัวใจของมันจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม
ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกของมันปราศจากความกระหายและความโหดเหี้ยมโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงความเจ็บปวดและการอ้อนวอน
มันหวาดกลัวขณะที่มันพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด!
ดวงตาสีแดงเข้มของหลี่หรานเย็นยะเยียบขณะที่เขายกเท้าขวาขึ้นเหยียบหัวของราชสีห์อสนีคลั่ง
ดวงตาที่หวาดกลัวของมันถูกกระแทกแตกอย่างรุนแรง
ของเหลวสีแดงและสีขาวกระเซ็นไปทุกทิศทาง
ขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณ ราชสีห์อสนีคลั่ง—ตายแล้ว!
การต่อสู้ที่นองเลือดระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูรครั้งนี้ใช้เวลาเพียงชั่วก้านธูปอย่างคุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสินว่าใครจะอยู่และใครจะตาย ใครจะเหลือรอดและใครจะจากไป!
ศพขนาดใหญ่ของราชสีห์อสนีคลั่งซีดลง และดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งของมันก็มืดสลัว
มันไม่มีแม้แต่ทักษะอันศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังออกมาจากร่างของมัน การทำลายกายเนื้อของมันคือความตายอย่างแท้จริง
หลี่หรานเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตาที่ไม่แยแสไปที่ฝูงสัตว์อสูร
ความกล้าของพวกมันมลายสิ้นไปหมดแล้ว
ในที่สุดพวกมันก็ตระหนักว่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เหยื่อแต่อย่างใด
เขาเป็นนักล่า!
หลี่หรานก้าวไปข้างหน้า และสัตว์อสูรก็ถอยหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงสะอื้นด้วยความกลัวถูกปล่อยออกมาจากปากของพวกมัน
เขาก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และสัตว์อสูรก็ล่าถอยอีกครั้ง
คนเพียงคนเดียวบังคับให้คลื่นสัตว์อสูรทั้งหมดล่าถอย
เสียงเย็นชาของหลี่หรานดังขึ้น “ศิษย์ของวิหารโหยวหลัวจงฟัง!”
“ขอรับ!” ศิษย์หลายคนบินเข้ามาหาเขา
พวกเขาทำตามคำสั่งของหลี่หรานและสร้างแนวป้องกันเพื่อป้องกันสัตว์อสูร ในขณะที่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา
แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะซีดเซียวเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสิ้นลมแม้แต่คนเดียว!
หลี่หรานมองไปที่กลุ่มสัตว์อสูรตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว “เริ่มการล่า!”
“ฆ่า!” ดวงตาของเหล่าศิษย์เต็มไปด้วยความเร่าร้อนขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าหาสัตว์อสูร
เยว่เจียนหลี่มองไปที่ร่างตรงหน้า แก้มของนางแดงก่ำและหัวใจของนางก็เต้นแรง
นี่คือหลี่หราน!
นางก้าวขึ้นไปบนดาบบินและลอยขึ้นไปในอากาศ เสียงของนางดังและชัดเจน “ศิษย์ของศาลาหมื่นดาบฟังคำสั่งข้า ถึงเวลาโต้กลับแล้ว!”
“ฆ่า!”
“ส่งพวกมันกลับไปที่เทือกเขาสือว่าน!”
“เพื่อความรุ่งโรจน์ของมวลมนุษยชาติ!”
ผู้บ่มเพาะรู้สึกว่าเลือดของพวกเขาเดือดพล่าน พวกเขาใช้จิตวิญญาณที่เหลืออยู่เพื่อพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูร!
เสียงแตรแสดงการโต้กลับดังขึ้นอย่างเป็นทางการ
แนวป้องกันที่ถูกผลักไปที่ทางเข้าเมืองกำลังผลักคลื่นสัตว์อสูรทั้งหมดกลับไป!
คลื่นสัตว์อสูรทั้งหมดถูกทำให้กลัวในพริบตาโดยหลี่หราน
เดิมทีพวกมันถูกผลักดันโดยสัญชาตญาณในการล่า แต่ในขณะนี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกมันหายไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันหันกลับและหนีไปพร้อมกับร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
อู้วววว!
ในความสับสนอลหม่าน พวกพ้องของพวกมันถูกเหยียบย่ำจนตาย
ในขณะนี้ ความโกรธที่สะสมอยู่ในใจของผู้บ่มเพาะได้รับการระบายออกในที่สุด!
แสงศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นทันที ทักษะเต๋าส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน
หลี่หรานไม่ได้โจมตีต่อ
เขายืนเอามือไพล่หลัง แม้ว่าเสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่ง แต่การคงอยู่ของเขาก็ยังคงเปล่งประกาย
หลินหลางเยว่จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างว่างเปล่า หัวใจของนางเต็มไปด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้
นี่คือปีศาจที่ไร้กฎเกณฑ์
เขาดูหมิ่นวิถีธรรม เกลียดชังวิถีมาร และไม่สนใจแม้แต่อัจฉริยะของนิกายชั้นนำ
บุคคลดังกล่าวเต็มใจที่จะกระโจนเข้าสู่คลื่นสัตว์อสูรและต่อสู้กับราชาอสูรขอบเขตกำเนิดจิตวิญญาณจนถึงแก่ความตายเพื่อปกป้องมนุษย์ธรรมดาของเมืองหนานเฟิง!
หากเขาไม่ได้ใช้วิธีดั้งเดิมและบ้าเลือดในการฆ่าราชสีห์อสนีคลั่งและข่มขู่สัตว์อสูร คลื่นสัตว์อสูรก็คงไม่ถอยกลับ!
“หลี่หราน...”
“เจ้าเป็นคนเช่นใดกันแน่?”
—
แสงยามเช้าค่อยๆส่องลงมาผ่านช่องว่างของท้องฟ้า
ในที่สุดกลางคืนก็ถูกแสงแดดแผดเผา และคลื่นสัตว์อสูรก็สลายไปจนหมดสิ้น
พื้นที่นอกเมืองหนานเฟิงถูกทำลายล้าง
กลิ่นคาวของเลือดปกคลุมไปทั่วซากปรักหักพัง และผืนดินสีอ่อนก็ถูกย้อมเป็นสีดำสนิทและสีแดงเข้ม
ซากศพที่ถูกทำลายนั้นดุร้ายและน่าสะพรึงกลัว พวกมันปกคลุมที่ราบและปิดกั้นเส้นขอบฟ้าทั้งหมด
กระบี่และดาบกระจัดกระจายไปรอบๆ แม้แต่ควันก็ยังไม่ถูกพัดปลิวออกไป...
อย่างไรก็ตาม ฉากวินาศสันตะโรนี้กลับเต็มไปด้วยความหวัง
เสื้อผ้าของผู้บ่มเพาะนั้นขาดวิ่นและร่างกายของพวกเขาก็ปกคลุมไปด้วยเลือด ปราศจากร่องรอยของผู้บ่มเพาะที่สูงส่งและทรงพลังอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเขากลับไปเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ตื่นเต้น
ในท้ายที่สุด คลื่นสัตว์อสูรก็ไม่สามารถทะลวงผ่านแนวป้องกันของมนุษย์ชาติได้
ไม่มีสามัญชนของเมืองหนานเฟิงคนใดเสียชีวิต
นี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์
แอ๊ดด
ประตูของเมืองหนานเฟิงเปิดออกอย่างช้าๆ
สามัญชนพุ่งออกจากเมืองราวกับกระแสน้ำ
แม้ว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในเมือง แต่พวกเขาก็รู้ว่าการต่อสู้ข้างนอกนั้นรุนแรงเพียงใดด้วยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนสวรรค์และทักษะเต๋าที่ดังกึกก้อง
ผู้บ่มเพาะอมตะที่ปกติจะมองลงมาอย่างสูงส่งนั้นกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเขา!
เจ้าเมืองแห่งเมืองหนานเฟิงเดินผ่านฝูงชนมาถึงหน้าผู้บ่มเพาะ เขาคุกเข่าลงและหมอบกราบ
“ขอบคุณท่านผู้เป็นอมตะที่ช่วยชีวิตพวกเราชาวเมืองหนานเฟิง!”
พลเมืองที่อยู่ข้างหลังเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน...
“ขอบคุณท่านผู้เป็นอมตะที่ช่วยชีวิตพวกเรา!”
“ขอบคุณท่านผู้เป็นอมตะ!”
—
ในบรรดาคนเหล่านี้มีทั้งชายชราผมขาว เด็กที่เกล้าผมเป็นมวย และแม้แต่หญิงสาวที่อุ้มทารก... โดยไม่มีข้อยกเว้น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณและชื่นชมบูชา
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้ ผู้บ่มเพาะก็รู้สึกถึงความปิติยินดีเล็กน้อย
พวกเขาดีใจที่ไม่หนีจากการสู้รบและเลือกที่จะต่อสู้เพื่อมนุษย์ธรรมดา จนสุดท้ายพวกเขาก็ปกป้องประตูเมืองได้สำเร็จ
“บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของการบ่มเพาะเช่นกัน?”
จากนั้นชาวบ้านก็แบกเปลหามออกมาและช่วยเหลือผู้บ่มเพาะที่บาดเจ็บเข้าไปในเมือง
กำแพงเมืองเงียบลง
ผู้บ่มเพาะที่รู้จักกันในชื่อ “กองหนุน” ดูฉากนี้ด้วยสีหน้าขมขื่น
โดยไม่คาดคิด คลื่นสัตว์อสูรถูกขับไล่กลับไป
การแสดงออกของผู้ดูแลจากพระราชวังเต๋าสูงสุดนั้นไม่น่าดูอย่างยิ่ง
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่เพียงแต่จะนำความอับอายมาสู่นิกายเท่านั้น เขายังต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงอีกด้วย
ดวงตาของผู้ดูแลหลิวเปลี่ยนไป “ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ!”
“ถูกต้อง กองหนุนก็มีส่วนด้วย!”
“ใช่แล้ว เราเองก็ถือว่ามีส่วนร่วมเช่นกัน!”
“เมื่อกี้ข้ายังแจกจ่ายเม็ดยาด้วยซ้ำ!”
คนกลุ่มนี้เริ่มตะโกนอย่างไร้ยางอาย
ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไปตามกำแพง ชายหนุ่มหน้าขาวก็ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสิบลมหายใจในการไสหัวไป มิฉะนั้น...”
ไป๋เจียงเย่พูดอย่างเฉยเมย“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด”
ศิษย์นิกายเซิงอวี่ที่อยู่ข้างหลังต่างล้อมรอบพวกเขา
ผู้ดูแลหลิวกลืนน้ำลาย “ไป๋เจียงเย่ เจ้าเองก็ยืนดูอยู่เฉยๆไม่ใช่หรือไง? นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”
รอยยิ้มของไป๋เจียงเย่นั้นสว่างไสว “ใช่แล้ว ข้าเพียงแต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ เพราะชีวิตของสามัญชนก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตปศุสัตว์ในสายตาข้า”
“ข้าก็แค่เห็นพวกเจ้าแล้วไม่พอใจเท่านั้น มีข้อโต้แย้งอะไรไหม?”
ผู้ดูแลหลิวขมวดคิ้ว “เจ้า!”
ฟันของไป๋เจียงเย่ขาวราวกับหิมะ “เหลือเวลาอีกห้าลมหายใจ”
“ไป๋เจียงเย่!”
“สี่”
ผู้ดูแลหลิวกระทืบเท้าและบินหนีไปพร้อมกับเหล่าศิษย์ของพระราชวังเต๋าสูงสุด
นิกายอื่นๆและผู้บ่มเพาะพเนจรก็ไม่กล้าอยู่ต่อและหนีไป
ความโหดเหี้ยมของนิกายเซิงอวี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!
ไป๋เจียงเย่หันกลับไปมองร่างสูงและตรงของหลี่หรานด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆจางหายไป
“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง...”
/////
[ TL: (มนุษย์ธรรมดา = สามัญชน = คนธรรมดา = พลเมือง) ความหมายเหมือนกันแต่บางบริบทจะใช้ต่างกัน เลือกใช้คำว่ามนุษย์เลยไม่ได้เพราะผู้บ่มเพาะก็เป็นมนุษย์ ]