ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 172 จิตใจมนุษย์
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 172 จิตใจมนุษย์
แปลโดย iPAT
“ปัง ปัง ปัง ปัง!”
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ในชุดเครื่องแบบสีเข้มทำลายหลังคาเข้ามาในห้องเก็บศพโดยตรง
ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งขึ้นโดยรอบแต่ไม่มีละอองฝุ่นแม้แต่อณูเดียวที่สามารถสัมผัสเสื้อผ้าของพวกเขาเนื่องจากพลังปราณที่ไหวเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา เสื้อผ้าของพวกเขาสะบัดตัวขึ้นขณะที่พวกเขามองหลี่ฉิงซานอย่างเย็นชา
จิตสังหารที่แหลมคมปิดล้อมหลี่ฉิงซานเอาไว้อย่างแน่นหนา คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้า เซี่ยหนานเต๋อ แต่เขาทรงพลังกว่าจางหลานฉิงมาก
พวกเขาเป็นนักฆ่ามืออาชีพ เป็นฝูงหมาป่าที่ออกล่าเหยื่อเป็นประจำ พวกเขาผ่านประสบการณ์แห่งชีวิตและความตายมานับครั้งไม่ถ้วน หากจางหลานฉิงต้องต่อสู้กับเซี่ยหนานเต๋อ เขาจะถูกฆ่าในการโจมตีเดียว
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานกลับนั่งลง เขาจับฝักดาบวายุไว้ในมือข้างหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะมองผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เหล่านี้ ฝุ่นละอองลอยห่างจากหลี่ฉิงซานห้าก้าวและไม่สามารถเข้าใกล้เข้าได้อีกแม้แต่นิ้วเดียว เสี่ยวอันยืนอยู่ข้างๆเขาขณะที่ดวงตาของนางราวกับไข่มุกสีดำที่เผยให้เห็นถึงความปรารถนาบางอย่าง
เขาถูกปิดล้อมจากด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย และด้านขวา เส้นทางเดียวที่เหลืออยู่คือทางเข้าห้องเก็บศพที่มืดมิด ลมเย็นๆพัดเข้ามาพร้อมกับเงาสีดำที่ก้าวข้ามธรณีประตู
แรงกดดันของคนผู้นี้เพียงคนเดียวยังเหนือกว่าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์คนอื่นๆรวมกัน
ในที่สุดหลี่ฉิงซานก็เงยหน้าขึ้น “ผู้บัญชาการจ้าว เป็นกลุ่มที่น่าประทับใจจริงๆ”
จ้าวจื่อป๋อกวาดตามมองห้องเก็บศพที่เต็มไปด้วยซากศพและถามด้วยความสงสัย “เจ้าทำทั้งหมดนี้และขับไล่นักพรตผีดิบไปงั้นหรือ?”
“ดังที่เห็น” หลี่ฉิงซานผายมือซ้าย
จ้าวจื่อป๋อหัวเราะ “เขาเป็นเพียงเศษขยะ!”
หากนักพรตผีดิบถูกกลุ่มผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ปิดล้อม เขาจะไม่สามารถผ่อนคลายเหมือนตอนที่เขาเผชิญหน้ากับศิษย์นิกายม่อจื้อเหล่านั้น แม้เขาจะพยายามหลบหนี เขาก็ยังต้องลงเอยด้วยการถูกฆ่าและฉีกเป็นชิ้นๆ
หลี่ฉิงซานเห็นด้วย “เขาเป็นเพียงเศษขยะจริงๆ”
ตั้งแต่พวกเขาออกเดินทาง จ้าวจื่อป๋อก็ไม่พยายามเก็บซ่อนเจตนาสังหารของเขาอีก “เจ้ากำลังจะตาย เจ้ามีคำสั่งเสียหรือไม่?”
หลี่ฉิงซานส่ายศีรษะและเผยรอยยิ้ม “ข้าจะไม่ตาย”
จ้าวจื่อป๋อกล่าว “ถูกต้อง เจ้าจะไม่ตายเร็วเกินไป เรามีนักทรมานที่เก่งที่สุดอยู่ที่นี่ เราจะผ่าเจ้าออกทีละส่วนและจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย”
เขาต้องการดื่มด่ำกับความหวาดกลัวและสิ้นหวังของหลี่ฉิงซาน แต่เขาก็ต้องผิดหวังเมื่อหลี่ฉิงซานเพียงเผยรอยยิ้มบางเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขี้ยวสีขาวราวหิมะคู่หนึ่งที่ยาวกว่าปกติเล็กน้อยยื่นออกมาจากปากของเขา
ไม่มีผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์คนใดเคลื่อนไหวขณะที่หลี่ฉิงซานกับจ้าวจื่อป๋อพูดคุยกัน แม้แต่สีหน้าของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยน แม้พวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่อ่อนแอที่สุด แต่พวกเขาก็ไม่ทำให้ชื่อเสียงของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เสียหาย
แม้หลี่ฉิงซานจะเป็นศัตรูกับคนกลุ่มนี้แต่เขายังต้องยกย่องพวกเขา
เขามั่นใจอย่างมากว่าสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ปัญหาเดียวคือเขาไม่สามารถปล่อยให้คนใดคนหนึ่งหลบหนี
หลี่ฉิงซานยืนขึ้น เขาใช้มือขวาดึงดาบวายุออกมาขณะที่มือซ้ายถือยันต์สายฟ้าฟาดเอาไว้ เสี่ยวอันถือดาบในมือข้างหนึ่งและกำลูกประคำหัวกะโหลกไว้ในมืออีกข้าง
ทั้งสองตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ได้ทันทีโดยไม่แม้แต่จะต้องสบตากัน มันเหมือนกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้กับนักพรตผีดิบก่อนหน้านี้ พวกเขาจะระเบิดพลังทั้งหมดที่มีและสังหารจ้าวจื่อป๋อที่แข็งแกร่งที่สุดทันที สำหรับคนที่เหลือ พวกเขาเป็นเพียงลูกแกะที่รอถูกเชือด แม้พวกเขาจะหลบหนี แต่การไล่ล่าก็ไม่ใช่เรื่องยาก
จ้าวจื่อป๋อพยักหน้าและดึงดาบวายุของเขาออกมาจากฝักเช่นกัน
การต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้นแต่ทันใดนั้นเสียงตะโกนกลับดังขึ้นจากด้านนอก “หลี่ฉิงซาน ขาของเจ้าผิดปกติงั้นหรือ? เหตุใดจึงช้านัก!?”
หลี่ฉิงซานผงะไปเล็กน้อย “เหตุใดจึงกลับมา?”
จ้าวจื่อป๋อมองย้อนกลับไปและเห็นชายร่างกำยำที่มีเคราเต็มหน้ายืนอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร กลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาและปืนใหญ่แสงในอ้อมแขนของเขาทำให้ดวงตาของจ้าวจื่อป๋อหรี่ลง
ห่าวปิงหยางกล่าว “ข้าจะมาหรือไป นั่นขึ้นอยู่กับความต้องการของข้า” จางหลานฉิงและคนอื่นๆยืนอยู่ข้างๆเขาพร้อมหน้าไม้พันศรด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
จางหลานฉิงกล่าว “เจ้ายังจัดการธุระไม่เสร็จอีกงั้นหรือ? หากเสร็จแล้วก็รีบมา!”
จ้าวจื่อป๋อกล่าวเสียงเย็น “ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่กลัว ดูเหมือนเจ้าจะมีผู้ช่วย ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
หลี่ฉิงซานเพิกเฉยต่อจ้าวจื่อป๋ออย่างสิ้นเชิง เขาตะโกนกลับไปที่ห่าวปิงหยาง “ข้ายังไปไม่ได้ พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อน ไม่ต้องรอข้า!”
ห่าวปิงหยางตะโกน “หากข้าต้องการให้เจ้ามา เจ้าก็ต้องมา หากผู้ใดพยายามหยุดข้า ข้าจะระเบิดพวกมันเป็นชิ้นๆ!”
หลี่ฉิงซานไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร แต่เขาเข้าใจสถานการณ์ เขาเก็บดาบและกล่าวกับจ้าวจื่อป๋อ “ผู้บัญชาการจ้าว ดูเหมือนวันนี้เวลาจะหมดแล้ว” จากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูทางออกพร้อมกับเสี่ยวอัน
ช่วงเวลาที่เขาเดินผ่านจ้าวจื่อป๋อ ทั้งคู่สัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารที่น่าตกใจจากอีกฝ่ายแต่พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหว
เก้อเจี้ยนกล่าว “ผู้บัญชาการ!”
จ้าวจื่อป๋อยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาหุบปาก
หลี่ฉิงซานมาถึงด้านข้างห่าวปิงหยางขณะที่ฝ่ายหลังกระซิบ “เกิดสิ่งใดขึ้น?”
หลี่ฉิงซานหัวเราะ “เรามีความขัดแย้งกันเล็กน้อย”
“ความขัดแย้งเล็กน้อย!?” ห่าวปิงหยางอุทาน ความขัดแย้งเล็กน้อยเพียงพอที่จะทำให้กลุ่มผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ปิดล้อมเขาด้วยเจตนาสังหารอย่างเปิดเผยงั้นหรือ? ผู้นำของพวกเขากระทั่งเป็นจอมยุทธ์ขั้นหก ผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬ!
จินเป่ากล่าวด้วยความหวาดกลัว “กระทั่งเขาจะอยู่ในระยะไกลและหันหลังให้ข้า แต่ชายผู้นั้นยังทำให้ข้ารู้สึกขนลุกไปทั่งร่าง!”
…..
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังชื่อหมู่บ้านถ้ำคือถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้าน
แม่น้ำสายเล็กไหลเข้าไปในถ้ำโดยไม่ไหลออก เรือและผู้คนก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน ในอดีต ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นพยายามสำรวจถ้ำแต่ไม่มีผู้ใดสามารถกลับออกมา นั่นทำให้มันกลายเป็นเขตต้องห้าม
อย่างไรก็ตามชื่อที่ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ตั้งให้กับสถานที่แห่งนี้คือถ้ำผีดิบ มันเป็นที่ซ่อนตัวของอาชญากรนักพรตผีดิบที่พวกเขาต้องการตัวมากที่สุด คนผู้นี้เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวแม้แต่กับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ของเมืองเจียเผิง
จ้าวจื่อป๋อเคยนำกลุ่มของเขาออกมาทำภารกิจนี้ด้วยตนเอง แต่เขาลงเอยด้วยการสูญเสียผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์สี่คนขณะที่พวกเขาไม่สามารถหาที่ซ่อนที่แท้จริงของนักพรตผีดิบ นั่นเป็นเหตุให้แต้มผลงานของภารกิจนี้สูงขึ้นไปจนกลายเป็นสถิติสูงสุดของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิง
ปัจจุบันหลี่ฉิงซานยืนอยู่หน้าปากถ้ำผีดิบ ถ้ำแห่งนี้สูงหลายสิบเมตรและกว้างมาก มันเหมือนปากของสัตว์ร้ายที่อ้ากว้างและปล่อยลมเย็นๆออกมา หลี่ฉิงซานได้กลิ่นเหม็นลอยมาตามสายลม มันเป็นกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ เขาเพ่งสายตามองเข้าไปแต่ยังเห็นเพียงความมืด หินย้อยที่ยื่นลงมาจากเพดานถ้ำเหมือนฟันของสัตว์ร้าย
ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออกยังไม่สามารถลดความมืดมนของสถานที่แห่งนี้
จางหลานฉิงนำเรือลำเล็กออกมาและโยนลงไปในแม่น้ำ เรือขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว มันสามารถรองรับคนได้แปดคน มีไม้พายหลายอันยื่นออกมาจากตัวเรือทั้งสองด้านทำให้มันดูเหมือนตะขาบ
“พวกเจ้าควรไปก่อน คนเหล่านั้นจะไม่ปล่อยข้า พวกเขาจะไล่ล่าข้าอย่างแน่นอน” หลี่ฉิงซานเล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆให้พวกเขาฟังแล้ว พวกเขาโกรธมาก แต่หลังจากที่พวกเขารู้สึกโกรธ ความกลัวก็ตามมา ท้ายที่สุดผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ก็เป็นตัวตนที่จอมยุทธ์ในยุทธภพทั้งหมดไม่ต้องการยุ่งเกี่ยว
จินหยวนและจินเป่าลดศีรษะลง พวกเขาไม่กล่าวสิ่งใด จากการเผชิญหน้าก่อนหน้านี้ พวกเขาได้เรียนรู้ความแตกต่างด้านความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขากับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แล้ว
เหออี้ซื่อกล่าวอย่างลังเล “นั่นก็ดีเช่นกัน มันง่ายกว่าหากเจ้าหนีไปคนเดียว”
ห่าวปิงหยางโกรธมาก “เมื่อมีผลประโยชน์ เราก็เข้ากันได้ดี แต่เมื่อมีอันตราย พวกเจ้ากลับโปรยแกลบในสายลมและห่วงเพียงตัวเอง พวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นมนุษย์!”
จินหยวนและจินเป่ารู้สึกละอายใจขณะที่เหออี้ซื่อกล่าว “ข้าเพียงแสดงความคิดเห็น!” อย่างไรก็ตามเขายังพึมพำอยู่ในใจและสงสัยว่าหลี่ฉิงซานกำลังหลอกใช้พวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายหรือไม่
จางหลานฉิงกล่าว “ถูกต้อง ฉิงซาน เจ้าจะปลอดภัยมากขึ้นหากเจ้าอยู่กับพวกเรา เมื่อภารกิจจบลง เราจะไปเมืองชิงเหอด้วยกัน เจ้าสามารถร้องเรียนกับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ของเมืองชิงเหอและให้พวกเราเป็นพยานให้เจ้า!”
ห่าวปิงหยางกล่าว “นั่นเป็นความคิดที่ไม่เลว หากยังไม่ได้ผล เจ้าก็ควรลาออก ฤดูใบไม้ผลิหน้า สำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์จะเปิดรับศิษย์ใหม่ เจ้าสามารถมาหาพวกเรา ข้าจะสอนทักษะการสร้างสิ่งของต่างๆให้เจ้าเอง”
หลี่ฉิงซานจดจำคำตอบของพวกเขาเอาไว้ทั้งหมด ห่าวปิงหยางเป็นคนกล้าหาญและตรงไปตรงมา แม้เขาจะอารมณ์ร้อนและปากเหม็นเป็นบางครั้ง แต่คุณธรรมของเขาไม่อาจถูกกลบด้วยข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น จางหลานฉิงเป็นคนซื่อสัตย์เช่นกัน เขามีความคิดที่สุขุมรอบคอบ สำหรับอีกสามคน พวกเขาแย่กว่ามาก พวกเขามีความภักดี กล้าหาญ และกระตือรือร้น แต่มันจะเกิดขึ้นหลังจากถูกกระตุ้นและคงอยู่เพียงไม่นาน
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานไม่ได้ไม่พอใจพวกเขาในเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่ทุกความพยายามในการสร้างมิตรที่จะได้รับการตอบสนอง แม้คนทั้งห้าจะไม่ต้องการให้หลี่ฉิงซานอยู่ใกล้ๆอีกต่อไป เขาก็จะไม่แปลกใจ ตรงข้าม มันหายากมากแล้วที่คนสองคนต้องการช่วยเขาอย่างจริงใจ พวกเขาคู่ควรที่จะเป็นสหาย สำหรับอีกสามคน พวกเขาเป็นได้เพียงคนรู้จัก
หลี่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ ข้าจะไปกับพวกเจ้าอีกหน่อย”
ห่าวปิงหยางกล่าว “ดีมาก!” จากนั้นคนทั้งเจ็ดก็ขึ้นเรือ ภายใต้การควบคุมของจางหลานฉิง ไม้พายที่เหมือนปีกทั้งสองข้างก็เริ่มขยับด้วยตัวมันเองและทำให้เรือแล่นเข้าไปในถ้ำ
ไม่นานหลังจากพวกเขาเข้าไป กลุ่มของจ้าวจื่อป๋อก็มาถึงปากถ้ำผีดิบ
เก้อเจี้ยนถาม “ผู้บัญชาการ เราจะทำอย่างไร?”
จ้าวจื่อป่อกล่าว “ให้พวกเขาสำรวจและกำจัดสิ่งกีดขวาง เมื่อพวกเขาหมดแรง เราจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดและโยนความผิดให้นักพรตผีดิบ จากนั้นเราจะฆ่านักพรตผีดิบ” ถ้อยคำเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเลือดเย็นของจ้าวจื่อป๋อได้อย่างชัดเจน
“รับทราบ!” ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ทั้งหมดตอบรับเสียงดัง
จ้าวจื่อป๋อกล่าวติดตลก “ข้าช่างโชคดีนักที่ไม่ได้ฆ่าเขาตั้งแต่แรก ตอนนี้เขากำลังมอบผลประโยชน์ให้ข้า”
หากเจ้านายเล่าเรื่องตลก ผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้านิ่งได้อย่างไร ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ทั้งหมดต่างส่งเสียงโห่ร้องและตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์นิกายม่อจื้อเหล่านั้นต้องมีสมบัติติดตัวมากมาย!”
เรือแล่นไปตามกระแสน้ำ มันเคลื่อนที่เร็วมากและไปถึงส่วนลึกของถ้ำที่ค่อยๆแคบลงในไม่ช้า บริเวณโดยรอบมืดสนิท มีเพียงโคมไฟดวงเล็กที่ส่องสว่างอยู่หน้าเรือ
แม้จอมยุทธ์จะมองเห็นในความมืด แต่ความมืดยังส่งผลต่อการมองเห็นของพวกเขา คนที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆมีเพียงเสี่ยวอันและหลี่ฉิงซาน สำหรับคนทั้งสอง ความมืดไม่ต่างจากแสงสว่างในเวลากลางวัน