ตอนที่ 776 ราชาขาหมูกับหน่วยกะโหลก
เวลาที่เซี่ยอวี่อันและกองพลนางแอ่นได้รับนั้นมีค่ายิ่งนัก
เขตป้องกันแรกที่ตกอยู่ในอันตรายที่สุดในที่สุดก็มีโอกาสได้พักหายใจทำให้แนวป้องกันแถวสองของพันธมิตรใต้ได้รับการปรับขบวนหลังจากแตกตื่น
เซี่ยอวี่อันกลายเป็นแม่ทัพมีชื่อเสียงหลังจากการสู้รบและขึ้นชั้นเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงท่ามกลางการพูดคุยกันในมืองต่าง หลายๆคนคิดว่าความสามารถของกองพลนางแอ่นก้าวเข้าสู่มาตรฐานกองทัพระดับทองไปครึ่งก้าวแล้วและห่างจากความเป็นกองทัพระดับทองเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
กองทัพระดับทองเป็นกองพลระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าทวีปมหาอำนาจอย่างกวงหมิงมีกองทัพระดับทองอยู่เพียงห้ากองทัพ ทุกกองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของห้าแม่ทัพทั้งผู้ลือชื่อ
ศักดิ์ศรีของกองทัพหนึ่งได้มาโดยผ่านการสู้รบและใช้ความได้เปรียบในข้อมูลเพื่อป้องกันศัตรูที่ยิ่งกว่าพวกเขานั่นนับได้ว่าเป็นนักสู้ฝีมือดี แต่ถ้าแม่ทัพของศัตรูคือคลิฟเลือดเหล็ก นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทหารยอดฝีมือธรรมดาไม่สามารถทำสำเร็จได้
บรรยากาศในหน่วยกะโหลกอึมครึมสีหน้าทุกคนบิดเบี้ยวน่าเกลียด
เดิมทีหน่วยกะโหลกมีมาตรฐานระดับเดียวกับกองพลนางแอ่น และประสิทธิภาพในการสู้รบของพวกเขานับได้ว่าอยู่ในระดับทั่วไป พวกเขาไม่ได้พ่ายแพ้ และจำนวนคนตายเป็นศูนย์ขณะที่ถอยและตามคู่มือการฝึกกลยุทธพวกเขาไม่มีจุดเด่นหรือความสูญเสีย
แต่ผลงานที่งดงามของกองพลนางแอ่นได้บดบังประกายพวกเขาสิ้นเชิง
เซี่ยอวี่อันแสดงผลงานที่โดดเด่นได้ทำให้คนสรรเสริญความกล้าหาญแน่วแน่ของเขา ทำให้หน่วยกะโหลกทั้งหมดรู้สึกอาย หน่วยกะโหลกและกองพลนางแอ่นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เข้าร่วมกับนายท่านพร้อมกัน ทั้งสองกองพลได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งสองฝ่ายมีการแข่งขันกันอยู่เสมอ แต่พวกเขาไม่คาดเลยว่าความแตกต่างจะมากขึ้นหลังจากผ่านการสู้รบไปแล้ว
“ข้ามันไร้ประโยชน์! ข้าทำให้ทุกคนหดหู่!”
อายะก้มหน้าตาแดงทันที รู้สึกผิดอย่างมาก กองพลนางแอ่นสามารถสร้างผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้โดยอาศัยมาตรฐานผู้นำทัพอย่างเซี่ยอวี่อัน อายะอยู่ในระดับเดียวกับเขารู้ว่ามาตรฐานของนางอ่อนกว่าเขามาก
อายะมีบุคลิกที่อดทนนึกย้อนตอนที่เป็นกองพลกะโหลกชมพูอยู่ในสภาพแตกสลาย นางดิ้นรนพยายามโดดเด่น และไม่เคยร้องไห้ แต่เพราะกองพลนางแอ่นได้รับการยอมรับโดยไม่มีหน่วยกะโหลกนางถึงกับร้องไห้ทั้งคืน ในอดีตนางรู้สึกว่านางสามารถช่วยทุกคนได้ แต่ความจริงที่โหดร้ายทำให้นางตระหนักว่านางย่ำแย่เพียงไหน และนางถ่วงทุกคนเพียงไหน
ครั้งนี้ทุกคนตื่นตระหนก
“เจ๊ใหญ่, เราจะทำยังไง!”
“อืม! อย่าให้พี่น้องเราตกใจ!”
……
ห้องสนทนาทั้งห้องมีเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ขณะที่ทุกคนเริ่มพูดคุยกัน
“ทุกคนต่างก็เข้าสู้ในสงคราม และทุกคนมีความรับผิดชอบของพวกเขา” อูหม่าเทียนเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะยุ่งเหยิง และโดยไม่ใส่ใจอีกต่อไป เขากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและตะโกนเต็มเสียง
เสียงจ้อกแจ้กจอแจหยุดทันที การกระทำของอูหม่าเทียนดึงดูดความสนใจของทุกคน
แต่ในเวลาอันรวดเร็วก็มีบางคนเห็นด้วย “ใช่แล้ว! ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดง
อูหม่าเทียนกระแอมเบาๆและรวบรวมความสนใจของทุกคนก่อนที่กระโดดลงมาจากโต๊ะ เขาปรบมือขณะที่ปล่อยฝุ่นฟุ้งและพูดอย่างใจเย็น “นอกจากนี้ยังมีอะไรต้องกังวลอีก นี่เป็นแค่ศึกแรก ยังคงมีศึกอื่นๆ อีก ทำไมถึงกลัวว่าจะไม่ได้รับโอกาสอีกเล่า? ดูแผนการท่านปิงก่อน มีขนาดใหญ่มากจนน่ากลัว เรายังมีโอกาสของเราอยู่”
ทุกคนตื่นตัว‘ใช่แล้ว ยังเป็นแค่ศึกแรก ทำไมต้องกังวลด้วยเล่า!’
อายะสงบอารมณ์ลงได้ “ราชาขาหมูพูดถูก,เรายังมีศึกให้ต่อสู้อีก เราไม่ควรจะติเตียนตัวเองเกินไป และเราต้องคว้าผลสำเร็จได้อย่างแน่นอน
เสียงที่หนักแน่นและมั่นคงของอายะเผยให้เห็นความมุ่งมั่นของนาง
เมื่อได้ยินชื่อ‘ราชาขาหมู’ อูหม่าเทียนลอบเหลือกตา ขาหมูที่เขาทำลือชื่อไปทั้งกองทัพ และได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งกองทัพมาตลอดเวลา ชื่อเสียงของเขาในกองทัพพันธมิตรใต้ยังน้อยกว่าฝีมือปรุงขาหมูของเขาเสียอีก
เมื่อใดก็ตามที่เขาพบคนจากกองพลอื่น พวกเขาจะพูดคุยกับเขาด้วยมารยาทอันดี “อูหม่าเทียน? ยินดีที่ได้พบ”
แต่เมื่อรู้ว่าเขาคือเบื้องหลังการปรุงขาหมูอีกฝ่ายหนึ่งจะตื่นเต้นมาก “อะไรนะ? เจ้าคือคนที่ปรุงขาหมูหรือ? ราชาขาหมู! โอวพระเจ้า, ชื่อเสียงราชาขาหมูเลื่องระบือไกล!เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ แต่นับแต่เจ้าหยุดปรุงขาหมู เฮ้อ.. ปากข้ากินอะไรก็ไม่มีรสชาติ, บอกตามตรงเลยนะเมื่อคืนนี้ข้ายังฝันว่าได้กินขาหมูอยู่เลย...”
บลาๆ....พวกเขาจะคุยกันเรื่องความฝันและความโหยหาขาหมู
ฉายาราชาขาหมูเป็นชื่อเสียงที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกอูหม่าเทียนพยายามแก้ไขพวกเขาให้เรียกชื่อจริงของเขา แต่หลังจากนั้นก็มีคนเรียกชื่อเขาเป็นราชาขาหมูมากขึ้นทุกคน และมีบางเหตุการณ์ที่ท่านปิงก็ตะโกนเรียกเขาด้วยคำว่าราชาขาหมูลั่นในระหว่างประชุมทำให้เขารู้สึกจนปัญญา
แต่ชื่องี่เง่านี้ไม่ส่งผลต่อตำแหน่งในกองทัพของเขาแต่อย่างใด นอกจากความจริงที่ว่าผู้บัญชาการหญิงจอมทำลายจะใช้ปลายกระบี่บ้างแส้บ้างบังคับเอาขาหมูจากเขาสองสามชิ้น เขาทำได้ดีจริงๆ้
เขาได้รับความเชื่อใจจากทุกคนในหน่วยกะโหลก
ลูกพี่หญิงมองดูเขาอย่างจริงจัง อูหม่าเทียนรู้ว่าต้องทำอะไรบางอย่างออกมา ถ้าไม่อย่างนั้นหลังจากประชุมเขาคงถูกไล่ไปทำขาหมูสูงเป็นภูเขาเลากาแน่
นางโหดขนาดนั้น
“แนวป้องกันแรกเป็นพื้นที่สำคัญที่สุดเนื่องจากช่วยลดความเร็วของศัตรูได้” เขาคิดอยู่ขณะหนึ่งก่อนพูดต่อ “ศัตรูเป็นเหมือนหมูป่าที่ตะลุยเข้าโจมตีพร้อมกับแรงเฉื่อยที่แฝงมา แต่ตราบใดที่ความเร็วของพวกเขาตกลงพลังของพวกเขาจะถูกทอนลงไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ที่พวกเขาถูกขัดขวางไว้โดยกองพลนางแอ่น ความเร็วของพวกเขาก็ลดลงไปมาก
ใจของเขาเต็มไปด้วยความนับถือเซี่ยอวี่อัน หลังจากเหตุการณ์นั้นมาทุกคนเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับเขา กล้าทำสิ่งที่เขาต้องการ และการมองการณ์ไกลและวิสัยทัศน์ในช่วงวิกฤติขนาดนั้นเป็นเรื่องยากมากกว่าย่างขาหมู
‘หึ หึ หึข้าจะถูกส่งไปทอดขาหมูได้ยังไง...’
เขาเพ่งความสนใจอีกครั้งกับสายตาที่ทุกคนมองดูเขา เขาพูดต่อ“กองพลนางแอ่นสกัดพวกเขาไว้เพียงอย่างเดียว และหยุดฝูงหมูป่าบ้าคลั่งได้ แต่แค่นั้นยังไม่พอ พวกเขามีจำนวนคนที่มากกว่าเมื่อเทียบกับเราพวกเขามีกำลังพลมากกว่า นอกจากมีผิวหนาพวกเขาสามารถเข้าปะทะเราได้โดยตรงโดยที่เราไม่มีโอกาสชนะ ดังนั้นเราจะทำยังไง? เราก็แบ่งแยกกำลังทหารของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาแบ่งแยกกำลังได้ เราก็มีโอกาส”
“มีเหตุผล” อายะเข้าใจสิ่งที่เขาอธิบาย “แต่ทำไมศัตรูจะต้องแบ่งแยกกำลังด้วยเล่า?”
“ศัตรูจะต้องแยกกำลังกันแน่” อูหม่าเทียนมั่นใจมากขึ้น “เซี่ยอวี่อันเพิ่งจะสร้างวีรกรรมไว้ตอนนี้ผู้คนเรียกเขาว่าอะไร? องครักษ์พิทักษ์ที่ดีที่สุดอันดับสาม ท่านปิงตั้งเขาไว้ให้อยู่แนวหน้าสุด และให้พื้นที่หลังเพียงพอสำหรับการซ้อมรบและฟื้นฟูพลังให้พวกเขาเอง ตราบใดที่แม่ทัพอีกฝ่ายไม่โง่พวกเขาจะไม่ปะทะโดยตรงและสู้ตายกับเซี่ยอวี่อัน พวกเขาสามารถทำได้ แต่ว่าต้องใช้เวลานานแน่นอน และพวกเขาจะต้องสูญเสียมาก ซึ่งจะเป็นการทำร้ายพวกเขาเอง พวกเขาจะต้องเคลื่อนกำลังอ้อมไปสองข้างเพื่อหาโอกาสอย่างแน่นอน”
“แต่พวกเขาไม่ต้องแบ่งกองทัพเพื่อทำเช่นนั้น” อีกคนหนึ่งโต้แย้ง
“เวลา!” อูหม่าเทียนกล่าว “สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาสงครามก็คือเวลา แผนรบท่านปิงนั้นง่าย ถ่วงเวลาการต่อสู้ออกไปให้นานเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นแนวป้องกันด้านหลังเป็นโคลนทั้งหมด แต่สำหรับทวีปกวงหมิง พวกเขานั้นแตกต่าง พวกเขาคือกองทัพที่ประกอบไปด้วยคนแตกต่างและยิ่งลากเวลานานออกไป จะยิ่งแย่สำหรับพวกเขา เมื่อพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเราได้ในช่วงเวลาสั้นๆความเป็นต่อของพวกเขาและความตกใจต่อมหาอำนาจภูมิภาคใต้อื่นก็จะตกลงไป พวกเขาจะต้องตกไปในหล่มโคลน และนั่นคือสถานที่ยุ่งเหยิงอย่างแท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องแบ่งกองทัพของพวกเขาด้วยการใช้กลุ่มหลายกลุ่มบุกเข้ามา พวกเขาจะสามารถหาช่องโหว่ในแนวป้องกันในช่วงเวลาสั้นที่สุด
ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ พวกเขาเป็นทหารรับจ้างโดยกำเนิด และเทียบกับเซี่ยอวี่อันที่มาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงพวกเขามีระดับกลยุทธที่แตกต่างกันมาก แต่พวกเขาก็เป็นทหารผ่านศึกและมีอูหม่าเทียนคอยแยกแยะทุกอย่างให้พวกเขา พวกเขาจะไม่เข้าใจได้ยังไง?
“แน่นอนว่า ยังมีบางอย่างอื่นอีก และนั่นก็คือความมั่นใจ” อูหม่าเทียนแสดงท่าทีเย้ยหยัน “ในสายตาของโกวเฉิงเวิ่นเต้า เราเป็นตัวอะไร? พวกเขาจะคิดว่าการถอนผมตัวเองเจ็บปวดยิ่งกว่าเรา พวกเขารู้ความเสี่ยงของการแบ่งกำลังกองทัพพวกเขา พวกเขาสามารถเห็นแผนของเราได้ แต่พวกเขาก็ยังจะทำ แม้จะแบ่งแยกกำลัง พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเรา ดังนั้นพวกเขาจะต้องกลัวอะไร? ความเสี่ยงและอันตรายในการแบ่งกำลังทหารไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับเวลาที่พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้”
“งั้นเราจะทำยังไง?” อายะมีท่าทีตื่นเต้น มือของนางกุมอยู่ที่ด้ามกระบี่
อูหม่าเทียนถอยไปเงียบๆก้าวหนึ่งและกระแอมเบาๆ “กองพลนางแอ่นสู้ศึกได้ดี และพวกเขาสมควรชนะ แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าพูด พวกเขาพยายามสู้ศึกที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด อยู่ในแนวและป้องกันใช่ไหม? ใครจะทำได้ดีกว่าพวกเขาเล่า? แต่ทุกคนมีจุดแข็งจุดอ่อนกันทั้งนั้น”
“เราคือผู้แข็งแกร่งในจุดอ่อนของพวกเขา!” อายะพูดทันที
อูหม่าเทียนสำลักและหัวเราะแก้เก้อ “ใช่ ใช่ ใช่เลย เราเป็นผู้แข็งแกร่งในจุดอ่อนพอๆกับที่พวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งในจุดอ่อนของเราเช่นกัน เรามีจุดอ่อน แต่เราก็มีจุดแข็งเช่นกัน เราไม่อาจเทียบกับพวกเขาในเรื่องการป้องกันได้ ไม่มีใครเทียบกับสือเซินและคนของทวีปโยวโจวในเรื่องการซุ่มโจมตีระยะห่างได้ แต่ในแง่สงครามในเมือง ใครจะเทียบกับเราได้?”
ทุกคนตาเป็นประกาย ‘ใช่แล้ว! สงครามในเมือง!’
หน่วยกะโหลกคือหน่วยทหารรับจ้างในตอนแรกและมีความเชี่ยวชาญกับสงครามในเมืองและการสู้รบขนาดเล็ก หลังจากนั้นมีท่านถังโฉ่วและท่านปิงแนะนำพวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้น การมาถึงของอูหม่าเทียนช่วยให้เขาก้าวหน้าในจุดนั้นด้วย
ในกองทัพพันธมิตรใต้ หน่วยกะโหลกเป็นเบอร์หนึ่งในสงครามรบในเมือง
“ดังนั้นเราจำเป็นต้องสู้กับพวกเขาในเมืองที่เตรียมไว้” อูหม่าเทียนโบกมือ “นั่นคือสิ่งที่ข้าสามารถคิดได้ ดังนั้นทุกคนจำเป็นต้องช่วยคิดเช่นกัน และดูว่าความคิดไหนที่เราสามารถนำมาใช้ได้”
แผนการของอูหม่าเทียนได้รับการยอมรับจากคนที่เหลือทันที
ทหารรับจ้างไม่ใช่ภารโรงทำความสะอาดแน่นอน พวกเขาเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์กันทุกคน พวกเขาหลอกล่อฉ้อโกงและสนใจแต่การทำเพื่อตนเอง ทุกคนตื่นเต้นทันทีขณะที่พวกเขาเริ่มปรึกษาและเสนอกลอุบายชั่วร้ายออกมามากขึ้น
“สู้รบในเมือง นั่นเป็นสนามรบที่ดียิ่งภูมิประเทศซับซ้อนก็ยิ่งดี และต้องเป็นพื้นที่ใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้หมด”
“ทวีปป่าหินทรายเป็นไงบ้าง? แนวป้องกันต้องถอยมาและถ้าเราสูญเสียไป เราไม่ต้องรับผลอะไรมาก”
“เป็นที่ๆ ดี! พวกเขาไม่สามารถบินที่นั่นได้ ที่นั่นจะเต็มไปด้วยพายุทรายเสมอและสายลมก็คมกว่ามีดเสียอีก! พวกเขาได้แต่เดิน! ถ้าเราสูญเสียที่นั้นไป เราคงไม่มีหน้ามีชีวิตต่อไปแน่”
“นั่นก็จริง แต่เราจะล่อพวกเขาไปที่นั่นได้ยังไง?”
“เราจะหลอกล่อพวกเขา! เราไม่ได้หนีในช่วงสุดท้ายไม่ใช่หรือ? เราจะแกล้งทำเป็นหนี และพวกเขาก็จะไล่ตาม เราจะไปจัดกระบวนที่ทวีปนาซิสซัสก่อน จากนั้นทำเป็นแตกตื่นและหนีไปที่ทวีปป่าหินทราย พวกเขาจะต้องไล่ตามแน่”
“แล้วรอบๆ ชายขอบทวีปอื่นเป็นยังไงบ้าง?”
“ที่อื่นใช้ไม่ได้ ทวีปป่าหินทรายมีสายธารพลังที่ไหลเชี่ยวเรือรบไม่สามารถผ่านเข้าไปที่นั่นได้ พวกเขาต้องผ่านเข้าไปในทวีปป่าหินทราย ไปที่ปากอ่าวพลังงานด้านหลังแนวป้องกันของเรา”
“แนวป้องกันของท่านปิง ทำได้อย่างไม่มีที่ติมีกระทั่งสายกระแสพลังงาน!”
“แต่เนื่องจากพวกเขาต้องมาที่นี่ทำไมเราต้องไปหลอกล่อพวกเขาด้วย?”
“เราต้องทำ! ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาจะส่งคนเพียงไม่กี่คนมาที่นี่!”
“จริงด้วย, จริงด้วย!”
ในห้องประชุมประกายของทุกคนเขียวน่ากลัว เหมือนกับฝูงหมาป่าเจ้าเล่ห์