ตอนที่แล้วตอนที่ 775 การมาถึงของหน่วยสุญญตา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 777 แผนของไป๋เยี่ย

ตอนที่ 776 ราชาขาหมูกับหน่วยกะโหลก


เวลาที่เซี่ยอวี่อันและกองพลนางแอ่นได้รับนั้นมีค่ายิ่งนัก

เขตป้องกันแรกที่ตกอยู่ในอันตรายที่สุดในที่สุดก็มีโอกาสได้พักหายใจทำให้แนวป้องกันแถวสองของพันธมิตรใต้ได้รับการปรับขบวนหลังจากแตกตื่น

เซี่ยอวี่อันกลายเป็นแม่ทัพมีชื่อเสียงหลังจากการสู้รบและขึ้นชั้นเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงท่ามกลางการพูดคุยกันในมืองต่าง  หลายๆคนคิดว่าความสามารถของกองพลนางแอ่นก้าวเข้าสู่มาตรฐานกองทัพระดับทองไปครึ่งก้าวแล้วและห่างจากความเป็นกองทัพระดับทองเพียงก้าวเดียวเท่านั้น

กองทัพระดับทองเป็นกองพลระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าทวีปมหาอำนาจอย่างกวงหมิงมีกองทัพระดับทองอยู่เพียงห้ากองทัพ  ทุกกองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของห้าแม่ทัพทั้งผู้ลือชื่อ

ศักดิ์ศรีของกองทัพหนึ่งได้มาโดยผ่านการสู้รบและใช้ความได้เปรียบในข้อมูลเพื่อป้องกันศัตรูที่ยิ่งกว่าพวกเขานั่นนับได้ว่าเป็นนักสู้ฝีมือดี แต่ถ้าแม่ทัพของศัตรูคือคลิฟเลือดเหล็ก นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทหารยอดฝีมือธรรมดาไม่สามารถทำสำเร็จได้

บรรยากาศในหน่วยกะโหลกอึมครึมสีหน้าทุกคนบิดเบี้ยวน่าเกลียด

เดิมทีหน่วยกะโหลกมีมาตรฐานระดับเดียวกับกองพลนางแอ่น และประสิทธิภาพในการสู้รบของพวกเขานับได้ว่าอยู่ในระดับทั่วไป  พวกเขาไม่ได้พ่ายแพ้  และจำนวนคนตายเป็นศูนย์ขณะที่ถอยและตามคู่มือการฝึกกลยุทธพวกเขาไม่มีจุดเด่นหรือความสูญเสีย

แต่ผลงานที่งดงามของกองพลนางแอ่นได้บดบังประกายพวกเขาสิ้นเชิง

เซี่ยอวี่อันแสดงผลงานที่โดดเด่นได้ทำให้คนสรรเสริญความกล้าหาญแน่วแน่ของเขา ทำให้หน่วยกะโหลกทั้งหมดรู้สึกอาย หน่วยกะโหลกและกองพลนางแอ่นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เข้าร่วมกับนายท่านพร้อมกัน ทั้งสองกองพลได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน  ทั้งสองฝ่ายมีการแข่งขันกันอยู่เสมอ แต่พวกเขาไม่คาดเลยว่าความแตกต่างจะมากขึ้นหลังจากผ่านการสู้รบไปแล้ว

“ข้ามันไร้ประโยชน์!  ข้าทำให้ทุกคนหดหู่!”

อายะก้มหน้าตาแดงทันที  รู้สึกผิดอย่างมาก  กองพลนางแอ่นสามารถสร้างผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้โดยอาศัยมาตรฐานผู้นำทัพอย่างเซี่ยอวี่อัน อายะอยู่ในระดับเดียวกับเขารู้ว่ามาตรฐานของนางอ่อนกว่าเขามาก

อายะมีบุคลิกที่อดทนนึกย้อนตอนที่เป็นกองพลกะโหลกชมพูอยู่ในสภาพแตกสลาย  นางดิ้นรนพยายามโดดเด่น และไม่เคยร้องไห้  แต่เพราะกองพลนางแอ่นได้รับการยอมรับโดยไม่มีหน่วยกะโหลกนางถึงกับร้องไห้ทั้งคืน  ในอดีตนางรู้สึกว่านางสามารถช่วยทุกคนได้ แต่ความจริงที่โหดร้ายทำให้นางตระหนักว่านางย่ำแย่เพียงไหน  และนางถ่วงทุกคนเพียงไหน

ครั้งนี้ทุกคนตื่นตระหนก

“เจ๊ใหญ่, เราจะทำยังไง!”

“อืม! อย่าให้พี่น้องเราตกใจ!”

……

ห้องสนทนาทั้งห้องมีเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ขณะที่ทุกคนเริ่มพูดคุยกัน

“ทุกคนต่างก็เข้าสู้ในสงคราม  และทุกคนมีความรับผิดชอบของพวกเขา” อูหม่าเทียนเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะยุ่งเหยิง  และโดยไม่ใส่ใจอีกต่อไป  เขากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและตะโกนเต็มเสียง

เสียงจ้อกแจ้กจอแจหยุดทันที  การกระทำของอูหม่าเทียนดึงดูดความสนใจของทุกคน

แต่ในเวลาอันรวดเร็วก็มีบางคนเห็นด้วย  “ใช่แล้ว! ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดง

อูหม่าเทียนกระแอมเบาๆและรวบรวมความสนใจของทุกคนก่อนที่กระโดดลงมาจากโต๊ะ  เขาปรบมือขณะที่ปล่อยฝุ่นฟุ้งและพูดอย่างใจเย็น  “นอกจากนี้ยังมีอะไรต้องกังวลอีก นี่เป็นแค่ศึกแรก ยังคงมีศึกอื่นๆ อีก ทำไมถึงกลัวว่าจะไม่ได้รับโอกาสอีกเล่า? ดูแผนการท่านปิงก่อน มีขนาดใหญ่มากจนน่ากลัว เรายังมีโอกาสของเราอยู่”

ทุกคนตื่นตัว‘ใช่แล้ว ยังเป็นแค่ศึกแรก ทำไมต้องกังวลด้วยเล่า!’

อายะสงบอารมณ์ลงได้  “ราชาขาหมูพูดถูก,เรายังมีศึกให้ต่อสู้อีก เราไม่ควรจะติเตียนตัวเองเกินไป และเราต้องคว้าผลสำเร็จได้อย่างแน่นอน

เสียงที่หนักแน่นและมั่นคงของอายะเผยให้เห็นความมุ่งมั่นของนาง

เมื่อได้ยินชื่อ‘ราชาขาหมู’ อูหม่าเทียนลอบเหลือกตา  ขาหมูที่เขาทำลือชื่อไปทั้งกองทัพ และได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งกองทัพมาตลอดเวลา  ชื่อเสียงของเขาในกองทัพพันธมิตรใต้ยังน้อยกว่าฝีมือปรุงขาหมูของเขาเสียอีก

เมื่อใดก็ตามที่เขาพบคนจากกองพลอื่น  พวกเขาจะพูดคุยกับเขาด้วยมารยาทอันดี  “อูหม่าเทียน? ยินดีที่ได้พบ”

แต่เมื่อรู้ว่าเขาคือเบื้องหลังการปรุงขาหมูอีกฝ่ายหนึ่งจะตื่นเต้นมาก  “อะไรนะ?  เจ้าคือคนที่ปรุงขาหมูหรือ?  ราชาขาหมู!  โอวพระเจ้า, ชื่อเสียงราชาขาหมูเลื่องระบือไกล!เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ แต่นับแต่เจ้าหยุดปรุงขาหมู เฮ้อ.. ปากข้ากินอะไรก็ไม่มีรสชาติ,  บอกตามตรงเลยนะเมื่อคืนนี้ข้ายังฝันว่าได้กินขาหมูอยู่เลย...”

บลาๆ....พวกเขาจะคุยกันเรื่องความฝันและความโหยหาขาหมู

ฉายาราชาขาหมูเป็นชื่อเสียงที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกอูหม่าเทียนพยายามแก้ไขพวกเขาให้เรียกชื่อจริงของเขา แต่หลังจากนั้นก็มีคนเรียกชื่อเขาเป็นราชาขาหมูมากขึ้นทุกคน  และมีบางเหตุการณ์ที่ท่านปิงก็ตะโกนเรียกเขาด้วยคำว่าราชาขาหมูลั่นในระหว่างประชุมทำให้เขารู้สึกจนปัญญา

แต่ชื่องี่เง่านี้ไม่ส่งผลต่อตำแหน่งในกองทัพของเขาแต่อย่างใด  นอกจากความจริงที่ว่าผู้บัญชาการหญิงจอมทำลายจะใช้ปลายกระบี่บ้างแส้บ้างบังคับเอาขาหมูจากเขาสองสามชิ้น เขาทำได้ดีจริงๆ้

เขาได้รับความเชื่อใจจากทุกคนในหน่วยกะโหลก

ลูกพี่หญิงมองดูเขาอย่างจริงจัง  อูหม่าเทียนรู้ว่าต้องทำอะไรบางอย่างออกมา ถ้าไม่อย่างนั้นหลังจากประชุมเขาคงถูกไล่ไปทำขาหมูสูงเป็นภูเขาเลากาแน่

นางโหดขนาดนั้น

“แนวป้องกันแรกเป็นพื้นที่สำคัญที่สุดเนื่องจากช่วยลดความเร็วของศัตรูได้” เขาคิดอยู่ขณะหนึ่งก่อนพูดต่อ “ศัตรูเป็นเหมือนหมูป่าที่ตะลุยเข้าโจมตีพร้อมกับแรงเฉื่อยที่แฝงมา  แต่ตราบใดที่ความเร็วของพวกเขาตกลงพลังของพวกเขาจะถูกทอนลงไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ที่พวกเขาถูกขัดขวางไว้โดยกองพลนางแอ่น ความเร็วของพวกเขาก็ลดลงไปมาก

ใจของเขาเต็มไปด้วยความนับถือเซี่ยอวี่อัน  หลังจากเหตุการณ์นั้นมาทุกคนเป็นเช่นนั้น  แต่สำหรับเขา กล้าทำสิ่งที่เขาต้องการ  และการมองการณ์ไกลและวิสัยทัศน์ในช่วงวิกฤติขนาดนั้นเป็นเรื่องยากมากกว่าย่างขาหมู

‘หึ หึ หึข้าจะถูกส่งไปทอดขาหมูได้ยังไง...’

เขาเพ่งความสนใจอีกครั้งกับสายตาที่ทุกคนมองดูเขา  เขาพูดต่อ“กองพลนางแอ่นสกัดพวกเขาไว้เพียงอย่างเดียว และหยุดฝูงหมูป่าบ้าคลั่งได้  แต่แค่นั้นยังไม่พอ  พวกเขามีจำนวนคนที่มากกว่าเมื่อเทียบกับเราพวกเขามีกำลังพลมากกว่า  นอกจากมีผิวหนาพวกเขาสามารถเข้าปะทะเราได้โดยตรงโดยที่เราไม่มีโอกาสชนะ  ดังนั้นเราจะทำยังไง?  เราก็แบ่งแยกกำลังทหารของพวกเขา  ตราบใดที่พวกเขาแบ่งแยกกำลังได้ เราก็มีโอกาส”

“มีเหตุผล” อายะเข้าใจสิ่งที่เขาอธิบาย “แต่ทำไมศัตรูจะต้องแบ่งแยกกำลังด้วยเล่า?”

“ศัตรูจะต้องแยกกำลังกันแน่”  อูหม่าเทียนมั่นใจมากขึ้น  “เซี่ยอวี่อันเพิ่งจะสร้างวีรกรรมไว้ตอนนี้ผู้คนเรียกเขาว่าอะไร? องครักษ์พิทักษ์ที่ดีที่สุดอันดับสาม ท่านปิงตั้งเขาไว้ให้อยู่แนวหน้าสุด และให้พื้นที่หลังเพียงพอสำหรับการซ้อมรบและฟื้นฟูพลังให้พวกเขาเอง  ตราบใดที่แม่ทัพอีกฝ่ายไม่โง่พวกเขาจะไม่ปะทะโดยตรงและสู้ตายกับเซี่ยอวี่อัน พวกเขาสามารถทำได้ แต่ว่าต้องใช้เวลานานแน่นอน และพวกเขาจะต้องสูญเสียมาก ซึ่งจะเป็นการทำร้ายพวกเขาเอง  พวกเขาจะต้องเคลื่อนกำลังอ้อมไปสองข้างเพื่อหาโอกาสอย่างแน่นอน”

“แต่พวกเขาไม่ต้องแบ่งกองทัพเพื่อทำเช่นนั้น”  อีกคนหนึ่งโต้แย้ง

“เวลา!”  อูหม่าเทียนกล่าว “สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาสงครามก็คือเวลา  แผนรบท่านปิงนั้นง่าย  ถ่วงเวลาการต่อสู้ออกไปให้นานเท่าที่เป็นไปได้  ดังนั้นแนวป้องกันด้านหลังเป็นโคลนทั้งหมด  แต่สำหรับทวีปกวงหมิง  พวกเขานั้นแตกต่าง  พวกเขาคือกองทัพที่ประกอบไปด้วยคนแตกต่างและยิ่งลากเวลานานออกไป จะยิ่งแย่สำหรับพวกเขา เมื่อพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเราได้ในช่วงเวลาสั้นๆความเป็นต่อของพวกเขาและความตกใจต่อมหาอำนาจภูมิภาคใต้อื่นก็จะตกลงไป  พวกเขาจะต้องตกไปในหล่มโคลน และนั่นคือสถานที่ยุ่งเหยิงอย่างแท้จริง  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องแบ่งกองทัพของพวกเขาด้วยการใช้กลุ่มหลายกลุ่มบุกเข้ามา พวกเขาจะสามารถหาช่องโหว่ในแนวป้องกันในช่วงเวลาสั้นที่สุด

ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ  พวกเขาเป็นทหารรับจ้างโดยกำเนิด และเทียบกับเซี่ยอวี่อันที่มาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงพวกเขามีระดับกลยุทธที่แตกต่างกันมาก  แต่พวกเขาก็เป็นทหารผ่านศึกและมีอูหม่าเทียนคอยแยกแยะทุกอย่างให้พวกเขา พวกเขาจะไม่เข้าใจได้ยังไง?

“แน่นอนว่า ยังมีบางอย่างอื่นอีก  และนั่นก็คือความมั่นใจ”  อูหม่าเทียนแสดงท่าทีเย้ยหยัน  “ในสายตาของโกวเฉิงเวิ่นเต้า เราเป็นตัวอะไร? พวกเขาจะคิดว่าการถอนผมตัวเองเจ็บปวดยิ่งกว่าเรา  พวกเขารู้ความเสี่ยงของการแบ่งกำลังกองทัพพวกเขา  พวกเขาสามารถเห็นแผนของเราได้  แต่พวกเขาก็ยังจะทำ  แม้จะแบ่งแยกกำลัง  พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเรา  ดังนั้นพวกเขาจะต้องกลัวอะไร? ความเสี่ยงและอันตรายในการแบ่งกำลังทหารไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับเวลาที่พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้”

“งั้นเราจะทำยังไง?”  อายะมีท่าทีตื่นเต้น  มือของนางกุมอยู่ที่ด้ามกระบี่

อูหม่าเทียนถอยไปเงียบๆก้าวหนึ่งและกระแอมเบาๆ “กองพลนางแอ่นสู้ศึกได้ดี และพวกเขาสมควรชนะ แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าพูด  พวกเขาพยายามสู้ศึกที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด  อยู่ในแนวและป้องกันใช่ไหม?  ใครจะทำได้ดีกว่าพวกเขาเล่า?  แต่ทุกคนมีจุดแข็งจุดอ่อนกันทั้งนั้น”

“เราคือผู้แข็งแกร่งในจุดอ่อนของพวกเขา!” อายะพูดทันที

อูหม่าเทียนสำลักและหัวเราะแก้เก้อ  “ใช่ ใช่ ใช่เลย  เราเป็นผู้แข็งแกร่งในจุดอ่อนพอๆกับที่พวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งในจุดอ่อนของเราเช่นกัน  เรามีจุดอ่อน แต่เราก็มีจุดแข็งเช่นกัน เราไม่อาจเทียบกับพวกเขาในเรื่องการป้องกันได้  ไม่มีใครเทียบกับสือเซินและคนของทวีปโยวโจวในเรื่องการซุ่มโจมตีระยะห่างได้  แต่ในแง่สงครามในเมือง ใครจะเทียบกับเราได้?”

ทุกคนตาเป็นประกาย  ‘ใช่แล้ว! สงครามในเมือง!’

หน่วยกะโหลกคือหน่วยทหารรับจ้างในตอนแรกและมีความเชี่ยวชาญกับสงครามในเมืองและการสู้รบขนาดเล็ก  หลังจากนั้นมีท่านถังโฉ่วและท่านปิงแนะนำพวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้น การมาถึงของอูหม่าเทียนช่วยให้เขาก้าวหน้าในจุดนั้นด้วย

ในกองทัพพันธมิตรใต้  หน่วยกะโหลกเป็นเบอร์หนึ่งในสงครามรบในเมือง

“ดังนั้นเราจำเป็นต้องสู้กับพวกเขาในเมืองที่เตรียมไว้”  อูหม่าเทียนโบกมือ  “นั่นคือสิ่งที่ข้าสามารถคิดได้  ดังนั้นทุกคนจำเป็นต้องช่วยคิดเช่นกัน และดูว่าความคิดไหนที่เราสามารถนำมาใช้ได้”

แผนการของอูหม่าเทียนได้รับการยอมรับจากคนที่เหลือทันที

ทหารรับจ้างไม่ใช่ภารโรงทำความสะอาดแน่นอน  พวกเขาเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์กันทุกคน  พวกเขาหลอกล่อฉ้อโกงและสนใจแต่การทำเพื่อตนเอง  ทุกคนตื่นเต้นทันทีขณะที่พวกเขาเริ่มปรึกษาและเสนอกลอุบายชั่วร้ายออกมามากขึ้น

“สู้รบในเมือง นั่นเป็นสนามรบที่ดียิ่งภูมิประเทศซับซ้อนก็ยิ่งดี และต้องเป็นพื้นที่ใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้หมด”

“ทวีปป่าหินทรายเป็นไงบ้าง? แนวป้องกันต้องถอยมาและถ้าเราสูญเสียไป เราไม่ต้องรับผลอะไรมาก”

“เป็นที่ๆ ดี!  พวกเขาไม่สามารถบินที่นั่นได้  ที่นั่นจะเต็มไปด้วยพายุทรายเสมอและสายลมก็คมกว่ามีดเสียอีก!  พวกเขาได้แต่เดิน!  ถ้าเราสูญเสียที่นั้นไป  เราคงไม่มีหน้ามีชีวิตต่อไปแน่”

“นั่นก็จริง แต่เราจะล่อพวกเขาไปที่นั่นได้ยังไง?”

“เราจะหลอกล่อพวกเขา! เราไม่ได้หนีในช่วงสุดท้ายไม่ใช่หรือ? เราจะแกล้งทำเป็นหนี และพวกเขาก็จะไล่ตาม เราจะไปจัดกระบวนที่ทวีปนาซิสซัสก่อน จากนั้นทำเป็นแตกตื่นและหนีไปที่ทวีปป่าหินทราย  พวกเขาจะต้องไล่ตามแน่”

“แล้วรอบๆ ชายขอบทวีปอื่นเป็นยังไงบ้าง?”

“ที่อื่นใช้ไม่ได้  ทวีปป่าหินทรายมีสายธารพลังที่ไหลเชี่ยวเรือรบไม่สามารถผ่านเข้าไปที่นั่นได้ พวกเขาต้องผ่านเข้าไปในทวีปป่าหินทราย ไปที่ปากอ่าวพลังงานด้านหลังแนวป้องกันของเรา”

“แนวป้องกันของท่านปิง ทำได้อย่างไม่มีที่ติมีกระทั่งสายกระแสพลังงาน!”

“แต่เนื่องจากพวกเขาต้องมาที่นี่ทำไมเราต้องไปหลอกล่อพวกเขาด้วย?”

“เราต้องทำ! ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาจะส่งคนเพียงไม่กี่คนมาที่นี่!”

“จริงด้วย, จริงด้วย!”

ในห้องประชุมประกายของทุกคนเขียวน่ากลัว เหมือนกับฝูงหมาป่าเจ้าเล่ห์

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด