ตอนที่แล้วตอนที่ 773 เทพธิดาตัดสินสงคราม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 775 การมาถึงของหน่วยสุญญตา

ตอนที่ 774 มู่จือเสียเดินทัพ


อาณาจักรเพอร์ซูสเคลื่อนกำลังอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ไม่มีใครสงสัยการตัดสินใจของซ่างกวนเชียนฮุ่ย  ข้อตกลงก่อนนั้นทั้งหมดของพวกเขาได้รับการพิสูจน์แล้ว  ในใจของเถี่ยจี๋และอาซือหมิง ความทะเยอทะยานที่ทวีปกวงหมิงมีต่อทวีปแดนเถื่อนไม่ใช่ความลับ

การเกิดขึ้นของทวีปกวงหมิงกล่าวกันว่ามาจากแผ่อำนาจและกลืนทวีปอื่นๆราวกับว่าเป็นสัญชาตญาณที่อยู่ลึกภายในสายเลือดของพวกทวีปกวงหมิง

มู่จือเสียในฐานะนักสู้จากทวีปกวงหมิงคงจะไม่ยอมนั่งเฉยมองดูทวีปแดนเถื่อนรวมตัวกันเป็นหนึ่ง

ทวีปแดนเถื่อนที่รวมกันได้แล้วจะเป็นภัยคุกคามทวีปกวงหมิงได้มากกว่าภูมิภาคใต้  เถี่ยจี๋, อาซือหมิงและพวกเป็นวีรบุรุษที่มีความโดดเด่นและสามารถเห็นจุดนี้ได้

อาณาจักรเพอร์ซูสเริ่มกวาดกลุ่มอำนาจอื่นทันทีที่ปรากฏปล่อยให้มู่จือเสียไม่มีเวลาตั้งตัว  แต่อาณาจักรเพอร์ซูสยังไม่ใหญ่เกินไปนัก  ดังนั้นเขายังมีโอกาสชนะ  ถ้ามู่จือเสียไม่ลงมือทอดเวลายาวนานออกไป  โอกาสชนะของเขาจะน้อยลง

อาณาจักรเพอร์ซูสกำลังเติบใหญ่แข็งแกร่งทุกวัน

เถี่ยจี๋และคนอื่นสามารถเห็นได้  และพวกเขาไม่เชื่อว่ามู่จือเสีย ผู้นำของผู้บัญชาการของทวีปกวงหมิงจะไม่เห็น

มู่จือเสียอาจจะลงมือแน่นอน  และก็จะทำในไม่ช้าด้วย

การสนทนาที่ร้อนแรงระหว่างพวกเขาก็คือเรื่องวิธีที่มู่จือเสียจะเคลื่อนกำลังเข้ามา

พันธมิตรกับชนเผ่าอื่นที่เหลือน่ะหรือ?  บางทีโอกาสที่เกิดขึ้นได้นั้นต่ำด้วยเผ่าน้ำดำของซางเป่ยเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ  โรคกลัวคนแปลกหน้าของทวีปแดนเถื่อนนั้นรุนแรงมากและมู่จือเสียไม่เคยใช้พื้นฐานของเขาจากทวีปกวงหมิงเลย  แต่จะค้าขายและสร้างผลกำไรจากการสร้างความสัมพันธ์กับชนเผ่า  ถ้าเขาจะมีส่วนร่วมในการสู้รบในช่วงเวลาอ่อนไหวอย่างนั้นก็จะทำให้ชนเผ่าใหญ่รู้ตัวและระมัดระวังเขา

ชนเผ่าในแดนเถื่อนผู้คุ้นเคยกับการสู้รบจะไม่สนใจสัตว์ร้ายที่อยู่เบื้องหลังมู่จือเสียได้ยังไง?

ถ้าไม่ใช่เพราะซ่างกวนเชียนฮุ่ยลงมาจากฟากฟ้า  ถ้าไม่ใช่เพราะนางติดต่อกับวิญญาณวีรชน นางคงไม่ได้รับการยอมรับจากทวีปแดนเถื่อนได้ง่าย  ความเชื่อของพวกเขาในวิญญาณวีรชนและทางลึกลับที่นางปรากฏออกมาจากท้องฟ้าทำให้นางเหมือนกับตำนานในอากาศ  นอกจากนี้ นางอยู่ตามลำพัง

นางได้รับการยกย่องจากหลายคนว่าเป็นความหวังรวมทวีปแดนเถื่อนที่ยุ่งเหยิงให้เป็นปึกแผ่นเป็นแสงที่สาดส่องในท่ามกลางความมืดมิด  นางจะนำความเปลี่ยนแปลงมาให้ทวีปแดนเถื่อน  นางจะรวบรวมทุกคน  และในที่สุดทวีปแดนเถื่อนจะเป็นทวีปของทุกคน

ไม่มีใครยอมฝากความหวังของทวีปแดนเถื่อนไว้กับทวีปกวงหมิงทวีปกวงหมิงแข็งแกร่งทรงพลังเป็นเหมือนพระอาทิตย์เจิดจ้า และหลอมละลายทวีปแดนเถื่อนได้  พวกเขาจะต้องกลืนแดนเถื่อนแน่  จากนั้นก็จะไม่มีทวีปแดนเถื่อนต่อไป  จะมีแต่แค่ทวีปกวงหมิงอีกที่หนึ่ง  ประเพณีของพวกเขาจะไม่อยู่รอดอีกต่อไป  แผ่นดินที่บรรพบุรุษมอบให้พวกเขาจะไม่เป็นของพวกเขาอีกต่อไป

ทุกคนไม่สามารถคิดได้ว่ามู่จือเสียจะลงมือยังไงแม้แต่ซ่างกวนเชียนฮุ่ย

ในฐานะแม่ทัพระดับสูง  เขาใช้เวลา 20 ปี สร้างกิจการของเขาและแน่นอนว่าย่อมมีไพ่สำคัญไว้สำหรับเล่น

แต่ทุกคนไม่แตกตื่นตั้งแต่พวกเขาติดตามซ่างกวนเชียนฮุ่ยมา พวกเขาไม่เคยแพ้ ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเองให้พวกเขา

นอกจากนี้พวกเขาอยู่ทวีปแดนเถื่อน

ตราบใดที่มู่จือเสียออกจากทวีปเว่ยเย่กวน  เขาจะกลายเป็นเศษธุลีของทวีปแดนเถื่อน

นี่คือความมั่นใจที่ใหญ่ที่สุดที่เถี่ยจี๋และคนที่เหลือมี  ตั้งแต่โบราณกาล  พวกเขาไม่เคยสูญเสียดินแดนของพวกเขาเอง  นักสู้ผู้มีชื่อเสียงและทรงพลังนับไม่ถ้วนพยายามจะพิชิตดินแดนของพวกเขามาก่อน  แต่ไม่มีการยอมรับจากพวกเขา  ทั้งหมดตายในสายลมและหิมะ

**********************

ทวีปเว่ยเย่กวน

“ไม่เคยมีใครเคยพิชิตทวีปแดนเถื่อนได้”

มู่จือเสียมองดูทหารที่เคร่งเครียดข้างหน้าเขา  และประโยคแรกของเขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน

“เราไม่จำเป็นต้องพิชิตพวกเขา  เราแค่ต้องเอาชนะพวกเขา หรือที่ถูกต้องมากกว่าก็คือเอาชนะอาณาจักรเพอร์ซูส  เราต้องการให้ทวีปแดนเถื่อนเป็นเหมือนอย่างที่มันเป็น  เราต้องทำลายความหวังและความฝันพวกเขา  ทำลาย เราต้องการเพียงทำลาย ทำลายให้ราบคาบ”

“พวกเจ้าคือกองทัพที่ใหญ่ที่สุดของทวีปกวงหมิงและข้าคือแม่ทัพที่ทรงพลังมากที่สุดของทวีปกวงหมิง”

หน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความยากลำบากและประสบการณ์มั่นคงเหมือนภูผา  มู่จือเสียสงบมากเมื่อเขาพูดคำที่ก้าวร้าว  ทหารข้างหน้าเขาไม่ได้แสดงอาการคลั่ง  พวกเขายังคงไม่เคลื่อนไหวเหมือนกับเครื่องจักรเหล็กกล้า  พวกเขาเหมือนกับมู่จือเสีย  เกราะของพวกเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยจากการสู้รบครั้งเก่าก่อน  และดาบในมือของพวกเขาก็หมองไร้ประกาย

“เราอยู่ที่นี่มา 20 ปีแล้ว และทุกคนลืมไปว่าเราทรงพลังเพียงไหน หิมะและสายลมของทวีปเว่ยเย่กวนครอบคลุมปลายดาบของเรา  พวกเขาคิดว่าตอนนี้เราเป็นแค่นักธุรกิจ”

“กระบี่ในมือของเราหมดความอดทนและกระหายเลือดเต็มทีแล้ว”

“ไม่มีอะไรหยุดรัศมีเราได้!”

เขาชักกระบี่นายทหารออกจากฝักที่เอวเขาและหันหน้านำเดินเข้าไปในหุบเขา  ทหารที่เดินตามหลังเขาชักอาวุธ  พวกเขาเดินไปข้างหน้า

พวกเขาเหมือนเป็นหนึ่งเดียว  รูปกระบวนของพวกเขาเปล่งแสงสีขาว  ประกายที่เยือกเย็นจากดาบของพวกเขาผสมกับแสงสีขาวเหมือนกับฝูงกระทิงบุกตะลุยเข้าไปในทะเลหายไปไม่เหลืออะไร

การเคลื่อนพลของพวกเขาเหมือนกับกระแสน้ำไม่มีอะไรหยุดได้  มู่จือเสียที่ยืนนำหน้าลอบผงกศีรษะ  ลมเย็นยังคงพัดใส่เขา  แต่ก็อยู่ในระดับต่ำสุดตามที่เขาได้บันทึกไว้

‘การวิจัยและคาดการณ์ของข้าถูกต้อง’

“เดินหน้า!”

กองทัพไม่หยุดสีหน้าที่มุ่งมั่นของพวกเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ลมยะเยือกแข็งลึกไม่มีอะไรน่าสงสัยเพิ่ม

แม้ว่าพลังลมจากช่องเขาลมยะเยือกจะต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์  แต่เนื่องพวกเขายิ่งใกล้เข้าไป มันก็ยังครอบงำได้  แสงขาวรอบกระบวนศึกเริ่มไม่มั่นคง  แต่ทหารภายในแสงขาวยังคงไม่เคลื่อนไหว  สีหน้าหน้าพวกเขาไม่เปลี่ยนขณะที่พวกเขาเดินลงช่อง

มู่จือเสียเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปในช่องเขาลมยะเยือก

ช่องเขาลมยะเยือกเป็นเหมือนปากของสัตว์กลืนกินกองทัพทั้งหมดทีละนิดๆ

เมื่อแสงฉายสุดท้ายหายไปในช่องเขาลมยะเยือกเสียงหวีดหวิวของสายลมในช่องเขาก็พัดดังอีกครั้ง

******

ภายในกระท่อมไม้ในเมืองพายุ

แอ๊ดดดด  ประตูไม้ถูกผลักเปิดออก  บุรุษหนุ่มสีหน้าดีเดินออกมาช้าๆ

“เจ้ารู้สึกเป็ยังไงบ้าง?”  ถังเทียนถามด้วยความกังวล

“ดีอย่างไม่เคยมีมาก่อน”  สวี่เย่หัวเราะ  รังสีมรณะในตัวของเขาหายไปหมด  และเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขนานใหญ่  สวี่เย่ก่อนนี้ให้ความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้ และมีความรู้สึกเจ้าเล่ห์  แต่ตัวเขาในปัจจุบันนี้ เหมือนกับเหวลึก เขาสงบไม่มีความปั่นป่วนใดๆ แม้แต่ถังเทียนก็ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของเขา  ตาของเขาสะดุดตาที่สุด ดำขลับแต่มีประกายเหมือนดวงดาว

เขาคำนับถังเทียนทันที  “นายท่านให้ชีวิตใหม่กับผู้น้อย  พระคุณนี้ผู้น้อยยากจะตอบแทนได้ทั้งชีวิต  แต่ไม่ว่านายท่านชี้ดาบไปที่ใดก็ตาม ผู้น้อยจะฆ่ามันในตำแหน่งนั้นทันที

ถังเทียนเก้อเขินเล็กน้อย  เขาไม่รู้จะทำยังไง  แม้ว่าเขาเป็นจอมเหี้ยมหาญมานาน  แต่การกระทำตรงๆ แบบนั้นไม่ค่อยจะเกิดขึ้น

สวี่เย่เห็นอาการเก้อเขินของถังเทียนจึงยิ้มให้ขณะลุกขึ้นยืน

การประเมินผลครั้งแรกของถังเทียนเมื่อเขาเห็นสวี่เย่ออกมาจากการขังตัวฝึกฝีมือก็คือเขาถือกำเนิดใหม่

คลื่นรังสีมรณะที่พุ่งกระจายออกมาจากแหวนมรณะกะทันหันเกินไปอย่างไม่มีคำเตือน  เมื่อเขาตอบสนอง เขาก็ถูกรัศมีของมันห่อหุ้มไว้แล้ว  รังสีมรณะหนาแน่นเปลี่ยนเป็นเพลิงดำม้วนอยู่รอบตัวเขาทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน และภาพที่ถังเทียนฟันมือลงผุดขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง

แรงฟันนั้นสะสมอะไรไว้หลายอย่างศรัทธา ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ กำลังใจ...

เขาไม่ยอมแพ้

เมื่อช่วงสุดท้ายของร่างเขาถูกแผดเผา  เขาพบสายใยธรรมชาติกฎเป็นภายในรัศมีกฎตายที่หนาแน่น

เขารักษาบาดแผลของเขาและนำร่างของเขาที่ถูกเพลิงมรณะสีดำห่อหุ้มออกมาได้ เขาเริ่มขังตัวฝึกฝน แหวนมรณะเป็นสมบัติของกฎตาย  รัศมีมรณะปล่อยออกมาไม่มีที่สิ้นสุด แต่สำหรับสวี่เย่ผู้ได้รับการรู้แจ้ง  รังสีมรณะเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงที่ดีที่สุดสำหรับเขา

โดยเปลี่ยนรัศมีมรณะเป็นพลังชีวิต  ร่างเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและกลายเป็นแข็งแกร่งมากขึ้น  ความเข้าใจของเขาที่มีต่อกฎเป็นตายถึงระดับเทียบเท่ากับบรรพบุรุษตระกูลสวี่

เมื่อเขาออกมาพลังของเขาเพิ่มสูงขึ้น  ถ้าเขาเผชิญหน้ากับเหอซินอีกครั้ง  เขามั่นใจว่าสู้กับเหอซินตัวต่อตัวชนะแน่

เขารู้สึกว่าพลังปัจจุบันของเขาไม่ด้อยไปกว่าถังเทียน  และเขามีความสุขและมั่นใจเต็มที่ จึงผลักเปิดประตูออกไป

แต่ทันทีที่เขาเห็นถังเทียนความภูมิใจที่เขามีจากความก้าวหน้าของเขาถูกกวาดหายไปในทันที  เขารู้สึกเหมือนกับมีน้ำแข็งราดใส่เขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า  เขารีบสงบจิตใจทันที

เข้ามีความเข้าใจมากขึ้นและรู้ความแข็งแกร่งมากขึ้น  และทันทีที่เห็นถังเทียน  เขารู้สึกอะไรได้หลายอย่าง  และความนับถือในใจของเขามีแต่จะมากขึ้น ทุกอย่างที่เขาสามารถเห็นได้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  ตัวอย่างเช่นพื้นที่รอบตัวเจ้านายเขามีการบิดเบือนเล็กน้อยมาก

ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เล็กน้อยมาก  เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในอดีต

ตอนนี้สิ่งที่เขาสามารถเห็นได้  มีอยู่หลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ  แต่เขารู้ว่าเบื้องหลังทั้งหมดละเอียดและซับซ้อนเป็นปรากฏการณ์พลังที่หยั่งไม่ถึง   ลึกล้ำแค่ไหนเขาไม่รู้แต่เขารู้ว่าแข็งแกร่งกว่าเขามาก

‘ไม่ธรรมดาจริงๆ’

สวี่เย่มีอาการตื่นเต้น  แต่เมื่อเขาเห็นยิ้มเก้อเขินของถังเทียน  เขารู้สึกดีทันที

แต่เมื่อเขาเห็นเซียวหานกวงและฝูเจิ้งจือที่มองอย่างตกใจ  เขายิ่งมีความสุขมากขึ้น  เขายิ้มและนั่งข้างๆ  “นายท่าน,ท่านไม่ฆ่าพวกเขาสองคนหรือ?”

เมื่อทั้งสองคนที่ยังหมกมุ่นกับการเปลี่ยนแปลงของสวี่เย่ได้ยินคำพูดของเขา  สีหน้าของเขาเขียวคล้ำทันที

ยอมแพ้ก็เป็นเรื่องที่น่าอายแล้ว  และหลังจากยอมแพ้  พวกเขาก็ยังถูกถามว่าทำไมยังไม่ตายอีก  ความรู้สึกนี้มันน่ากลัวมาก  ถ้าสายตาฆ่าคนได้ สวี่เย่คงตายไปนับครั้งไม่ถ้วน

สวี่เย่ยังคงยิ้มและไม่โกรธ

ฝูเจิ้งจือและเซียวหานกวงกลัวพลังของสวี่เย่  นอกจากนี้เขายอมแพ้และนับถือถังเทียน  พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหว

“ทำไมข้าจะต้องฆ่าพวกเขาด้วยเล่า?”  ถังเทียนส่ายศีรษะ

“นั่นก็จริง นายท่านไม่ได้ฆ่ากราดไปหมด”  สวี่เย่พยักหน้า  จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อคุย  “นายท่าน, ท่านจะทำอะไรต่อหลังจากรวบรวมบริวารกลับมา?  ท่านมีที่ต้องการไปหรือไม่?”

“ข้าต้องการพาพวกเขากลับไปที่ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์”  ถังเทียนกล่าว

ทุกคนตกใจทันที  สำหรับพวกเขา ชื่อนี้ไม่คุ้นเคยมานานแล้ว

“ผู้น้อยขอถาม, ทำไมนายท่านต้องการกลับไปที่ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์?”  ฝูเจิ้งจือถามอย่างระมัดระวัง

“สหายของข้ายังอยู่ในสงคราม”  ถังเทียนพูดอย่างไม่สบายใจ  “เราต้องไปเสริมกำลังพวกเขา”

“แต่ว่า...”  ฝูเจิ้งจือหยุดพูด  เขาต้องการเตือนถังเทียนว่าไม่มีเคยมีใครกลับออกไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์จากแดนบาปนี้ได้  แต่หลังจากเห็นท่าทีมุ่งมั่นของถังเทียนแล้ว เขาหยุดทันที

หน้าของสวี่เย่กลายเป็นเคร่งเครียด  “นายท่านตั้งใจจะไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เมื่อใด?”

“เมื่อข้ารวบรวมหน่วยสุญญตาเสร็จ!”  ถังเทียนพูดยืนยัน

สวี่เย่คำนับอีกครั้ง  “ข้าหวังว่านายท่านจะนำผู้น้อยนี้กลับไปพร้อมกับท่านด้วย”

ถังเทียนมองสวี่เย่  “เจ้าต้องการไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือ?”

“ทุกคนในแดนบาปต้องการทั้งนั้น”  สวี่เย่กล่าว

ถังเทียนโพล่ง  “ข้าคิดว่าชาวแดนบาปสูญเสียความกล้าไปหมดแล้วเสียอีก”

ฝูเจิ้งจือหน้าแดงด้วยความละอาย  เขาลืมสถานะเชลย และโพล่งตอบแทบทันที  “นั่นเป็นเส้นทางสู่ความตาย!  คนที่วิ่งไปทางนั้นไม่เคยรอด!”

ถังเทียนไม่โกรธ  เขามองดูฝูเจิ้งจือที่ตื่นเต้นและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “ข้าจะไป”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด