ตอนที่ 774 มู่จือเสียเดินทัพ
อาณาจักรเพอร์ซูสเคลื่อนกำลังอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ไม่มีใครสงสัยการตัดสินใจของซ่างกวนเชียนฮุ่ย ข้อตกลงก่อนนั้นทั้งหมดของพวกเขาได้รับการพิสูจน์แล้ว ในใจของเถี่ยจี๋และอาซือหมิง ความทะเยอทะยานที่ทวีปกวงหมิงมีต่อทวีปแดนเถื่อนไม่ใช่ความลับ
การเกิดขึ้นของทวีปกวงหมิงกล่าวกันว่ามาจากแผ่อำนาจและกลืนทวีปอื่นๆราวกับว่าเป็นสัญชาตญาณที่อยู่ลึกภายในสายเลือดของพวกทวีปกวงหมิง
มู่จือเสียในฐานะนักสู้จากทวีปกวงหมิงคงจะไม่ยอมนั่งเฉยมองดูทวีปแดนเถื่อนรวมตัวกันเป็นหนึ่ง
ทวีปแดนเถื่อนที่รวมกันได้แล้วจะเป็นภัยคุกคามทวีปกวงหมิงได้มากกว่าภูมิภาคใต้ เถี่ยจี๋, อาซือหมิงและพวกเป็นวีรบุรุษที่มีความโดดเด่นและสามารถเห็นจุดนี้ได้
อาณาจักรเพอร์ซูสเริ่มกวาดกลุ่มอำนาจอื่นทันทีที่ปรากฏปล่อยให้มู่จือเสียไม่มีเวลาตั้งตัว แต่อาณาจักรเพอร์ซูสยังไม่ใหญ่เกินไปนัก ดังนั้นเขายังมีโอกาสชนะ ถ้ามู่จือเสียไม่ลงมือทอดเวลายาวนานออกไป โอกาสชนะของเขาจะน้อยลง
อาณาจักรเพอร์ซูสกำลังเติบใหญ่แข็งแกร่งทุกวัน
เถี่ยจี๋และคนอื่นสามารถเห็นได้ และพวกเขาไม่เชื่อว่ามู่จือเสีย ผู้นำของผู้บัญชาการของทวีปกวงหมิงจะไม่เห็น
มู่จือเสียอาจจะลงมือแน่นอน และก็จะทำในไม่ช้าด้วย
การสนทนาที่ร้อนแรงระหว่างพวกเขาก็คือเรื่องวิธีที่มู่จือเสียจะเคลื่อนกำลังเข้ามา
พันธมิตรกับชนเผ่าอื่นที่เหลือน่ะหรือ? บางทีโอกาสที่เกิดขึ้นได้นั้นต่ำด้วยเผ่าน้ำดำของซางเป่ยเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ โรคกลัวคนแปลกหน้าของทวีปแดนเถื่อนนั้นรุนแรงมากและมู่จือเสียไม่เคยใช้พื้นฐานของเขาจากทวีปกวงหมิงเลย แต่จะค้าขายและสร้างผลกำไรจากการสร้างความสัมพันธ์กับชนเผ่า ถ้าเขาจะมีส่วนร่วมในการสู้รบในช่วงเวลาอ่อนไหวอย่างนั้นก็จะทำให้ชนเผ่าใหญ่รู้ตัวและระมัดระวังเขา
ชนเผ่าในแดนเถื่อนผู้คุ้นเคยกับการสู้รบจะไม่สนใจสัตว์ร้ายที่อยู่เบื้องหลังมู่จือเสียได้ยังไง?
ถ้าไม่ใช่เพราะซ่างกวนเชียนฮุ่ยลงมาจากฟากฟ้า ถ้าไม่ใช่เพราะนางติดต่อกับวิญญาณวีรชน นางคงไม่ได้รับการยอมรับจากทวีปแดนเถื่อนได้ง่าย ความเชื่อของพวกเขาในวิญญาณวีรชนและทางลึกลับที่นางปรากฏออกมาจากท้องฟ้าทำให้นางเหมือนกับตำนานในอากาศ นอกจากนี้ นางอยู่ตามลำพัง
นางได้รับการยกย่องจากหลายคนว่าเป็นความหวังรวมทวีปแดนเถื่อนที่ยุ่งเหยิงให้เป็นปึกแผ่นเป็นแสงที่สาดส่องในท่ามกลางความมืดมิด นางจะนำความเปลี่ยนแปลงมาให้ทวีปแดนเถื่อน นางจะรวบรวมทุกคน และในที่สุดทวีปแดนเถื่อนจะเป็นทวีปของทุกคน
ไม่มีใครยอมฝากความหวังของทวีปแดนเถื่อนไว้กับทวีปกวงหมิงทวีปกวงหมิงแข็งแกร่งทรงพลังเป็นเหมือนพระอาทิตย์เจิดจ้า และหลอมละลายทวีปแดนเถื่อนได้ พวกเขาจะต้องกลืนแดนเถื่อนแน่ จากนั้นก็จะไม่มีทวีปแดนเถื่อนต่อไป จะมีแต่แค่ทวีปกวงหมิงอีกที่หนึ่ง ประเพณีของพวกเขาจะไม่อยู่รอดอีกต่อไป แผ่นดินที่บรรพบุรุษมอบให้พวกเขาจะไม่เป็นของพวกเขาอีกต่อไป
ทุกคนไม่สามารถคิดได้ว่ามู่จือเสียจะลงมือยังไงแม้แต่ซ่างกวนเชียนฮุ่ย
ในฐานะแม่ทัพระดับสูง เขาใช้เวลา 20 ปี สร้างกิจการของเขาและแน่นอนว่าย่อมมีไพ่สำคัญไว้สำหรับเล่น
แต่ทุกคนไม่แตกตื่นตั้งแต่พวกเขาติดตามซ่างกวนเชียนฮุ่ยมา พวกเขาไม่เคยแพ้ ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเองให้พวกเขา
นอกจากนี้พวกเขาอยู่ทวีปแดนเถื่อน
ตราบใดที่มู่จือเสียออกจากทวีปเว่ยเย่กวน เขาจะกลายเป็นเศษธุลีของทวีปแดนเถื่อน
นี่คือความมั่นใจที่ใหญ่ที่สุดที่เถี่ยจี๋และคนที่เหลือมี ตั้งแต่โบราณกาล พวกเขาไม่เคยสูญเสียดินแดนของพวกเขาเอง นักสู้ผู้มีชื่อเสียงและทรงพลังนับไม่ถ้วนพยายามจะพิชิตดินแดนของพวกเขามาก่อน แต่ไม่มีการยอมรับจากพวกเขา ทั้งหมดตายในสายลมและหิมะ
**********************
ทวีปเว่ยเย่กวน
“ไม่เคยมีใครเคยพิชิตทวีปแดนเถื่อนได้”
มู่จือเสียมองดูทหารที่เคร่งเครียดข้างหน้าเขา และประโยคแรกของเขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน
“เราไม่จำเป็นต้องพิชิตพวกเขา เราแค่ต้องเอาชนะพวกเขา หรือที่ถูกต้องมากกว่าก็คือเอาชนะอาณาจักรเพอร์ซูส เราต้องการให้ทวีปแดนเถื่อนเป็นเหมือนอย่างที่มันเป็น เราต้องทำลายความหวังและความฝันพวกเขา ทำลาย เราต้องการเพียงทำลาย ทำลายให้ราบคาบ”
“พวกเจ้าคือกองทัพที่ใหญ่ที่สุดของทวีปกวงหมิงและข้าคือแม่ทัพที่ทรงพลังมากที่สุดของทวีปกวงหมิง”
หน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความยากลำบากและประสบการณ์มั่นคงเหมือนภูผา มู่จือเสียสงบมากเมื่อเขาพูดคำที่ก้าวร้าว ทหารข้างหน้าเขาไม่ได้แสดงอาการคลั่ง พวกเขายังคงไม่เคลื่อนไหวเหมือนกับเครื่องจักรเหล็กกล้า พวกเขาเหมือนกับมู่จือเสีย เกราะของพวกเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยจากการสู้รบครั้งเก่าก่อน และดาบในมือของพวกเขาก็หมองไร้ประกาย
“เราอยู่ที่นี่มา 20 ปีแล้ว และทุกคนลืมไปว่าเราทรงพลังเพียงไหน หิมะและสายลมของทวีปเว่ยเย่กวนครอบคลุมปลายดาบของเรา พวกเขาคิดว่าตอนนี้เราเป็นแค่นักธุรกิจ”
“กระบี่ในมือของเราหมดความอดทนและกระหายเลือดเต็มทีแล้ว”
“ไม่มีอะไรหยุดรัศมีเราได้!”
เขาชักกระบี่นายทหารออกจากฝักที่เอวเขาและหันหน้านำเดินเข้าไปในหุบเขา ทหารที่เดินตามหลังเขาชักอาวุธ พวกเขาเดินไปข้างหน้า
พวกเขาเหมือนเป็นหนึ่งเดียว รูปกระบวนของพวกเขาเปล่งแสงสีขาว ประกายที่เยือกเย็นจากดาบของพวกเขาผสมกับแสงสีขาวเหมือนกับฝูงกระทิงบุกตะลุยเข้าไปในทะเลหายไปไม่เหลืออะไร
การเคลื่อนพลของพวกเขาเหมือนกับกระแสน้ำไม่มีอะไรหยุดได้ มู่จือเสียที่ยืนนำหน้าลอบผงกศีรษะ ลมเย็นยังคงพัดใส่เขา แต่ก็อยู่ในระดับต่ำสุดตามที่เขาได้บันทึกไว้
‘การวิจัยและคาดการณ์ของข้าถูกต้อง’
“เดินหน้า!”
กองทัพไม่หยุดสีหน้าที่มุ่งมั่นของพวกเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ลมยะเยือกแข็งลึกไม่มีอะไรน่าสงสัยเพิ่ม
แม้ว่าพลังลมจากช่องเขาลมยะเยือกจะต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เนื่องพวกเขายิ่งใกล้เข้าไป มันก็ยังครอบงำได้ แสงขาวรอบกระบวนศึกเริ่มไม่มั่นคง แต่ทหารภายในแสงขาวยังคงไม่เคลื่อนไหว สีหน้าหน้าพวกเขาไม่เปลี่ยนขณะที่พวกเขาเดินลงช่อง
มู่จือเสียเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปในช่องเขาลมยะเยือก
ช่องเขาลมยะเยือกเป็นเหมือนปากของสัตว์กลืนกินกองทัพทั้งหมดทีละนิดๆ
เมื่อแสงฉายสุดท้ายหายไปในช่องเขาลมยะเยือกเสียงหวีดหวิวของสายลมในช่องเขาก็พัดดังอีกครั้ง
******
ภายในกระท่อมไม้ในเมืองพายุ
แอ๊ดดดด ประตูไม้ถูกผลักเปิดออก บุรุษหนุ่มสีหน้าดีเดินออกมาช้าๆ
“เจ้ารู้สึกเป็ยังไงบ้าง?” ถังเทียนถามด้วยความกังวล
“ดีอย่างไม่เคยมีมาก่อน” สวี่เย่หัวเราะ รังสีมรณะในตัวของเขาหายไปหมด และเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขนานใหญ่ สวี่เย่ก่อนนี้ให้ความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้ และมีความรู้สึกเจ้าเล่ห์ แต่ตัวเขาในปัจจุบันนี้ เหมือนกับเหวลึก เขาสงบไม่มีความปั่นป่วนใดๆ แม้แต่ถังเทียนก็ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของเขา ตาของเขาสะดุดตาที่สุด ดำขลับแต่มีประกายเหมือนดวงดาว
เขาคำนับถังเทียนทันที “นายท่านให้ชีวิตใหม่กับผู้น้อย พระคุณนี้ผู้น้อยยากจะตอบแทนได้ทั้งชีวิต แต่ไม่ว่านายท่านชี้ดาบไปที่ใดก็ตาม ผู้น้อยจะฆ่ามันในตำแหน่งนั้นทันที
ถังเทียนเก้อเขินเล็กน้อย เขาไม่รู้จะทำยังไง แม้ว่าเขาเป็นจอมเหี้ยมหาญมานาน แต่การกระทำตรงๆ แบบนั้นไม่ค่อยจะเกิดขึ้น
สวี่เย่เห็นอาการเก้อเขินของถังเทียนจึงยิ้มให้ขณะลุกขึ้นยืน
การประเมินผลครั้งแรกของถังเทียนเมื่อเขาเห็นสวี่เย่ออกมาจากการขังตัวฝึกฝีมือก็คือเขาถือกำเนิดใหม่
คลื่นรังสีมรณะที่พุ่งกระจายออกมาจากแหวนมรณะกะทันหันเกินไปอย่างไม่มีคำเตือน เมื่อเขาตอบสนอง เขาก็ถูกรัศมีของมันห่อหุ้มไว้แล้ว รังสีมรณะหนาแน่นเปลี่ยนเป็นเพลิงดำม้วนอยู่รอบตัวเขาทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน และภาพที่ถังเทียนฟันมือลงผุดขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง
แรงฟันนั้นสะสมอะไรไว้หลายอย่างศรัทธา ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ กำลังใจ...
เขาไม่ยอมแพ้
เมื่อช่วงสุดท้ายของร่างเขาถูกแผดเผา เขาพบสายใยธรรมชาติกฎเป็นภายในรัศมีกฎตายที่หนาแน่น
เขารักษาบาดแผลของเขาและนำร่างของเขาที่ถูกเพลิงมรณะสีดำห่อหุ้มออกมาได้ เขาเริ่มขังตัวฝึกฝน แหวนมรณะเป็นสมบัติของกฎตาย รัศมีมรณะปล่อยออกมาไม่มีที่สิ้นสุด แต่สำหรับสวี่เย่ผู้ได้รับการรู้แจ้ง รังสีมรณะเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงที่ดีที่สุดสำหรับเขา
โดยเปลี่ยนรัศมีมรณะเป็นพลังชีวิต ร่างเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและกลายเป็นแข็งแกร่งมากขึ้น ความเข้าใจของเขาที่มีต่อกฎเป็นตายถึงระดับเทียบเท่ากับบรรพบุรุษตระกูลสวี่
เมื่อเขาออกมาพลังของเขาเพิ่มสูงขึ้น ถ้าเขาเผชิญหน้ากับเหอซินอีกครั้ง เขามั่นใจว่าสู้กับเหอซินตัวต่อตัวชนะแน่
เขารู้สึกว่าพลังปัจจุบันของเขาไม่ด้อยไปกว่าถังเทียน และเขามีความสุขและมั่นใจเต็มที่ จึงผลักเปิดประตูออกไป
แต่ทันทีที่เขาเห็นถังเทียนความภูมิใจที่เขามีจากความก้าวหน้าของเขาถูกกวาดหายไปในทันที เขารู้สึกเหมือนกับมีน้ำแข็งราดใส่เขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เขารีบสงบจิตใจทันที
เข้ามีความเข้าใจมากขึ้นและรู้ความแข็งแกร่งมากขึ้น และทันทีที่เห็นถังเทียน เขารู้สึกอะไรได้หลายอย่าง และความนับถือในใจของเขามีแต่จะมากขึ้น ทุกอย่างที่เขาสามารถเห็นได้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตัวอย่างเช่นพื้นที่รอบตัวเจ้านายเขามีการบิดเบือนเล็กน้อยมาก
ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เล็กน้อยมาก เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในอดีต
ตอนนี้สิ่งที่เขาสามารถเห็นได้ มีอยู่หลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่าเบื้องหลังทั้งหมดละเอียดและซับซ้อนเป็นปรากฏการณ์พลังที่หยั่งไม่ถึง ลึกล้ำแค่ไหนเขาไม่รู้แต่เขารู้ว่าแข็งแกร่งกว่าเขามาก
‘ไม่ธรรมดาจริงๆ’
สวี่เย่มีอาการตื่นเต้น แต่เมื่อเขาเห็นยิ้มเก้อเขินของถังเทียน เขารู้สึกดีทันที
แต่เมื่อเขาเห็นเซียวหานกวงและฝูเจิ้งจือที่มองอย่างตกใจ เขายิ่งมีความสุขมากขึ้น เขายิ้มและนั่งข้างๆ “นายท่าน,ท่านไม่ฆ่าพวกเขาสองคนหรือ?”
เมื่อทั้งสองคนที่ยังหมกมุ่นกับการเปลี่ยนแปลงของสวี่เย่ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของเขาเขียวคล้ำทันที
ยอมแพ้ก็เป็นเรื่องที่น่าอายแล้ว และหลังจากยอมแพ้ พวกเขาก็ยังถูกถามว่าทำไมยังไม่ตายอีก ความรู้สึกนี้มันน่ากลัวมาก ถ้าสายตาฆ่าคนได้ สวี่เย่คงตายไปนับครั้งไม่ถ้วน
สวี่เย่ยังคงยิ้มและไม่โกรธ
ฝูเจิ้งจือและเซียวหานกวงกลัวพลังของสวี่เย่ นอกจากนี้เขายอมแพ้และนับถือถังเทียน พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหว
“ทำไมข้าจะต้องฆ่าพวกเขาด้วยเล่า?” ถังเทียนส่ายศีรษะ
“นั่นก็จริง นายท่านไม่ได้ฆ่ากราดไปหมด” สวี่เย่พยักหน้า จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อคุย “นายท่าน, ท่านจะทำอะไรต่อหลังจากรวบรวมบริวารกลับมา? ท่านมีที่ต้องการไปหรือไม่?”
“ข้าต้องการพาพวกเขากลับไปที่ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์” ถังเทียนกล่าว
ทุกคนตกใจทันที สำหรับพวกเขา ชื่อนี้ไม่คุ้นเคยมานานแล้ว
“ผู้น้อยขอถาม, ทำไมนายท่านต้องการกลับไปที่ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์?” ฝูเจิ้งจือถามอย่างระมัดระวัง
“สหายของข้ายังอยู่ในสงคราม” ถังเทียนพูดอย่างไม่สบายใจ “เราต้องไปเสริมกำลังพวกเขา”
“แต่ว่า...” ฝูเจิ้งจือหยุดพูด เขาต้องการเตือนถังเทียนว่าไม่มีเคยมีใครกลับออกไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์จากแดนบาปนี้ได้ แต่หลังจากเห็นท่าทีมุ่งมั่นของถังเทียนแล้ว เขาหยุดทันที
หน้าของสวี่เย่กลายเป็นเคร่งเครียด “นายท่านตั้งใจจะไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เมื่อใด?”
“เมื่อข้ารวบรวมหน่วยสุญญตาเสร็จ!” ถังเทียนพูดยืนยัน
สวี่เย่คำนับอีกครั้ง “ข้าหวังว่านายท่านจะนำผู้น้อยนี้กลับไปพร้อมกับท่านด้วย”
ถังเทียนมองสวี่เย่ “เจ้าต้องการไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือ?”
“ทุกคนในแดนบาปต้องการทั้งนั้น” สวี่เย่กล่าว
ถังเทียนโพล่ง “ข้าคิดว่าชาวแดนบาปสูญเสียความกล้าไปหมดแล้วเสียอีก”
ฝูเจิ้งจือหน้าแดงด้วยความละอาย เขาลืมสถานะเชลย และโพล่งตอบแทบทันที “นั่นเป็นเส้นทางสู่ความตาย! คนที่วิ่งไปทางนั้นไม่เคยรอด!”
ถังเทียนไม่โกรธ เขามองดูฝูเจิ้งจือที่ตื่นเต้นและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไป”