ตอนที่ 772 การเปลี่ยนแปลงของสวี่เย่
สวี่เย่ตกตะลึงหน้าซีดขาว
เขาถูกถังเทียนทิ้งไว้ด้านข้างและมองดูกระบวนการในการสู้รบทั้งหมด ใจของเขาว้าวุ่นไปหมดหลังจากเห็นถังเทียนฟันออกไป แรงฟันของถังเทียนแฝงไปด้วยความหวังทั้งปวง เขาได้รับผลจากภาพข้างหน้าอย่างสิ้นเชิง ในใจของเขาท่านหน้ากากผีเป็นคนที่ทรงพลังแข็งแกร่งไปแล้ว และคนอย่างนั้นควรจะรักชีวิตตัวเองแทนที่จะเดินเข้าสู่เส้นทางอันตราย
แต่ท่านหน้ากากผีกลับตรงกันข้ามตัดสินใจด้วยตนเอง เขาไม่รู้ว่าทำไมเจ้านายเขาถึงปล่อยพลังฟันที่มุ่งมั่นขนาดนั้น เขารู้สึกละอาย ทั้งยังได้รู้แจ้งบางส่วน
ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ในการเผชิญหน้ากับกฎธรรมชาติมากมายไร้ขอบเขต มนุษยชาติเป็นสิ่งเล็กน้อยเช่นกับฝุ่นธุลี ถ้าพวกเขาไม่มีความกล้าหาญมุ่งมั่นเช่นนั้นและยังกลัวในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต่อไป เขาจะสอดส่องเรื่องลึกลับได้ยังไง?
เขาเป็นเหมือนรูปปั้นที่ติดอยู่ในจุดเดียว
แหวนมรณะในมือของเขาเปล่งรัศมีมรณะอย่างเงียบงัน และร่างของสวี่เย่ได้รับความเสียหายในอัตราที่มองเห็นได้ เหมือนกับต้นไม้เหี่ยวเฉา
หน้าของเขาซีดขาว แต่ตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้าประกายตาเจิดจ้ามากขึ้นทุกที
ในมุมอื่นของเมืองพายุในกลุ่มฝูงผู้คน มีบุรุษชราที่ดูธรรมดาคนหนึ่ง หน้าของเขาซีด และมีแววหวาดกลัวอยู่ในดวงตาเขา ทุกคนที่ล้อมรอบตัวเขาไม่มีใครเดาออกเลยว่าเขาคือหลูเซิงเซียงผู้ลือชื่อและคือผู้ปกครองเมืองม้าบินที่แท้จริง
เขามองดูบุรุษหน้ากากผีผู้คล้ายกับเทพสงครามในอากาศ และโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาหายไปจากกลุ่มผู้คน
เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษหน้ากากผี
หลูเทียนเหวินตายเพราะบุรุษหน้ากากผีและทั้งสองฝ่ายไม่มีทางประนีประนอมกันได้อีกต่อไป มีหลายอย่างถ้ากลับกลายเป็นเรื่องผิดพลาด อย่างนั้นก็คงไม่มีทางประนีประนอมกันได้ถ้าเจ้าไม่ตาย ก็เป็นข้าสิ้น
ตระกูลหลูเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างไม่เคยมีมาก่อนและการลังเลหรือชะงักแม้แต่ครู่เดียวอาจทำให้ตกอยู่ในหลุมลึกที่สุดเมื่อใดก็ได้
สายตาของถังเทียนกวาดมองไปทั่วพื้นที่เหมือนกับว่ามีพลังกดดันออกมาจากดวงตาเขาสะกดข่มทุกคน ทำให้พวกเขาสั่นด้วยความกลัว
ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งบินออกจากเมืองอย่างกระตือรือร้นเหมือนกลุ่มควัน
แสงสีฟ้าพุ่งวาบอยู่ในท้องฟ้า
เหมือนกับธนูแสงสีน้ำเงินยิงตรงเข้าไปในร่างนั้น
คนที่กำลังหลบหนีชะงักทันทีปากของเขาอ้าค้าง แต่ก่อนที่เขาจะกรีดร้องออกมาเขาสูญเสียการควบคุมร่างกระเด็นออกไป 200 เมตร จากนั้นทุกคนจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร โอวคุมหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย เขาตายแล้ว
แสงน้ำเงินเป็นเหมือนภาพลวงตาขณะที่มันกลับมาอยู่ที่ข้างตัวถังเทียน แต่มันดูมีเสน่ห์มากกว่าเดิม
หัวใจของทุกคนเย็นเฉียบไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวอีก
แม้แต่คนแข็งแกร่งอย่างโอวคุมกลายเป็นไม่มีอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษหน้ากากผี ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวอีกต่อไป ฝูเจิ้งจือมองดูบุรุษหน้ากากผีที่ยังลอยตัวอยู่ในอากาศอย่างว่างเปล่าหัวใจของเขารู้สึกพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
‘เป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?’
‘เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นได้ยังไง?’
ฝูเจิ้งจือคิดถึงฉากตอนจบต่างๆนานา แต่ไม่มีฉากจบที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเขานี้เลย เขาคิดแผนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีแผนใดเลยที่ใช้ได้อีกต่อไป
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเขาเป็นตัวตลกมากแค่ไหน แผนการที่เขาวางไว้ทั้งหมดล้วนน่าขัน
‘ต่อหน้าบุรุษหน้ากากผี ข้าเป็นแค่มดแมลงตัวหนึ่ง’ ถ้าฝูเจิ้งจือรู้ว่าบุรุษหน้ากากผีทรงพลังมากเพียงไหน เขาคงไม่มีทางคิดเรื่องเหล่านั้นแน่นอน ‘แต่,ทำไมพลังของบุรุษหน้ากากผีถึงได้แตกต่างจากที่รายงาน?’
ฝูเจิ้งจือนึกได้ทันที
‘การกระทำทั้งหมดนี้ ใช่แล้วเป็นอุบายทั้งนั้น นักสู้ผู้ทรงพลังขนาดนี้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดกำลังดึงข้าไปด้วยพร้อมกับแสดงละครตลอดเวลาเขาอาจสร้างแรงส่งขนาดใหญ่เช่นนั้นเพื่อตัวเขาเอง ทำหน้าทำตาให้ดูอ่อนแอ แต่กลับเป็นยอดฝีมือ เนื่องจากคนแบบนั้นเป็นเหยื่อชั้นดีที่สุดในแดนบาป’
‘ถูกแล้วบุรุษหน้ากากผีทำตัวเป็นเหมือนเหยื่อชิ้นดีมาตลอด ดึงดูดนักล่านับไม่ถ้วน แต่ในที่สุดเหยื่อนี้ก็เปิดเผยเขี้ยวเล็บที่แหลมคม’
‘นี่คือกับดักใหญ่สำหรับนักล่า’
‘บุรุษหน้ากากผีหลอกคนทั่วแดนบาปอุบายของเขาประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น เมื่อนักล่าทั้งหมดมารวมกัน ตอนนั้นพวกเขาจึงตระหนักว่า พวกเขาต่างหากที่เป็นเหยื่อ เหมือนกับข้า’
‘เจ้าเล่ห์จริงๆคิดแผนแบบนั้นออกมาได้!’
ความกลัวไม่มีที่สุดผุดขึ้นมาในใจของฝูเจิ้งจือ เขาเพียงแต่รู้สึกว่าเขาโง่มาก และประมาทเกินไปถึงกับท้าทายคนที่น่ากลัวเช่นนั้นได้
พลังที่สิบสุดยอดนักสู้ในทำเนียบแสดงออกก็เพียงพอทำให้ทุกคนสั่นสะท้านได้ นอกจากนี้แผนที่วางมาเป็นอย่างดีนั้นอีกเขาน่าเกรงขามจริงๆ
‘ใครยังจะท้าทายเขาได้เล่า?’
ใจของฝูเจิ้งจือคิดทันที แต่ในเวลาอันรวดเร็ว ความคิดนั้นก็ถูกโยนทิ้งไป‘ไม่ควรเป็นข้า’ ขณะนั้นเขาต้องไตร่ตรองหาวิธีรักษาชีวิตของเขาไว้ โอวคุมถูกฆ่าขณะวิ่งหนีซึ่งพิสูจน์ได้ว่าบุรุษหน้ากากผีทรงพลังแค่ไหนทั้งยังเป็นการบอกฝูเจิ้งจือว่าการหนีไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่
‘ข้าควรจะทำยังไงดี?’
ความคิดนับไม่ถ้วนแว่บผ่านเข้ามาในใจของเขา หลังของฝูเจิ้งจือหลั่งเหงื่อเยียบเย็น เขารู้ว่าชีวิตของเขาและชะตาของตระกูลฝูฝากไว้กับความคิดเช่นนี้
ในวินาทีต่อมาฝูเจิ้งจือตัดสินใจ และในท่ามกลางความเงียบ เขาคุกเข่าลงกับพื้น
“เมืองพายุต้องการยอมแพ้!”
เซียวหานกวงจ้องมองฝูเจิ้งจือที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น‘ตาแก่ไร้ยางอาย’ เขาลอบด่าในใจ ปฏิกิริยาของฝูเจิ้งจือรวดเร็วมาก เนื่องจากเขายังไม่ได้เตรียมตัว แต่เขาต้องนับถือฝูเจิ้งจือที่สามารถก้มหัวและยอมรับเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจข้างเขาและทำการตัดสินใจเร็วเช่นนั้นและยอมเสียหน้าได้ ก็ต้องมีมาตรฐานบางอย่าง
‘เทียบกับตาแก่โง่แล้ว ข้าก็ยังอ่อนประสบการณ์เกินไป’
เซียวหานกวงลอบถอนหายใจในใจ แต่รู้ว่าเขาไม่มีทางออกอื่นเขาได้แต่คุกเข่าเช่นกัน “เซียวหานกวงยินดียอมแพ้!”
เมื่อเห็นว่าบุรุษสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดคุกเข่า คนอื่นทุกคนไม่มีความคิดอื่นพากันคุกเข่าและตะโกนพร้อมกัน “เรายอมแพ้!”
บุรุษหน้ากากผีลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าอย่างภาคภูมิเหมือนกับราชันย์ชนะศึก
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาดีใจมากในชั่วเวลาขณะนั้น สายตาของเขามองห่างออกไปในขอบฟ้าแสนไกล เขาลอบกำหมัด ‘การสู้รบเพิ่งเริ่มเท่านั้น’
ทันใดนั้นเขาอุทาน ‘เอ๊ะ’และหันไปดูนอกเมือง
รัศมีมรณะหนาแน่นอย่างนั้น!
มีรัศมีมรณะที่หนาแน่นมากที่ขยายตัวในระดับที่น่าทึ่ง
‘ที่นั่น...’ ถังเทียนรู้ทันทีว่านั่นคือ สวี่เย่!
เหมือนกับว่าประตูนรกเปิดออกทางตำแหน่งนั้น คลื่นรัศมีมรณะทะลักออกมาเรื่อยๆ รัศมีมรณะหนาแน่นขึ้นทุกทีขณะที่มันทะลักพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ถังเทียนต้องการวิ่งไปดู แต่เขาหยุดทันที ตาของเขาหรี่แคบมองอย่างตกใจ
ปัง,ลำแสงดำทะลักยิงออกไปในท้องฟ้าตรงเข้าไปในเมฆ!
มันปลดปล่อยพลังคลื่นเป็นรัศมีวงกลมแผ่ออกเต็มไปด้วยรัศมีมรณะหนาแน่นกวาดไปทั่วเมืองพายุ เมืองพายุที่เงียบอยู่แล้วพลันเงียบสนิทแม้แต่เข็มตกก็ยังได้ยิน ทุกคนตะลึง ปากพวกเขาอ้ากว้างเหมือนกับว่าพวกเขามองดูวันสิ้นโลก
หน้าพวกเขาไร้สีเลือดความสิ้นหวังเต็มอยู่ในดวงตา เมืองพายุกำลังจะถูกทำลายหรือ?
รัศมีมรณะบริสุทธิ์นำเอาความรู้สึกกลิ่นอายความตายมาให้ นอกจากพวกที่ฝึกกฎมรณะเท่านั้น คนธรรมดาจะหลีกเลี่ยงรัศมีดังกล่าวโดยสัญชาตญาณ
ฝูเจิ้งจือที่คุกเข่าอยู่กำลังตกตะลึง คลื่นรัศมีมรณะทำให้เขาคิดถึงสมบัติวิญญาณ
แหวนมรณะ!
สมบัติสูงสุดของกฎตาย!
หน้าของฝูเจิ้งจือเปลี่ยนไป พร้อมกันนั้นเซียวหานกวงก็คิดถึงแหวนมรณะด้วยเช่นกัน
นั่นคือ...ถังเทียนมองดูลำสองสีดำที่ดุร้ายซึ่งยิงขึ้นไปในท้องฟ้า กฎมรณะกำลังพ่นรังสีหนาแน่นจนเกือบกลบทุกอย่าง เขาก็อยู่ในอาการตกใจ ฉากภาพต่อหน้าเขาเตือนให้เขานึกถึงเหอซิน และฉากภาพที่ประตูนรกถูกเปิด ‘หรือนั่นจะเป็นแหวนมรณะ?’ ถังเทียนกังวลทันที ‘เป็นไปได้หรือว่าแหวนมรณะที่เราให้สวี่เย่กำลังจะกินเขา เพราะเขาไม่สามารถควบคุมมันได้...’
‘แย่แล้ว!’
เขาเริ่มเสียใจเขาไม่เคยคิดว่าแหวนมรณะจะมีพลังมากมาย ในบรรดาของทั้งหมด เขาไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับสมบัติวิญญาณของแดนบาปมากนัก เทียบกับสมบัติดวงดาวและสมบัติวิญญาณแล้ว สมบัติวิญญาณในแดนบาป นอกจากวัสดุที่ใช้ในการสร้างสิ่งของพวกนี้แล้ว ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเกี่ยวกับพวกมันเลย
แต่ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาเป็นครั้งแรกที่ถังเทียนเห็นสมบัติวิญญาณในแดนบาป เขาสงสัยว่าเหอซินสามารถปลดปล่อยวิชาสุดท้ายได้เขาต้องใช้พลังกับแหวนมรณะไปมาก
ถังเทียนมีแรงกระตุ้นเพื่อช่วยสวี่เย่ทันที
แต่ไม่ใช่เพียงแต่เขาอาจไม่สามารถช่วยสวี่เย่เท่านั้น ถ้าเขาต้องเคลื่อนไหว มันอาจทำร้ายเขาแทน สวี่เย่ก่อนนั้นได้รับบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว และความแข็งแรงของเขาถูกกัดกร่อนไปมากนั่นเหมือนกับแนวป้องกันที่ถูกทำให้เสียหายอย่างหนัก จึงไม่มีทางหยุดรังสีมรณะหนาแน่นที่กำลังมาถึง
ร่างของสวี่เย่ถูกรังสีมรณะควบคุมไปแล้ว
ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาคงกลายเป็นศพไปนานแล้วและคงถูกเพลิงดำกลืนกินและหายไป
แต่ถังเทียนรู้ว่าสวี่เย่ยังคงมีโอกาสสู้ โอกาสสู้ที่แทบจะเป็นศูนย์ เพราะสวี่เย่ฝึกมาทางกฎเป็นตาย เขาต้องคว้าโอกาสรอดที่มีค่านี้ไว้ให้ได้
เป็นและตายโดยพื้นฐานก็คือแสงกับเงา สองด้านที่แตกต่างอยู่ในเหรียญเดียวกันมักจะมีสัมพันธ์ต่อกันและกันเสมอ แต่ไม่สามารถอยู่รอดได้โดยปราศจากอีกฝ่าย
แม้ว่าคนที่ฝึกมาในกฎตาย พวกเขาก็ไม่สามารถลบพลังชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาเพียงใช้แต่วิธีการเฉพาะสะกดข่มพลังชีวิตและปล่อยให้รังสีมรณะโดดเด่นมากขึ้น
สวี่เย่ฝึกมาในกฎเป็นตาย และถ้าเขาสามารถหาพลังชีวิตในรัศมีมรณะไร้ที่สิ้นสุดได้ เขาจะมีโอกาสรอดผ่านไปได้ ตามทฤษฎีรัศมีมรณะจะต้องมีพลังชีวิตที่บริสุทธิ์ที่สุด เหมือนกับแสงที่เจิดจรัสที่สุดในเงามืดมิดที่สุด
ตราบใดที่เขาหาพลังชีวิตนี้พบสวี่เย่ที่ฝึกมาในทางกฎเป็นและตายก็จะเปลี่ยนรังสีมรณะหนาแน่นให้เป็นอาหารสำหรับสายใยพลังชีวิตได้และแข็งแกร่งขึ้นได้
เปลี่ยนแปลงระหว่างเป็นและตายเป็นเรื่องลึกซึ้งและเป็นนามธรรมมากมีแต่สวี่เย่จึงจะสามารถช่วยตนเองได้
ถังเทียนทำได้แต่เพียงกระตุ้นและกัดริมฝีปาก
‘สวี่เย่, เจ้าต้องรอด!’
เขาไม่แม้แต่จะมองดูเชลยผู้คุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา ขณะที่สายตาเขายังคงจับจ้องลำแสงสีดำที่น่ากลัว
คลื่นรังสีมรณะคลื่นแล้วคลื่นเล่าก่อตัวเป็นคลื่นสีดำมันเหมือนคลื่นทะเลขณะที่กวาดผ่านไปทั่วเมืองพายุ บุรุษหน้ากากผียังคงมั่นคงดุจภูผาอยู่ในท้องฟ้าไม่เคลื่อนไหวแม้คลื่นสีดำจะโถมเข้าใส่เขา เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่ทำให้ผู้คนข้างล่างนับถือเขามากขึ้น
ตายคือกฎธรรมชาติที่น่ากลัวที่สุด และรัศมีมรณะหนาแน่นขนาดนั้นไม่สามารถป้องกันได้เป็นธรรมดาและชีวิตของทุกคนจะถูกกัดกร่อนอย่างต่อเนื่องเมื่ออยู่ต่อหน้ารังสีมรณะ
มีเพียงเซียวหานกวงที่เงยหน้าขึ้นดวงตาของเขาทอประกายวูบ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีชั้นคลื่นเยือกเย็นอยู่รอบตัวบุรุษหน้ากากผี และเมื่อรังสีมรณะหนาแน่นปะทะกับมันแต่ก็ไม่อาจสร้างความสั่นสะเทือนให้กับชั้นพลังที่สงบนั้นได้
‘เทพอสูรหกมุทราที่บุรุษหน้ากากผีฝึกเป็นเทพอสูรหกมุทราขนานแท้!’
ตาของถังเทียนฉายประกายเจิดจ้าทันที