ตอนที่ 761 นายกองกิ้งก่า
โอชัวร์, นายกองพลตระเวนของเมืองลี่จ้าวได้ยินเสียงอึกทึกของกลุ่มคนข้างหน้าร้าน‘เสริมศักยภาพ’ จึงนำกำลังเข้าไปล้อม
ภายในร้านมีเสียงตะโกนดังเป็นระยะ
เขาแยกกลุ่มคนที่หน้าดำหน้าแดงราวกับกินเหล้ามาและถามสอบหาสาเหตุ “เกิดอะไรขึ้น?”
เขาเป็นนายกองพลลาดตระเวนมีอำนาจและอิทธิพลที่นี่สูงคอยควบคุมดูแลความสงบรักษาความปลอดภัยที่นี่ในทุกปีร้านค้าในถนนสายหลักแม้ว่าจะจ่ายส่วยด้วยเงินจำนวนมาก แต่มีคำที่กล่าวว่าข้าหลวงดียังด้อยกว่าควบคุมด้วยเงิน พวกเจ้าหน้าที่ทางการระดับล่างอย่างเช่นโอชัวร์พบเห็นไม่ค่อยมีการทำผิดกฎหมาย และมักจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวปกติเขาจะได้ของขวัญสินบนซื้อน้ำร้อนน้ำชาอยู่บ้าง
ในช่วงวันหยุดทางการก็อาจได้ของขวัญเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย
“ใต้เท้าขอรับ”บุรุษคนนั้นรีบเข้ามาประจบนายกองโอชัวร์ทันที “คือว่ามีอาคันตุกะที่มาจากแดนไกลไม่เข้าใจกฎระเบียบการค้าที่นี่พวกเขาต้องการซื้อมังกรบินทองสินค้าสมบัติของเมืองเรา”
“คนพวกนี้โง่จริงๆป้ายบอกราคาก็มีให้เห็น ร้านเสริมศักยภาพไม่ยอมขายให้ จะมาทำเสียงดังได้อย่างไร”
“คนไม่คุ้นเคยมักทำผิดพลาดได้ง่ายแต่ข้าคิดว่าร้านเสริมศักยภาพทำไม่ถูก ถ้าเจ้าไม่ขายก็ไม่ต้องขาย แล้วเจ้าบอกให้คนอื่นจ่ายเงินได้อย่างไร”
“ฮ่าฮ่า พวกสุนัขต่างถิ่นนัยน์ตาต่ำไม่มีปัญญาซื้อก็ยังทำเป็นโอ้อวดจะซื้อให้ได้ ใครจะรู้ว่าพวกเขาดื้อด้านขนาดนั้น”
“สมน้ำหน้า...”
นายกองโอชัวร์ยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มคนที่ยืนซุบซิบนินทากัน
เขาได้ยินเพียงไม่กี่คำก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฝ่ายบริการลูกค้าของร้านใหญ่ดูถูกคนต่างถิ่นและล้อเลียนอีกฝ่ายว่ายากจนไม่มีปัญญาทำให้อีกฝ่ายตัดสินใจซื้อ และร้านเสริมศักยภาพไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้
ถ้านี่เป็นร้านค้าเล็กๆ นายกองโอชัวร์คงคร้านที่จะลงมายุ่งปล่อยให้พวกเขาได้รับบทเรียนบ้าง อย่างไรก็ตามร้านเสริมศักยภาพมักจะส่งส่วยเป็นพิเศษทุกปีทั้งยังส่งของขวัญเป็นประจำ เหมือนที่พูดกันว่าทรัพย์มาถึงข้าหลวง ภัยพิบัติหาย หัวหน้าโอชัวร์ไม่สามารถทำเป็นไม่เห็น ร่างของเขาสวมเกราะและมือกระชับดาบ ‘คลื่นโลหิต’ ที่เอว จากนั้นค่อยๆ ย่องเข้าไป ภายใต้กลุ่มคนรายล้อมเขาเดินผ่านเข้าประตูร้านขายอสูรรบ‘ส่งเสริมศักยภาพ’
ข้างในร้านก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน
พนักงานขายหวาดกลัวอยู่บนพื้นจนไม่กล้าทำอะไรอื่น
ส่วนอีกคนหนึ่งสั่นเหมือนไก่โดนพายุฝนไม่มีที่กำบังขณะที่พนักงานขายกลุ่มอื่นมองดูอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามา
หลายคนมองว่ายามของร้านถูกทำร้ายฟันร่วงกับพื้น ถ้าไม่สลบก็ยกมือยอมแพ้ บางคนก็นอนสลบเลือดกลบปากและกระเซ็นอยู่บนพื้น เหรียญทองบนพื้นกระจัดกระจายมาถึงเท้าของโอชัวร์
เนื่องจากผู้บัญชาการทหารประจำเมืองมีพลังระดับเตรียมปราณฟ้า นายกองโอชัวร์เห็นยามประจำร้านอยู่ในสภาพเอน็จอนาถก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
แม้ว่าพลังของยามประจำร้านจะไม่สูงมาก แต่ก็อยู่ในระดับปราณดินระดับห้า
หัวหน้ารักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งของร้านมีพลังปราณดินระดับแปดดูเหมือนจะไม่อยู่ในร้าน อย่างไรก็ตามเขาสามารถล้มยามประจำร้านได้ทั้งหมดโดยไม่สร้างความเสียหายให้ร้าน ความเร็วระดับนี้และการความคุมพลังนี้ต้องเป็นหัวหน้าโอชัวร์จึงจะรับมือได้ เขากวาดตามองไปที่คนต่างถิ่นผู้ไม่เข้าใจกฎท้องถิ่น เขาพบว่ามีคนหลายคนอยู่ฝั่งตรงข้าม มีทั้งบุรุษและสตรี ผู้นำคือคนอ้วนที่เป็นผู้ลงมือ ที่ยืนอยู่ข้างคนอ้วนเป็นคนผอมที่ตาคมเหมือนเหยี่ยว
นอกจากคนทั้งสองนี้ยังมีชาวเผ่าทอเรน(เผ่าหัววัว)สองคนซึ่งมีรัศมีพลังน่ากลัว
ด้านหลังคนเผ่าทอเรนเป็นสาวเผ่าคิวบัวร์สี่คน
ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้คุ้มกันของกลุ่มคนพวกนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังคุ้มกันสาวงามสามคนที่ไม่ธรรมดาดูพวกเขาแล้วไม่ใช่ทหารรับจ้าง แต่อาจเป็นไปได้ว่าคงเป็นผู้เยาว์ในตระกูลที่ออกมาท่องเที่ยวนอกตระกูล
“อะแฮ่มๆ นายกองโอชัวร์ เสียงกระแอมเบาๆ เตือนคนที่มุงดูให้ความสนใจและหลีกทางให้ทหารประจำเมือง ”เกิดอะไรขึ้น?”
“โอวท่านใต้เท้ารีบมาเร็วๆ” หนึ่งในพนักงานขายที่กำลังตัวสั่นมองเห็นคนช่วยชีวิตเขารีบคำนับนายกองโอชัวร์ด้วยความเคารพทันทีและเขาพูดน้ำเสียงประหลาดใจแกมดีใจ “พวกเจ้า พวกเจ้าต้องรับผิดชอบต่อร้านเสริมศักยภาพของเรา เราอยู่ในเมืองลี่จ้าว ร้านส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่วันนี้เราเจออาชญากรรม ... ท่านไม่รู้ แขกเหล่านี้คุกคามร้านเราที่ไม่ยอมส่งมอบมังกรบินทองให้ ท่านก็รู้ว่าสิ้นค้ามีราคาปิดไว้ และราคาที่แท้จริงท่านไม่สามารถซื้อได้สูงถึงห้าเท่า แต่สมบัติประจำร้านเรานี้จะให้ขายได้ยังไง ต่อให้เงินมากเราก็ไม่ขาย”
หัวหน้าโอชัวร์ไม่ใช่คนโง่ เขาเพียงแต่แค่นเสียงขึ้นจมูกและกล่าว
“เราจำเป็นต้องสอบสวนเรื่องนี้ แต่ร้านเจ้าเป็นร้านค้าถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าใครบางคนต้องการคุกคามเจ้าทหารประจำเมืองของเราจะไม่ให้ความสำคัญได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของรองนายกอง”
คนรอบข้างที่ตามมาดูคิดว่าน่ารังเกียจเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องเคารพกฎหมาย
ทุกคนที่อยู่ในเมืองนี้รู้ว่าไม่เพียงแต่ร้าน ‘เสริมศักยภาพ’ เท่านั้นแต่ร้านทั่วเมืองลี่จ้าวไม่ใช่ร้านที่ทำถูกต้องตามกฎหมาย
ประมาณพันปีที่แล้วมีกวีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านมาที่นี่เมื่อเขาจากไป เขาได้พูดถึงที่นี่ ที่นี่คือซากปรักหักพังสกปรกภายใต้ตะวันสาดส่อง ในอากาศเต็มไปด้วยวิญญาณทหารรับจ้าง ถ้าต้องเลือกว่าจะต้องอยู่ที่นี่นานๆ ขอเลือกอยู่ในนรกดีกว่า... พันปีก่อนนั้นยังเต็มไปด้วยการฉ้อโกง หลังจากผ่านไปอีกพันปีนักธุรกิจการค้าในเมืองลี่จ้าว ใครยังกล้าบอกว่ามีคนซื่อสัตย์อยู่อีก?
ไม่เพียงแต่พ่อค้านักธุรกิจเท่านั้น แต่คนซื่อสัตย์มีแต่จะอดตายอยู่ในเมืองลี่จ้าว
พวกที่มุงดูไม่ได้พูดออกมา ได้แต่เย้ยหยันอยู่ในใจ
พวกเขาหวังว่ายิ่งมีเรื่องยุ่ง ก็ยิ่งดี
เมืองลี่จ้าวดูไร้ชีวิตชีวามานานมากแล้ว ถ้าเกิดเรื่องวุ่นก็แค่ปรับตัวใช้ชีวิตตามนั้น
“พวกเจ้าทุบตีคนเหล่านี้หรือ?” โอชัวร์ตั้งข้อสังเกตอีกครั้งและพบว่าคนเหล่านี้ไม่มีนักสู้ปราณฟ้าอยู่ในกลุ่มฝ่ายตรงข้าม แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเป็นนักสู้ปราณดินระดับเจ็ดแต่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่ดี แทบทุกคนมีสมบัติชั้นทองทั้งนั้น เขาพเนจรต่อสู้ดิ้นรนมา 300ปีจนได้เป็นหัวหน้านายกองทหารประจำเมืองจนสามารถซื้อดาบคลื่นโลหิตได้เล่มหนึ่งก็เพราะสินบนในช่วงสองสามทศวรรษนี้ถึงตอนนี้เขาอดอิจฉาความร่ำรวยของคนต่างถิ่นเหล่านี้มิได้
เย่คงพยักหน้า
“พวกเจ้าเดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองลี่จ้าวเรายินดีต้อนรับเป็นธรรมดาและเมืองลี่จ้าวของเราก็ยินดีต้อนรับอาคันตุกะจากทั่วโลก อย่างไรก็ตามเจ้าไม่เคยได้ยินภาษิตนี้บ้างหรือ ‘เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม’เมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องทำตามกฎหมายของเรา” นายกองโอชัวร์ตัดสินใจยืนยันในหลักการไว้ก่อน
“ใต้เท้า!เราก็เป็นอาคันตุกะที่ดีและปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว” เจ้าอ้วนไห่ยิ้มตอบ
“ไล่ทุบตีผู้คนนี่ยังเรียกว่าปฏิบัติตามกฎหมายหรือ?” พวกที่มุงดูอยู่ด้านหลังของเขาถึงกับหัวเราะด้วยความขำขัน
“ถ้ามีคนขโมยของในเมือง ขอถามหน่อยข้าจะยืนหยัดป้องกันตัวได้ไหม?” เย่คงถาม
“ย่อมได้แน่นอน” นายกองโอชัวร์ไม่ให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามถามแต่รีบรุกถามก่อนทันที “แต่ท่านอาคันตุกะแดนไกล, ข้าอยากจะอธิบายถึงตัวอย่างการกระทำที่ไม่เหมาะสมที่เจ้ากระทำไปแล้ว ในเมืองลี่จ้าวของเรารักษากฎหมายและความสงบอย่างเคร่งครัดจึงทำให้ไม่มีโจรขโมยแต่อย่างใด บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ว่าเมืองลี่จ้าวของเราเป็นเมืองแห่งแสงตะวัน มีสวนและเนินเขา ที่นี่ปลอดภัย สะอาด ประณีตอุดมสมบูรณ์มีความสุข ภัยพิบัติความยากจน สิ่งที่น่าเกลียดซากหักพังเป็นสิ่งที่ไม่ควรมี..”
“เหรอ?” เย่คงยักไหล่ทำสีหน้าสงสัย
“ข้าคิดว่าเรื่องการซื้อมังกรบินทองของเจ้าควรทำให้กระจ่างเล็กน้อย” หัวหน้าโอชัวร์ย่อมจะต้องปกป้องร้านขายอสูร ‘เสริมศักยภาพ’ เป็นธรรมดานี่เป็นร้านที่ดำเนินกิจการโดยคนที่รู้จักกับเจ้าเมือง เขาเป็นพี่ชายของภรรยาน้อยคนที่ห้าของเจ้าเมือง ถ้าเขาช่วยคนต่างถิ่นและความรู้ไปถึงญาติเจ้าเมืองก็คงยากจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกองประจำเมืองได้อีกต่อไป
ตามปกติเขาจะไม่ล่วงเกินคนต่างแดน
โดยเฉพาะคนต่างแดนที่ร่ำรวย
สำหรับเงินสด(ทอง) ที่ผุดออกมาของชาวต่างถิ่นนายกองโอชัวร์ตัดสินใจใช้วิธีเกลี้ยกล่อม ชุดของเขาเปล่งปลั่งเจิดจ้าเกราะสวยสดใสมีรอยขีดข่วน นายกองโอชัวร์เผยให้เห็นแขนที่แข็งแรงดาบโค้งคลื่นโลหิตที่สะพายอยู่ที่สะเอวเหมือนจะโอ้อวดว่าเขาก็มีความมั่งคั่งไม่ด้อยไปกว่าฝ่ายตรงข้าม จากนั้นพยายามควบคุมสถานการณ์อย่างอดทน “ความจริงสินค้าที่เป็นระดับสมบัติร้านค้าประจำเมืองไม่ขายคนต่างประเทศเจ้าเมืองมีคำสั่งว่าจะต้องติดราคาแสดงสินค้าเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นการหลอกลวงลูกค้า เจ้าเมืองของเรามีความยุติธรรมในการค้าอยู่แล้ว ปกติมังกรบินทองก็จะต้องมีป้ายแสดงราคาด้วยเช่นกัน แต่เพราะนี่ไม่ใช่ราคาขายชาวต่างถิ่น ราคาที่เรียกนี้เป็นไปตามข้อกำหนดของสมาคมการค้า”
“ท่านอาคันตุกะทั้งหลาย ก่อนอื่นข้าขอเป็นตัวแทนชาวลี่จ้าวตอนนี้ข้าคิดว่าความเข้าใจผิดของพวกท่านคงจะคลี่คลายได้แล้ว ไม่ใช่ว่าร้านเสริมศักยภาพไม่ต้องการขาย บางทีพวกท่านลองมองหาอสูรอื่นอีกครั้งดู ข้าผู้เป็นนายกองทหารประจำเมืองขอให้คำมั่นได้เลยว่าร้านเสริมศักยภาพจะให้ส่วนลดกับพวกท่านร้อยละห้าแน่นอน ขาดผลกำไรไปขนาดนี้แล้วทำให้พวกท่านพอใจเราก็ยินดี”
นายกองโอชัวร์มองดูเจ้าอ้วนไห่และเย่คงด้วยสีหน้าจริงใจ
เขากวาดสายตามองดูเห็นว่าหลิวเย่และเป่าเอ๋อเหมือนกับคุณหนูในห้องหอที่ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีจึงไม่ต้องการสร้างความลำบาก ดังนั้นเขาตัดสินใจยอมถอยก้าวหนึ่ง
เย่คงและเจ้าอ้วนไห่มองหน้ากันเองและตกลงยืนยัน
ทันใดนั้นมีทหารคนหนึ่งแหวกฝูงชนเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูนายกองโอชัวร์รายงานอย่างรวดเร็ว
ถ้ามีคนที่ฝึกฝนประสาทหูเป็นอย่างดีก็จะได้ยินคำว่าญาติเจ้าเมืองกำลังจะมา
คำพูดนี้ทำให้หัวหน้าโอชัวร์สีหน้าเปลี่ยน
หน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
เขาสะบัดแขนเสื้อกระชับเกราะในตัวให้แน่นขึ้นจากนั้นชักดาบคลื่นโลหิตรวดเร็วราวสายฟ้าชี้มาทางเย่คงและเจ้าอ้วนไห่ “เจ้าคู่หูจอมหลอกลวง ข้าเกือบจะหลงกลพวกเจ้าแล้วกลับกลายเป็นว่าพวกเจ้าเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพที่จงใจมาก่อกวนที่เมืองลี่จ้าวของเรา...บอกกับเจ้าก็ได้ สถานที่นี้ไม่ใช่ที่ให้เจ้ามาแสดงความป่าเถื่อน ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนแจ้งความในครั้งนี้ข้าเกือบถูกพวกเจ้าหลอกต้มเสียแล้ว ร้านเสริมศักยภาพยังอยู่ในความดูแลของข้า บอกเจ้าให้ก็ได้ เว้นแต่ว่าข้าตาย พวกเจ้าไม่มีทางลงมือประสบผล”
ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าม้า
กลุ่มอัศวินขี่ม้าสวมชุดเกราะมันเงารายล้อมบุรุษวัยกลางคนชุดไหมเหาะอยู่เหนือถนน
พวกเขาไม่หยุด แม้ว่านายกองโอชัวร์จะรีบเข้ามาแสดงความเคารพและทักทาย แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยังทำเป็นไม่เห็น
คนที่มุงดูโดยรอบพากันพูดคุยในกลุ่มพวกเขา
“ดูสิ นั่นคือญาติของเจ้าเมือง แม่ทัพเวิงดูเหมือนว่าเขาจะออกนอกเมืองไปล่าสัตว์
“ภูตผีตัวประหลาดจะมีมาให้เห็นได้ทุกเดือนจริงๆ...”
“ไม่มีใครรายงานเรื่องในร้านเสริมศักยภาพให้ท่านเวิงหรือ?”
“คนดูแลมังกรบินทองอยู่ไหน?นี่เป็นเพียงหนึ่งในร้านที่เล็กที่สุดใน 15 ร้านของนายพลเวิงสาขาใหญ่และทุกร้านอื่นเป็นร้านในเครือของเขา
“ถูกแล้ว สำหรับนายพลเวิงมังกรบินทองจะนับกระไรได้ เมื่อเร็วๆนี้มังกรบินทองนี้ก็ชนะมาเช่นกันไม่มีอสูรตัวใดที่ชั้นเหนือกว่ายินดีสู้ด้วยอีกต่อไป นายพลเวิงต้องการจะขายออกไป หรือแลกกับราชสีห์เพลิงระดับปราณฟ้าก็ได้ข่าวนี้ข้าได้ยินมาจากหลานของข้า ราชสีห์เพลิงระดับปราณฟ้าถูกส่งมาที่เมืองเล่าหม่า แต่ไม่ได้ถูกส่งมา เจ้ารู้ไหมว่าหลานข้าเป็นใคร? เขาเป็นลูกเขยของพ่อบ้านนายพลเวิง ตอนนี้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของทหารของนายพลเวิง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนหลังม้า”
“ใต้เท้าเวิงต้องการขายมังกรบินทองตัวนี้หรือ?เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า?” นายกองโอชัวร์กระซิบถาม
“แน่นอนว่ามังกรบินทองชนะการแข่งขันมามากมาย ถึงแม้ในการแข่งที่ไม่น่าชนะแต่ภายใต้สายตาของท่านเจ้าเมืองน้อยที่ควบคุมการฝึกก็เอาชนะได้ คุณชายลูกเจ้าเมืองโกรธมาก ก่อนนั้นนายพลเวิงจ้องการจะฆ่ามังกรบินทองเพื่อเป็นการขอโทษคุณชาย แต่คุณชายปฏิเสธ ครั้งนี้คาดกันว่าคงต้องการผลึกปีศาจดีๆเพื่อเอาไปใช้ขอขมาคุณชาย... มังกรบินทองที่น่ารำคาญนี้ควรจะขายออกไป มิฉะนั้นข้าจะไปขอซื้อราชสีห์เพลิงที่เมืองเล่าหม่าได้ยังไง?”
นายกองโอชัวร์จัดเกราะที่มีรอยขีดข่วนและรอยปะสั่นสะท้าน
เขามีสีหน้าซับซ้อน
เขาแค่นเสียงใส่เย่คงและเจ้าอ้วนไห่ “พวกเจ้าต้องการซื้อมังกรบินทองไม่ใช่หรือ? ข้านายกองตัดสินใจแล้วว่าจะขายให้กับเจ้า เจ้าพวกนักต้มตุ๋น เอาเงินออกมา ข้าคิดราคา 5 ล้าน ถ้าพวกเจ้าจ่ายมา 4.5 ล้าน ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นดีจากการหลอกลวงแน่”
ปัง
มีเสียงดังสะท้านแก้วหูอยู่นอกถนน
มีร่างหนึ่งร่วงฟาดลงกับถนน และจมเข้าไปในพื้นเห็นเป็นรูปมนุษย์
คนผู้นั้นตะเกียกตะกายลุกขึ้น ในอากาศใกล้ๆ เขามีบุรุษสวมหน้ากากแพลตตินัมโผล่ออกมาบุรุษผู้นั้นเตะใส่เขาจนทำอะไรไม่ได้ และเหยียบหน้าเขา
ตอนนี้ทุกคนเริ่มเห็นได้ชัด คนที่บุรุษหน้ากากยืนเหยียบอยู่บนศีรษะนั้นก็คือนายพลญาติของเจ้าเมืองที่ยังมีกลุ่มทหารรายล้อมอยู่
นายพลเวิงที่ถูกเหยียบศีรษะปกติจะอารมณ์เสียอยู่เสมอแต่ตอนนี้เขาไม่โกรธ
แต่กลับอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร“ยกโทษให้ข้าด้วยเถิด นักสู้ปราณฟ้าผู้ทรงพลังอย่างท่านไม่สมควรฆ่ามดแมลงอย่างข้านี้ เพราะนั่นจะทำให้มือของท่านแปดเปื้อนชื่อเสียงด่างพร้อย ข้ายินดีจะขอขมาที่ล่วงเกินท่าน โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด ยกโทษให้ข้าด้วยเถิดท่านนักรบปราณฟ้าผู้ทรงพลัง อภัยให้ผู้น้อยด้วยเถิด”
นายพลเวิงที่อยู่ในชุดไหมที่ฝ่ายตรงข้ามยืนอยู่บนศีรษะกลับดิ้นรนแสดงความนอบน้อม
นอกจากนี้เขาตบหน้าตนเองจนบวมเหมือนกับหัวหมู
จนกระทั่งบุรุษชนชั้นสูงที่สวมหน้ากากเตะนายพลเวิงกระเด็นออกไป10 เมตร เขาตวาดไล่ “ไสหัวไป”
นายพลเวิงรีบถอยออกไปด้วยอาการนอบน้อมและหายลับไปในกลุ่มผู้คนพร้อมกับพวกทหารที่เผ่นหนีด้วยความหวาดกลัวคนที่อยู่รายรอบตกใจหวาดกลัวจนแทบไม่กล้าหายใจแรง นี่เขาเป็นใครกันแน่ ขนาดญาติเจ้าเมืองยังถูกตบหน้าขู่ขวัญหนีไปด้วยความหวาดกลัว หรือว่าจะเป็นทูตพิเศษจากตำหนักกลางแดนสวรรค์?
บุรุษหน้ากากลอยตัวห่างออกไป
เวลาผ่านไปนาน ผู้คนจึงค่อยรู้สึกตัว
หน้าของนายกองโอชัวร์เปลี่ยนจากเขียวเป็นสีม่วงเขาพบว่าตัวเขากลัวจนหลั่งเหงื่อเยียบเย็น
เขารู้สึกอึดอัดละอายใจมาก นายพลเวิงก็ยังต้องประจบประแจงผู้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าเขา ทั้งยังต้องร้องขอชีวิตอย่างน่าสงสาร ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จัดการทำธุระกับคนต่างถิ่นเขารู้สึกอารมณ์ไม่ดีจึงรีบจัดเกราะที่มีตำหนิของเขาอีกครั้งและข่มอารมณ์ให้เป็นปกติ จากนั้นใช้ดาบคลื่นโลหิตชี้มาที่เย่คงและเจ้าอ้วนไห่ “เอาพวกมันไปเดี๋ยวนี้ เรานายกองทหารเมืองลี่จ้าวขอบอกว่าเมืองนี้ไม่ใช่สถานที่ๆ พวกหลอกลวงต้มตุ๋นอย่างพวกเจ้าจะอยู่ได้! พวกหลอกลวงต้มตุ๋นพวกนี้ต้องเอาไปขังไว้นอกเมือง ของที่กองอยู่บนพื้นจะต้องถูกยึดทั้งหมด!”
“ไล่พวกเขาออกไปจากเมืองไม่มีปัญหา แต่คิดจะริบเงินของข้าด้วยดูเหมือนจะไม่เหมาะสมหรือเปล่า?” มีเสียงดังขึ้นในหูของหัวหน้าโอชัวร์
“ใครกล้าตั้งข้อสงสัยต่อเรานายกอง?” นายกองโอชัวร์ที่ถูกคัดค้านให้เสียหน้า เขาไม่คิดว่านักสู้ปราณฟ้าที่ทุบตีนายพลเวิงจะกลับมาถามด้วยตนเองเขาหันหน้าไปมองตั้งใจว่าจะลงมือสั่งสอนย่ำยีศักดิ์ศรีอีกฝ่ายให้จมดิน แต่เมื่อเขาหันไปมองเท่านั้นหน้าของเขาไร้สีเลือดหวาดกลัวแทบตาย
บุรุษหน้ากากที่เหยียบหน้านายพลเวิงเมื่อครู่นี้ยืนอยู่ด้านหลังเขา
หน้าของนายกองโอชัวร์เหลืองซีดราวกับคนกำลังจะตาย เขาพยายามสงบใจและต้องการจะขอโทษอีกฝ่ายเหมือนกับนายพลเวิง แต่ร่างของเขาแข็งเหมือนกับไม่สามารถอ่อนลงได้ เขาพูดอย่างงงงวย “เงินบนพื้นเป็นของท่านหรือ?”
เจ้าอ้วนไห่เดินเข้ามาและพยักหน้ายิ้มให้ “เจ้าต้องการให้ข้าแนะนำตัวเขาไหม? เขาเป็นหัวหน้าของคนที่เจ้าด่าว่าขี้โกงหลอกลวงไงเล่า”
คนที่ชมดูหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
คนที่เหลือตื่นตัวมองดูสีหน้าของหัวหน้าโอชัวร์ที่กลายเป็นเหมือนกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีได้ ทุกคนต้องการเผ่ากิ้งก่านี้เสียหน้า เพราะเขายั่วโมโหยอดฝีมือชั้นสูง...