บทที่ 49 - จำไว้ ข้าสกุลหยาง!
3/6
บทที่ 49 - จำไว้ ข้าสกุลหยาง!
“หลิวฉี ฉินหู ลืมข้าแล้วหรือ?”
หยางซือเล่ยยิ้มบาง จากความทรงจำ เมื่อครั้งคนเฝ้าประตูสองคนนี้ยังเด็กมักออกไปเที่ยวเล่นกับเจ้าของร่างเดิมเสมอ ต่างฝ่ายต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“พี่เล่ย?”
ได้ยินเสียงอีกฝ่าย ดวงตาของทั้งคู่ตึงขึ้นเล็กน้อย เริ่มสำรวจมองหยางซือเล่ยอย่างจริงจัง
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนน่าหดหู่ใจ เป็นนายน้อยเสเพล แต่ตอนนี้ราวกับคนละคน แม้ว่ารูปลักษณ์จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่นิสัยใจคอกลับตาลปัตร
“พี่เล่ยเป็นท่านจริงๆ!”
ฉินหูและหลิวฉีทักทายพวกเขาอย่างมีความสุข เมื่อสังเกตเห็นหยางเฉินเฉินอยู่ข้างๆ ฉินหูถึงกับยกตัวเธอขึ้นมากอดอย่างรักใคร่ หัวเราะฮ่าฮ่า “เฉินเฉินน้อย ไม่ได้เจอกันสองปี เจ้าโตขึ้นมาก”
หยางเฉินเฉินดูเหมือนจะไม่ชอบให้ใครมาจับตัวนอกจากพ่อของเธอ เด็กสาวดิ้นสุดแรงเพื่อหนีจากเขา
ฉินหูตกใจ คาดไม่ถึงว่าพละกำลังของตัวเอง จะไม่สามารถหยุดหยางเฉินเฉินได้
เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หยางซือเล่ยลอบหัวเราะในใจ ช่วงหลายวันมานี้ เขามักป้อนบุตรสาวด้วยอาหารจากเสบียงกรังของระบบ ประสิทธิภาพของมัน เทียบได้กับยาอายุวัฒนะที่ดีที่สุด
ร่างของหยางเฉินเฉินย่อมแข็งแกร่งขึ้นมากโดยธรรมชาติ แม้เพิ่งสามารถปลุกจิตวรยุทธ และมีฐานบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นสองของขอบเขตรวบรวมลมปราณ
แต่ในด้านพละกำลัง สามารถเทียบเคียงได้กับนักบู๊ขั้นห้าของขอบเขตรวบรวมลมปราณ!
“พี่เล่ยทำไมจู่ๆ ถึงกลับมาที่เมืองหลงเฟย?”
หลิวฉีอดถามไม่ได้
หยางซือเล่ยยิ้มบางและพูดว่า “อีกสองวันจะถึงงานแข่งขันล่าสัตว์ แน่นอนข้าต้องกลับมาเข้าร่วม”
“อะไรนะ? ท่านอยากเข้าร่วมงานแข่งล่าสัตว์งั้นหรือ!?”
ได้ยินแบบนี้ หลิวฉี ฉินหูตะลึง สายตาของคนทั้งสองเหม่อมองไปยังหยางซือเล่ยอย่างแปลกประหลาด
พวกเขาคือเด็กกำพร้าที่ตระกูลหยางรับเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ได้รับทุนจากตระกูลเพื่อฝึกฝนให้เป็นองครักษ์ผู้ภักดี แต่เนื่องจากความซน ทำให้สนิทกับหยางซือเล่ย ออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ
กระนั้น โชคร้ายที่หยางซือเล่ยไม่สามารถปลุกจิตวรยุทธ สุดท้ายกลายเป็นสร้างชื่อเสียฉาวโฉ่ โดนขับไล่ออกจากตระกูลหลัก ถูดลดตำแหน่งกลายเป็นตระกูลสาขาในเมืองชิงหยาง ไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับทรัพยากรของตระกูลหยางได้อีกต่อไป
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าพวกเขาเข้าใจถึงตัวตนของหยางซือเล่ยดีที่สุด การที่อีกฝ่ายยืนยันว่าจะเข้าร่วมงานล่าสัตว์ นั่นไม่เท่ากับมาให้สมาชิกในตระกูลคนอื่นๆหัวเราะเยาะหรอกหรือ?
“พี่เล่ย ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดี จะสะดวกกว่าถ้าท่านเป็นผู้รับชม”
หลิวฉีพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้ม เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นหยางซือเล่ยถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ
“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีของข้าเอง”
หยางซือเล่ยยิ้มบาง กล่าวว่า “ข้าจะไปลงทะเบียนก่อน แล้วพวกเราค่อยกลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากพวกเจ้าทำงานเสร็จ”
ว่าจบ หยางซือเล่ยกำลังจะก้าวเข้าประตู แต่ในขณะนั้น ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมเดินสวนออกมา
ดวงตาของหยางซือเล่ยเงยขึ้นเล็กน้อย เขามองไปยังชายอ้วนวัยกลางคน
นี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา อีกฝ่ายมีชื่อว่า ‘หลี่ค่าย’ เป็นญาติของผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลหยาง
อาศัยความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสใหญ่ ทำให้เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้างานด้านการขนส่งของตระกูลหยาง ได้รับเงินเป็นจำนวนมาก มีนิสัยรังแกผู้อ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง
หยางซือเล่ยรู้จากความทรงจำ ในตอนที่เจ้าของร่างถูกขับไล่ ทรัพยากรครึ่งหนึ่งที่ได้รับ ถูกเจ้าหมูอ้วนตัวนี้ฮุบไป
“ขยะเล่ย คนเช่นเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หลี่ค่ายเดินออกมาที่ประตู เมื่อสังเกตเห็นหยางซือเล่ยตอนแรกก็อึ้ง แต่พอระบุสถานะได้ ก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ได้ยินเจ้านายถูกเรียกขยะเล่ย เฉินซีขมวดคิ้วใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ข้ามาที่นี่เพื่อสมัครเข้าร่วมงานแข่งขันล่าสัตว์” หยางซือเล่ยพูดอย่างใจเย็น
“อะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เจ้าต้องการเข้าร่วมงานแข่งล่าสัตว์? ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ได้ยินแบบนั้น หลี่ค่ายก็หัวเราะจนไขมันบนใบหน้าสั่นเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงความดูหมิ่น
เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลง ก็เริ่มประชดประชัน “แต่ข้าจำได้ว่าในรายชื่อสำหรับการคัดเลือกงานแข่งล่าสัตว์เจ้าไม่ได้ถูกเชิญ ดังนั้นเจ้าไม่มีคุณสมบัติก้าวเท้าเข้าสู่ตระกูลหยาง!”
“ขยะที่กระทั่งจิตวรยุทธยังปลุกไม่ได้คิดเข้าร่วมงานล่า ช่างน่าขัน”
หลี่ค่ายผู้นี้เดิมก้มหัวให้บุตรตระกูลหยางทุกคน แต่สำหรับหยางซือเล่ยที่ถูกขับไล่ เขาจึงรู้สึกเหนือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ตามกฎตระกูล ต่อให้สมาชิกสาขาไม่ได้รับเชิญ แต่ก็ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการคัดเลือกได้”
มุมปากของหยางซือเล่ยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มจาง ในตอนที่เจอกับกลุ่มโจรภูเขาและลั่วเทียนหยุน ตอนนี้หยางซือเล่ยสำรวมกว่าเดิมมาก
อย่างไรก็ตาม การสำรวมเช่นนี้ มันยิ่งทำให้ในใจหลี่ค่ายยิ่งเกิดความรู้สึกเหนือกว่า
หลี่ค่ายเหล่มองหยางซือเล่ย เอ่ยด้วยใบหน้าตำหนิเหยียดหยาม “ตระกูลสาขาขยะ อย่าริอาจมาพูดถึงกฏตระกูลที่นี่! รีบพาลูกน้อยสกปรกของเจ้ากลับไปมุดหัวที่ชิงหยาง ...”
เพี๊ยะ——!
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันจบประโยค เสียงที่ชัดเจนและคมชัดดังขึ้นอย่างกะทันหัน
และทันทีหลังจากนั้น
อีกสองเพี๊ยะ เพี๊ยะ! ก็ดังตามมา
บังเกิดความเงียบงันไปทั่วบริเวณ
เงียบงันจนได้ยินกระทั่งเสียงหายใจ!
หลี่ค่ายที่ถูกตบหลายครั้งรู้สึกแค่ว่าในหัวเขาเกิดเสียงหึ่ง หึ่ง ทั่วทั้งแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงและบวม
“เจ้าก็แค่คนรับใช้เล็กๆ ของตระกูลหยาง อย่าริอาจทำตัวสูงส่ง”
สายตาของหยางซือเล่ยเย็นชา จ้องมองหลี่ค่าย เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “จำไว้ ข้า-สกุล-หยาง!”
สิ้นถ้อยคำนี้ หยางซือเล่ยพาบุตรสาวของเขาก้าวข้ามธรณีประตูทางเข้าคฤหาสน์ ปล่อยให้หลี่ค่ายที่ตะลึงจนพูดไม่ออกไว้แบบนั้น
‘ข้าสกุลหยาง’ สามคำนี้ในเมืองหลงเฟย มีน้ำหนักดุจขุนเขา