บทที่ 48 - เยือนคฤหาสน์ตระกูลหยาง
2/6
บทที่ 48 - เยือนคฤหาสน์ตระกูลหยาง
เกิดเหตุเลือดสาดกะทันหัน ฝูงชนรอบๆตื่นตกใจ
ดวงตาที่หวาดกลัวนับไม่ถ้วนมุ่งตรงไปยังหยางซือเล่ย
เห็นแค่เพียงเขาถืออาวุธโลหะสีดำไว้ในมือ ชัดเจนว่าเสียงระเบิดเมื่อครู่เกิดจากเจ้าสิ่งนี้
คาดไม่ถึงเลยว่าแค่ของชิ้นเล็กๆชิ้นเดียว จะมีอานุภาพน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ กระทั่งม่านพลังวิญญาณคุ้มภัยของนักบู๊ระดับสูงก็ยังไม่อาจต้านทานได้!
“วิชาตัวเบาที่เขาเพิ่งใช้ดูเหมือนว่าจะเป็น ..... ท่าร่างเงามังกร?” ดวงตาของเหลิงลู่หยานหรี่ลงเล็กน้อย ในใจเกิดความฉงน
เธอเคยเห็นท่านจ้าวทำเนียบใช้วิชาตัวเบานี้มาก่อน มันคือศาสตร์วรยุทธในขั้น 7 เคล็ดโชคเก้ามังกร
กระนั้น ท่านจ้าวทำเนียบก็ยังไม่สามารถสำแดงท่าร่างเงามังกรได้สมบูรณ์แบบเท่าหยางซือเล่ย
ระหว่างที่กำลังเกิดคำถามในใจ เห็นแค่เพียงหยางซือเล่ยเดินเข้ามา
“ขอบเจ้าสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า แต่ขอโทษด้วย บุตรสาวของข้ายังไม่คิดเป็นศิษย์ของทำเนียบยุทธชางเฉียง”
ได้ยินหยางซือเล่ยพูดแบบนี้ คนรอบข้างต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“เจ้าหนูนี่สมองเพี้ยนไปแล้วหรือไร?”
คนที่มีสายตาเฉียบแหลมสามารถเห็นได้ว่าเหลิงลู่หยานเพียงมองหาเหตุผลที่จะปกป้องหยางเฉินเฉิน และถือโอกาสนี้รับเด็กสาวเข้าสู่ทำเนียบยุทธ
ด้วยภูมิหลังและรากฐานของทำเนียบยุทธชางเฉียง การได้เป็นศิษย์สายตรงนับเป็นเกียรติอันยิ่งยวดอย่างไม่ต้องสงสัย อนาคตไร้สิ้นสุด!
แต่ไม่นึกเลย ว่าหยางซือเล่ยจะไม่สนใจความรุ่งโรจน์นั้น เอ่ยคำพูดเป็นนัยยะปฏิเสธออกมาตรงๆ
“บุตรสาวเจ้ามีพรสวรรค์เป็นเลิศ มีเพียงการเข้าสู่ทำเนียบยุทธชางเฉียงเท่านั้น นางถึงจะได้รับการฝึกฝนที่ดีที่สุด”
เหลิงลู่หยานมีบุคลิกเย็นชาก็จริง แต่เธอไม่ชอบบังคับใคร
“เอาเถิด หากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ขอให้มาหาข้าที่ทำเนียบยุทธชางเฉียง”
ว่าจบ เหลิงลู่หยานยื่นมือหยกของเธอออกมา สัมผัสศีรษะของหยางเฉินเฉินเบาๆ ดวงตาที่สวยงามเย็นชาปรากฏร่องรอยของความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่ง
เมื่อยกมือออก ร่างของเธอก็ลอยขึ้น
หยางซือเล่ยจ้องเขม็ง และพบว่าใต้เท้าของเหลิงลู่หยาน ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด มันได้ปรากฏดอกบัวหิมะขนาดใหญ่ ทุกย่างก้าวก่อเกล็ดน้ำแข็งกระเซ็น สะท้อนแสงแวววาว
“นี่คือ ...... จิตวรยุทธขั้นเก้าประเภทพืช --บัวหิมะผลึกน้ำแข็ง!”
เห็นจิตวรยุทธของเหลิงลู่หยานที่อยู่ในขั้นสูงสุดของประเภทพืช ฝูงชนต่างทอดถอนหายใจด้วยความอิจฉา
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ มิน่าเล่าเหลิงลู่หยานถึงได้เป็นผู้อาวุโสของทำเนียบยุทธตั้งแต่อายุยังน้อย ที่แท้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของจิตวรยุทธของนางนี่เอง
แต่พอพวกเขาลองคิดดูดีๆ ด้วยพรสวรรค์ของหยางเฉินเฉินที่มีจิตวรยุทธขั้น 9 เช่นกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าหากเข้าร่วมทำเนียบยุทธชางเฉียง ไม่ใช่ว่าในอนาคตนางก็จะได้กลายเป็นบุคคลระดับอาวุโสเช่นกันหรอกหรือ?
คิดได้แบบนี้ ฝูงชนทั้งชื่นชมทั้งริษยา
ดูท่าว่าตระกูลหยางจะติดปีกโบยบินเหนือกว่าตระกูลอื่นๆในเมืองซะแล้ว!
ท่ามกลางเสียงสนทนารอบด้าน หยางซือเล่ยไม่แสดงปฏิกิริยาว่าสนอกสนใจแต่อย่างใด
ไปทำเนียบยุทธชางเฉียง?
เจ้ากำลังล้อเล่น?
นั่นไม่เท่ากับเป็นการพาตัวเองไปสู่ตาข่ายที่ดิ้นไม่หลุดหรอกหรือ!
ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด เฉินซีรู้ว่าหยางซือเล่ยกำลังคิดอะไรอยู่ รีบจัดรถม้ากลับเข้าที่ให้เรียบร้อย แล้วขับออกจากที่นี่ไป
...
ณ คฤหาสน์ตระกูลหยาง ที่นี่ตั้งอยู่ในย่านที่คึกคักทางตอนใต้ของเมือง ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางมาก หากมองจากมุมสูง พื้นที่ของตระกูลหยางจะเหมือนกับพยัคฆ์หมอบที่กำลังเฝ้ามองทั่วทั้งเมืองหลงเฟย
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าของหยางซือเล่ยก็มาถึงสถานที่แห่งนี้
ในฐานะตระกูลใหญ่ที่มีรากฐานใหญ่ยิ่ง การสืบทอดแต่ละรุ่นจึงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและขจัดสิ่งที่แย่ที่สุดเพื่อรักษาตระกูลให้ยั่งยืนยาว
กระทั่งยามเฝ้าประตู พวกเขายังอยู่ในมาตรฐานที่ยอดเยี่ยม ฐานบำเพ็ญเพียรต้องไปถึงขั้นสามของขอบเขตรวบรวมลมปราณเป็นอย่างน้อย
นักบู๊เช่นนี้หากอยู่ในกองทัพ อย่างน้อยสามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้านายร้อย
ณ ขณะนี้ หน้าคฤหาสน์ตระกูลหยาง ยามสองคนที่สูงใหญ่และกำยำ ยืนตระหง่านประกบซ้ายขวาข้างประตู เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศดุดัน
“หยุด!”
“เจ้าคนแปลกหน้า ห้ามเข้าใกล้คฤหาสน์หยาง!”
เห็นหยางซือเล่ยและเฉินซีเดินเข้ามาใกล้ ยามสองคนตะโกนแทบจะพร้อมกัน เสียงของพวกเขาดังก้องและแข็งกร้าว