ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 169 นักพรตผีดิบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 171 มิตรภาพ (อ่านฟรี)

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 170 ถ้ำผีดิบ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 170 ถ้ำผีดิบ

แปลโดย iPAT  

แม้การโจมตีของผีดิบจะรุนแรง แต่พวกมันขาดสติปัญญา ดังนั้นศิษย์นิกายม่อจื้อทั้งสี่จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด จางหลานฉิงและเหออี้ซื่อใช้หุ่นเชิดห้าตัวสกัดผีดิบไว้ชั่วขณะก่อนที่พวกเขาจะหลบไปด้านหนึ่ง นั่นทำให้พวกเขามีเวลาบรรจุลูกดอกลงในหน้าไม้และใช้งานมันอีกครั้ง

พายุอีกาเพลิงจำนวนมากพุ่งออกไป ผิวหนังของผีดิบไม่ใช่สิ่งที่อาวุธธรรมดาจะสามารถเจาะผ่าน แต่พวกมันไม่สามารถหยุดอีกาเพลิงที่ระเบิดใส่ร่างกายของพวกมันและฉีกพวกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตอนนี้พวกมันดูไม่ดุร้ายหรือน่ากลัวอีกต่อไป

ผีดิบที่เหลืออีกเจ็ดหรือแปดตัวไม่สามารถคุกคามพวกเขาได้อีก หุ่นเชิดรูปร่างคล้ายมนุษย์พุ่งเข้าไปโจมตีพวกมันอย่างแม่นยำและหนักหน่วง

ดาบในมือของหุ่นเชิดแทงทะลุศีรษะของผีดิบในครั้งเดียวและสังหารพวกมันทั้งหมด

คนทั้งสี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ในสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ ศิษย์นิกายม่อจื้อมักประลองกันโดยใช้หุ่นเชิด แต่แน่นอนว่าการประลองของพวกเขาไม่มีอันตราย

หากพวกเขาอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งขณะที่ฝูงผีดิบยืนเรียงแถวกันเข้ามา พวกเขาจะสามารถใช้หน้าไม้พันศรโจมตีและสังหารพวกมันได้ทันที ท้ายที่สุดกระทั่งจอมยุทธ์ขั้นหกก็ยังไม่สามารถจัดการหน้าไม้ชนิดนี้ได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตามเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นในระยะประชิด พวกมันจึงกลายเป็นไร้ประโยชน์

ห่าวปิงหยางชี้นิ้วไปที่พวกเขาและดุด่า “พวกเจ้าช่างน่าอายนัก พวกเจ้าดูถูกเขาในฐานะจอมยุทธ์ขั้นสอง แต่หากไม่มีเขา พวกเจ้าคงไม่รอดมาถึงตอนนี้! สมองหมูของพวกเจ้าไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างแม้แต่ร่างจริงกับร่างปลอมของศัตรู พวกเจ้าช่างน่าผิดหวังเช่นเดียวกับภาพวาดเรือนจำ!”

ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีแดงด้วยความอับอาย จินเป่าบ่น “พี่ใหญ่ ข้าเกือบตายแล้ว แม้ท่านจะไม่ปลอบใจข้า แต่ท่านต้องดุด่าพวกเราถึงเพียงนี้ด้วยงั้นหรือ?”

จางหลานฉิงป้องหมัดขึ้นและโค้งคำนับหลี่ฉิงซาน เขากล่าวอย่างจริงจัง “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือก่อนหน้านี้” จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เดิมทีเขาไม่พอใจที่หลี่ฉิงซานทำลายกับดักของพวกเขา แต่สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้คือความรู้สึกขอบคุณ มันเหมือนกับที่ห่าวปิงหยางพูด แม้หลี่ฉิงซานจะไม่อยู่ที่นี่แต่กับดักของพวกเขาก็ไม่สามารถทำร้ายนักพรตผีดิบ

หลี่ฉิงซานตบไหล่จางหลานฉิง “เจ้าน่าประทับใจมากแล้วที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเอง”

จางหลานฉิงยิ้ม “แท้จริงแล้วข้ากำลังมึนงงจากความหวาดกลัว”

หลี่ฉิงซานระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะความจริงใจของจางหลานฉิง

เม็ดยารวบรวมพลังปราณหลายร้อยเม็ดที่เขากินเข้าไปไม่ได้ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งในฐานะจอมยุทธ์พลังปราณหรือผู้บ่มเพาะร่างกาย มันก้าวหน้าขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่เขาต่อสู้กับเฉียนเยี่ยนเหนิง หากรวมกับจิตสังหารที่รุนแรงของเขา ตอนนี้เขาเหมือนเทพแห่งความตายมากขึ้นไปอีก เขามีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกต้องยอมจำนน

หากเขาต่อสู้กับเฉียนเยี่ยนเหนิงอีกครั้งในเวลานี้ด้วยการเผชิญหน้าที่ยุติธรรม มันจะไม่ใช่การต่อสู้ที่สิ้นหวังอีกต่อไป กล่าวอีกนัย เขามีพละกำลังมากพอที่จะคุกคามจอมยุทธ์ขั้นห้า

อย่างไรก็ตามปืนใหญ่แสงของห่าวปิงหยางทรงพลังยิ่งกว่า จางหลานฉิงรู้สึกราวกับตนเองเป็นเหยื่อที่ถูกนักล่าสองคนโจมตีพร้อมกันขณะที่เขาไม่สามารถแม้แต่จะตอบสนอง

จินหยวนดึงจินเป่าเข้ามา “ขอบคุณที่ช่วยน้องชายของข้า!” จากนั้นเขาก็พูดกับจินเป่าที่กำลังละอายใจว่า “เหตุใดเจ้ายังไม่พูดสิ่งใดอีก?”

“นั่น...ขอบคุณเช่นกัน แต่เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองจริงๆงั้นหรือ? เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?” อายุของจินเป่าใกล้เคียงกับหลี่ฉิงซานมากที่สุด แม้เขาจะอายุมากกว่าหลี่ฉิงซานแต่เขากลับดูเด็กยิ่งกว่าหลี่ฉิงซาน ดังนั้นตอนนี้สายตาของเขาที่มองหลี่ฉิงซานจึงเปลี่ยนเป็นความชื่นชม

ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะตอบเขา ห่าวปิงหยางก็ตบศีรษะของจินเป่า “นั่นเรียกผู้บ่มเพาะร่างกาย เจ้าโง่ เจ้าไม่เคยเห็นพวกล่ำบึกไร้สมองในสำนักศึกษางั้นหรือ? เจ้าไปมุมหัวอยู่ที่ใดมา!?”

หลี่ฉิงซานคิด ‘เจ้ายังกล้าเรียกคนอื่นว่าพวกล่ำบึกอีกงั้นหรือ?’

จินเป่าหงุดหงิด “หากท่านตบข้าอีก ข้าจะตอบโต้จริงๆ!”

ห่าวปิงหยางยกมือขึ้นก่อนจะวางลง “เช่นนั้นก็ลองดู!”

จินเป่าหมดความอดทน “ห่าวปิงหยาง! เจ้าคนชั่ว!” หลังจากนั้นเขาก็ถูกหยุดโดยจางหลานฉิงและคนอื่นๆ

“เดิมทีนักพรตผีดิบต้องการใช้ดาบเงาสังหารลอบสังหารพี่ห่าวของเจ้าแต่เขาไม่มีโอกาส ดังนั้นนักพรตผีดิบจึงเรียกผีดิบออกมาปิดล้อมพวกเจ้า” หลี่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม คนเหล่านี้เหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยในชีวิตก่อนหน้าของเขา แม้พวกเขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแต่พวกเขายังค่อนข้างไร้เดียงสา กระทั่งห่าวปิงหยางไม่ต่างกัน พวกเขาแตกต่างจากจอมยุทธ์พลังปราณที่หลี่ฉิงซานเคยพบมา

จินเป่าตะลึง คำกล่าวของหลี่ฉิงซานทำให้เขาเข้าใจว่าเหตุใดห่าวปิงหยางจึงไม่ช่วยพวกเขาทันที

หลี่ฉิงซานกล่าวต่อ “แต่ก่อนหน้านี้เมื่อเจ้าตกอยู่ในอันตราย พี่ห่าวของเจ้าก็ตัดสินใจช่วยเจ้าแม้นั่นจะหมายถึงการเสี่ยงชีวิตก็ตาม”

“พี่ใหญ่...” ตอนนี้จินเป่าเข้าใจแล้วว่าเขาเกือบถูกนักพรตผีดิบใช้เป็นเครื่องมือสังหารห่าวปิงหยาง

จางหลานฉิง เหออี้ซื่อ และจินหยวนมองไปที่ห่าวปิงหยาง ไม่มีผู้ใดคิดถึงเรื่องนี้ในช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวาย แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว ไม่เพียงพวกเขาจะล้มเหลวในการให้ความช่วยเหลือแต่พวกเขายังเกือบลากห่าวปิงหยางลงนรกไปพร้อมกัน

“หยุดพล่ามไร้สาระ! ข้าจะช่วยเขาเพื่อสิ่งใด หากคนงี่เง่าเช่นเขาตาย มันจะทำให้สำนักของเราประหยัดค่าอาหารไปได้มาก!” ใบหน้าของห่าวปิงหยางแดงขึ้นเล็กน้อย

เหออี้ซื่อกล่าว “นักพรตผีดิบไม่มีโอกาสโจมตีพี่ห่าว นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามสังหารพี่จาง” พวกเขาทั้งหมดต้องขอบคุณหลี่ฉิงซานอีกครั้ง

ในช่วงเวลาอันตราย หลี่ฉิงซานใช้ยันต์สายฟ้าฟาดเพื่อค้นหาดาบเงาสังหารซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาสามารถจัดการมันได้อย่างทันท่วงที ไม่เพียงเขาจะช่วยชีวิตจางหลานฉิงแต่เขายังเปิดโอกาสให้ห่าวปิงหยางใช้ปืนใหญ่แสงเพื่อพลิกสถานการณ์ เขามีประโยชน์มากกว่าคนทั้งสี่อย่างไม่สามารถเปรียบเทียบ

หลี่ฉิงซานกล่าว “พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่เคยฝึกทักษะยุทธ์มาก่อนใช่หรือไม่?” ก่อนหน้านี้พวกเขาอาศัยเพียงพลังปราณและสัญชาตญาณในการต่อสู้กับผีดิบเท่านั้น การเคลื่อนไหวของพวกเขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับจอมยุทธ์ขั้นสามในยุทธภพซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

จางหลานฉิงเผยรอยยิ้มขมขื่น “พวกเราเป็นศิษย์นิกายม่อจื้อมาตลอดหลายปี สิ่งที่พวกเราเรียนรู้มาคือการสร้างหุ่นเชิด การสร้างเมือง และกลไกต่างๆ แม้เราจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ แต่เรายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับจอมยุทธ์คนอื่นๆ หากข้ากลับไป ข้าจะฝึกทักษะยุทธ์อย่างแน่นอน!”

ทุกคนเห็นด้วย

หลี่ฉิงซานได้เรียนรู้ว่าจอมยุทธ์ไม่จำเป็นต้องเก่งเรื่องการต่อสู้หรือการฆ่าฟันเสมอไป ยังมีจอมยุทธ์อีกมากที่เชี่ยวชาญด้านอื่นๆเช่นคนเหล่านี้

“พวกเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป?”

ห่าวปิงหยางตอบ “เห็นได้ชัดว่าต้องบุกรังของศัตรู!”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ถ้ำผีดิบไม่ใช่สถานที่ที่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย ห้องเก็บศพเป็นเพียงสถานที่เล็กๆที่ใช้เก็บรักษาศพ หลังจากพวกมันถูกดัดแปลง พวกมันจะถูกนำไปที่ถ้ำผีดิบ ผู้ใดจะรู้ว่ามีผีดิบมากเท่าใดอยู่ในถ้ำ มันอันตรายมาก”

เหตุผลที่นักพรตผีดิบรอดพ้นจากการไล่ล่าของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เพราะการคงอยู่ของถ้ำผีดิบ เขามักซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้ดินที่ซับซ้อนราวกับเขาวงกต แม้บางคนจะพยายามค้นหา พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วน หากพวกเขาตายที่นั่น พวกเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน

เมื่อจางหลานฉิงและอีกสามคนได้ยินว่าพวกเขาอาจต้องเข้าไปในถ้ำผีดิบหลังจากผ่านเหตุการณ์สยองขวัญที่พึ่งเกิดขึ้น พวกเขาก็พัฒนาความคิดล่าถอยทันที “พี่ใหญ่ เหตุใดเราไม่กลับสำนักและหาผู้ช่วยที่แข็งแกร่งสักสองสามคนก่อนจะออกมาไล่ล่านักพรตผีดิบ”

ห่าวปิงหยางมองพวกเขา “กลับสำนักงั้นหรือ? แล้วภารกิจเล่า? เราสามารถออกมาหลังจากผ่านความยากลำบากมากมาย ทุกคนรู้ดีว่าเราต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับนานเท่าใด เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ใดจะรู้ว่านักพรตผีดิบจะย้ายที่ซ่อนของเขาหรือไม่ พวกเจ้าอาจไม่รู้สึกอายแต่ข้ารู้สึก!”

คนทั้งสี่มองหน้ากันก่อนที่จะตอบรับด้วยความขมขื่น หลังจากทั้งหมดอาจารย์ของพวกเขาบอกให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของห่าวปิงหยางระหว่างออกมาปฏิบัติภารกิจ

“ดาบบินของเขาถูกทำลายแล้ว จิตวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บ เขาจะไม่สามารถใช้ดาบบินได้ชั่วคราว ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะฆ่าเขา” นั่นคือสิ่งที่ห่าวปิงหยางพูด แต่เขายังมองไปที่หลี่ฉิงซาน เขาไม่มั่นใจว่าเพียงพวกเขาห้าคนจะสามารถสังหารนักพรตผีดิบหรือไม่ อย่างไรก็ตามมุมมองของเขาที่มีต่อหลี่ฉิงซานเปลี่ยนไปแล้ว ด้วยผลงานที่ผ่านมา หากหลี่ฉิงซานเต็มใจเข้าร่วมกับพวกเขา โอกาสที่ภารกิจจะประสบความสำเร็จจะเพิ่มขึ้นอีกมาก

หลี่ฉิงซานเริ่มลังเล เขาต้องรอจ้าวจื่อป๋อแต่เขาไม่รู้ว่าจ้าวจื่อป๋อจะมาหรือไม่ หากจ้าวจื่อป๋อไม่มา เขาจะมองนักพรตผีดิบเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งในปัจจุบันของเขา จอมยุทธ์ขั้นหกต้องมีเม็ดยาจำนวนมาก มันสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนเม็ดยาของเขา แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบคือเขาควรร่วมมือกับคนเหล่านี้หรือไม่ ในความเป็นจริงเพียงเขากับเสี่ยวอันก็เพียงพอที่จะฆ่านักพรตผีดิบแล้ว

“หากเจ้าเข้าร่วมกับเรา ข้าจะแบ่งรางวัลให้เจ้า” เมื่อเห็นหลี่ฉิงซานยังไม่ตอบสนอง จางหลานฉิงจึงรีบยื่นข้อเสนอ

จินหยวนและจินเป่ากล่าวเสริม “ถูกต้อง เราจะทำเช่นเดียวกัน”

เหออี้ซื่อลังเลเล็กน้อย “ข้าก็เช่นกัน” ตราบเท่าที่พวกเขาทำภารกิจสำเร็จ ไม่เพียงพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์จากการต่อสู้แต่สำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ก็จะมอบรางวัลให้พวกเขาเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับสิ่งใด

ห่าวปิงหยางกล่าว “เจ้าหนู เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองแต่เจ้ากลับได้รับส่วนแบ่งมากกว่าข้า ยังไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งใด เราจะแบ่งผลประโยชน์ที่ได้รับจากนักพรตผีดิบที่เจ็ดสิบสามสิบ ตกลงหรือไม่?”

เพื่อหลี่กเลี่ยงข้อพิพาท พวกเขาจึงต้องตกลงส่วนแบ่งผลประโยชน์ให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง ห่าวปิงหยวงเป็นเสาหลักของกลุ่ม ดังนั้นเขาจึงเรียกร้องส่วนแบ่งสามสิบส่วนขณะที่คนที่เหลือจะแบ่งปันเจ็ดสิบส่วนที่เหลืออย่างเท่าเทียม