ตอนที่ 751 แขนมัจจุราชกับสละตนพิฆาต
สวี่เย่หน้าซีดขาว สายตาของเขาซบเซาไร้ชีวิตชีวา
“นั่นคือพลังของคนโฉดชั้นหนึ่งหรือ?
คนโฉดชั้นหนึ่ง 12 คนตามที่เล่าลือเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งทรงพลังทุกคนสามารถจัดอันดับในทำเนียบนักสู้ได้ แต่เมื่อเทียบกับนักสู้ในทำเนียบนักสู้แล้ว พวกเขามีความลึกลับมากกว่า มือของทุกคนเปื้อนเลือดทั้งนั้น และมีตระกูลนับไม่ถ้วนที่ต้องการศีรษะของเขา ด้วยพลังที่เฉียบขาดรุนแรงเช่นนั้น บางคนก็ได้ผู้สนับสนุนที่ทรงพลัง และไม่ว่าจะมีคนกี่คนสืบหาพวกเขาก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด เพียงแต่เมื่อพวกเขาต้องปรากฏตัวให้เห็น สายลมจะเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและผู้คนจะจำพวกเขาได้
เหอซินสาบสูญไปกว่าทศวรรษ แต่ทันทีที่เขาปรากฏตัวความโหดเหี้ยมและพลังที่กร้าวแกร่งพอจะสั่นสะท้านทั่วแดนบาป
‘เคียวนั้นและแขนนั่น...’
เหอซินเปิดประตูไว้แล้ว ประตูตำหนักแห่งกฎระดับสูงสุด และเป็นดินแดนสูงสุดที่นักสู้ทั้งหมดฝันถึงและไล่ไขว่คว้า ไม่มีใครเคยอยู่ในตำหนักความรู้แบบนั้นมาก่อนและไม่มีใครรู้ว่ามันดูเหมือนอะไร
ทันใดนั้น สวี่เย่รู้สึกอิจฉา สามารถเข้าใจตำหนักแห่งกฎระดับสูงสุดก่อนตายได้นั่นต้องมีวาสนามากเพียงไหน เขารู้ว่าด้วยพรสวรรค์อย่างเขาและจุดยืนของเขา เขาคงไม่มีทางไปถึงระดับเดียวกับเหอซินในชีวิตของเขาแน่
มือขวาของมัจจุราชและเคียวมัจจุราช
‘สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดซึ่งได้รับยกย่องจากดินแดนแห่งกฎมรณะระดับสูงสุดได้เข้ามายังโลกนี้แล้ว’
สำหรับสวี่เย่ผู้ฝึกมาทางกฎเป็นตายมีความหมายที่แตกต่างออกไป ชีวิตทั้งหมดในเมืองบูรพาอมตะ ระบายออกไปเงียบๆ การระบายออกไปนี้ช้ามากและคนที่พลังยังไม่ถึงระดับจะไม่สามารถรู้สึกถึงพลังชีวิตที่ถูกระบายออก
พลังชีวิตจากทั่วทุกทิศเข้าไปยังเคียวมัจจุราช บทเพลงที่หดหู่ดังออกมาจากภายในเคียว และใบหน้าที่บิดเบี้ยวและดิ้นลงบนเคียวเริ่มสงบ
ทำนองข่มวิญญาณ
สวี่เย่ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าเขา และถูกความตกใจครอบงำนั่นเป็นแค่แขนมัจจุราชและเคียวของมัน แต่มันสามารถดึงพลังจากเมืองทั้งหมด ถ้าเป็นมัจจุราชจริงกำลังจะปรากฏ พลังชีวิตในเมืองบูรพาอมตะคงถูกดูดและกวาดล้างหมดไม่ใช่หรือ?
สังหารหมู่!
เพียงแต่ยกแขนของมันขึ้นเท่านั้น ไม่ไม่ใช่แค่นั้น แค่อยู่กับที่ มันก็ฆ่าทุกอย่างได้
ถ้าพลังชีวิตทั้งหมดถูกดูดออกมาจากเมือง เมืองจะกลายเป็นเมืองที่ตาย เมืองแห่งกฎตาย กฎตายที่บริสุทธิ์จะเติบโตและรุ่งเรืองและทำให้แผ่นดินกลายเป็นนรกทั้งหมด
ความรู้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข่าวลือและตำนาน จากตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเรียนกฎเป็นตาย สวี่เย่ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เขาจะเห็นด้วยตนเอง
ความสิ้นหวังพลุ่งขึ้นมาในใจของสวี่เย่ เขาเริ่มจ้องมองนายท่านผู้กำลังสู้กับแขนและเคียวมัจจุราชเหมือนกับว่าเขากำลังรอให้เจ้านายเขาตาย
‘ล้มเหลวและตายเป็นผลที่สูงที่สุดมีแต่ผลที่ออกมานั้น’
สวี่เย่เริ่มหน้าซีดแผ่กระจายไปทั่วตัว เขาฝึกกฎเป็นตายมา ดังนั้นกฎธรรมชาติเป็นตายในร่างของเขาอยู่ในภาวะสมดุล แต่ขณะนั้นสภาพสิ้นหวังรุนแรงทำให้กายและใจของเขาอยู่ในสภาพเสียสมดุล พลังของกฎตายเริ่มเข้าสู่สภาพแข็งแกร่งขึ้น
ถังเทียนจ้องมองแขนและเคียว เขาหรี่ตา แต่เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของเมืองถูกดึงดูดและกลืนโดยเคียว ทำนองวิญญาณอันไพเราะลึกซึ้งถูกสลายไปด้วยแสงสีแดงเมื่อมันมาถึงถังเทียนก็หายไปไม่มีอะไร
เทพอสูรหกกรในร่างของเขาเหมือนกับร่างอัญมณีเปล่งแสงสีแดงหนาแน่นรอบตัวเขา ฝ่ามือที่ผนึกมุทราหมัดพิโรธปล่อยเพลิงสีแดงลุกโพลงเป็นระยะๆ พลังผันผวนของแสงสีแดงทำให้เปลวเพลิงแดงลุกโชนและยังคงเปล่งประกายออกมาข้างนอก
แสงแดงรอบตัวถังเทียนกวาดไปทั้งตัวถังเทียนครั้งแล้วครั้งเล่า พลังที่สง่างามผสานเข้าและกระจายตัวในลักษณะทั่วไป
ขณะนั้น แขนค่อยๆ ยกเคียวช้าๆ
ถังเทียนเหมือนแมวที่สะดุ้งตกใจเขารู้สึกได้ถึงอันตรายรุนแรง ทำให้ใจเขาตึงเครียด ความเคลื่อนไหวของแขนไม่ได้ปล่อยรัศมีอะไร ดูเหมือนกับเป็นกระทำธรรมดา แต่ถังเทียนที่มีความรู้สึกแหลมคมสัมผัสได้ถึงอันตรายรุนแรงจนแทบจะแข็ง
เขาสูดหายใจลึก ความรู้สึกแข็งแกร่งที่เขารู้สึกบอกเขาว่าการโจมตีครั้งต่อไปจะเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ
เขาหลับตาร่างของเขาเอนไปข้างหน้าพร้อมแขนของเขาตกลง
แสงสีแดงหนาแน่นจากเลือดของเขา ถังเทียนกำหนดไว้แล้วและไม่กังวล เขาหายใจตามปกติ เหมือนกับว่าเขากำลังงีบหลับ ไม่มีรังสีฆ่าฟันอยู่ที่ตัวเขาเลยและแสงสีแดงคลุมทั้งแขนของเขา
‘เนื่องจากนี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า อย่างนั้นข้าจะให้พลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าบ้าง’
เขาลืมตา ความตั้งใจไม่หวั่นไหวปรากฏอยู่ในสายตาของเขาไม่มีอะไรสร้างความหวั่นไหวให้เขาได้ แขนของเทพอสูรหกกรเริ่มตั้งท่ามุทราขณะที่มุทราอื่นในแขนอื่นยังเป็นภาพไม่ชัด
รัศมีของถังเทียนเริ่มทะลัก
อากาศรอบตัวเขาเริ่มปั่นป่วน รัศมีที่ทรงพลังจากเขาทำให้พื้นที่รอบตัวกลายเป็นสภาพไม่มั่นคง เขาเหมือนกับอยู่ในตาพายุ ลมรอบตัวเขาเพิ่มความเร็วอย่างรวดเร็ว และพัดแรงจนเสื้อผ้าของเขาโบกสะบัดเสียงดัง
ทันใดนั้นสวี่เย่เงยหน้าขึ้นมองเจ้านายด้วยความประหลาดใจ และหน้าที่ซีดท้อแท้ของเขา มีร่องรอยชีวิตชีวาทันที
‘รัศมีของบุรุษหน้ากากผีทรงพลังมาก
ทั้งสองสร้างพลังที่ตรงกันข้ามตัดกันอย่างมาก เคียวกับแขนมัจจุราชถูกกันไว้เป็นอย่างดีและถ้าไม่มีใครมองดูก็จะไม่รู้ถึงความคงอยู่ของมัน ท่านหน้ากากผีตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาปลดปล่อยรัศมีของเขาทั้งหมดเหมือนกับกองไฟที่ลุกโชนและรุนแรงมากขึ้น
มหาสมุทรพลังงานในร่างของถังเทียนทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย
บรรยากาศรอบตัวเขาเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง ระลอกพลังที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายขึ้นไปในอากาศ
แครก แครก
เสียงเสียดสีดังออกมาเบาๆ รัศมีของถังเทียนทะลักต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ เขายังคงไม่เคลื่อนไหวเหมือนรูปสลัก มีเพียงความแตกต่างก็คือแสงในดวงตาของเขาเจิดจ้ามากขึ้นทุกที
เขาได้รับพลังรู้แจ้งจากเงาร่างเทพอสูรในท่าเสียสละพิฆาต และขณะนั้นเงาร่างเทพอสูรมีปฏิกิริยากับท่าเสียสละพิฆาต ทั้งสองมาจากรากเหง้าเดียวกันและผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงมีความแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง คราวนี้ถังเทียนถูกต้อนเข้ามุมจึงจำเป็นต้องนำมาใช้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักประวัติเคียวและแขนของเคียวมัจจุราช แต่เขาผ่านการสู้รบมามากมาย และได้ตัดสินใจในการต่อสู้ที่คับขันโดยใช้สัญชาตญาณแทบทั้งหมด แขนและเคียวแปลกประหลาดที่อยู่ต่อหน้าของเขาทำลายสามัญสำนึกทั้งปวง และอยู่เหนือสิ่งที่เขารู้จักมากมาย
ถังเทียนถูกต้อนเข้ามุมให้ต้องใช้พลังทั้งหมดเท่าที่เขาสามารถระดมได้ เขาใช้เทพอสูรหกมุทราเสริมท่าเสียสละพิฆาต แม้ว่าอีกห้ามุทราจะมีแสงสลัวและเลือนราง ปรากฏแต่เพียงลักษณณะเขาก็ยังคิดว่าเมื่อกำลังต่อสู้กับหุ่นเชิดมัจจุราช มุทราเทพอสูรหกท่าถูกใช้ต่อสู้หรือเพื่อปรับเปลี่ยนร่างของเขากันแน่
แต่ขณะนั้น ถังเทียนที่กำลังจะแพ้ก็ไม่สบายใจ และทุ่มเททุกอย่างที่เขามี ทั้งหมดที่เขารู้
‘ถ้าเพียงแต่หมัดเทพเจ้าสำเร็จ...’
ประกายความคิดนั้นแว่บผ่านเข้ามาในใจของเขา แต่จากนั้นเขาก็เลิกคิด
เทพอสูรหกมุทราสมบูรณ์แบบในเวลาเดียวกัน และภายในก็อัดแน่นไปด้วยแสงสีแดง กลีบดอกไม้ไม่ทราบมาจากที่ใด ค่อยๆ ร่วงลงบนร่างเทพอสูร แล้วก็หายไป
ถังเทียนไม่รู้ว่ามีไว้เพื่ออะไร แต่เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้
ปัง ปัง ปัง!
ระลอกพลังทะลักไปทั่วทั้งเมืองโดยมีถังเทียนเป็นศูนย์กลาง เป็นเหมือนระลอกพลังเกลียวจากการโจมตีทำให้อากาศในเมืองบูรพาอมตะเกิดความไม่เสถียร เป๊าะ.. เสียงแตกดังออกมาตามทางเกิดรอยแยกเล็ก หินขนาดเล็ดข้าวค่อยๆ ลอยขึ้น
รอยแยกตามมามากขึ้นจนมองเห็นได้ชัดบนพื้น
หน้าของคนที่ชมดูเปลี่ยน ตาของสวี่เย่เป็นประกาย ทันใดนั้นเขาคิดถึงหอกลมสายฟ้าหลูเทียนเหวิน พลังหอกสุดท้ายของเขาทรงพลังยากจะหยั่งถึงเพียงไหน แต่รัศมีของนายท่านน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเมื่อเทียบหอกของเขา
‘ใช่แล้วนายท่านคือนักสู้ผู้แข็งแกร่งทรงพลังที่สามารถฆ่าหลูเทียนเหวินได้!’
สวี่เย่รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้น เขาเห็นความหวังที่จะกำราบพลังสีเทาในร่างเขาและพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นได้มาก
เขามีปฏิกิริยาในขณะนั้นและตะโกนบอกคนดูทั้งหมด “ทุกคน หนีไป! แยกย้ายกันเดี๋ยวนี้! ให้ออกไปจากที่นี่!”
ชาวเมืองบูรพาอมตะทุกคนตื่นจากอาการตะลึงและวิ่งหนีไปในทิศต่างๆ
แขนและเคียวอาบไปด้วยความเย็นที่แปลกประหลาด และเมื่อเผชิญหน้าความแปลกประหลาดพิศวงนี้ถึงกับทำให้ขนลุก แต่บุรุษหน้ากากผีกับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เขาปลดปล่อยรังสีที่เด็ดขาดทำให้คนอื่นมองเขาเป็นสัตว์ร้ายมหึมากำลังปลดปล่อยรัศมีโบราณไม่มีใครหักล้างได้
ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่สร้างความตื่นตระหนกไปทั้งเมืองบูรพาอมตะ
ตาของถังเทียนไม่มีวี่แววหวั่นไหวแต่อย่างใด เหมือนกับว่าเขาอยู่ในสภาพสงบอย่างน่าประหลาด พลังต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่าเสียสละพิฆาตมีเสียงสะเทือนดังออกมา แต่ถังเทียนไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
‘ข้าจะต้องช่วยทุกคน และจากนั้นเราทุกคนจะเคียงบ่าเคียงไหล่สู้และชนะด้วยกัน!’
‘นั่นคือเหตุผลที่ข้ายืนอยู่ที่นี่ นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องชนะ!’
‘ไม่มีใครหยุดข้าได้!’
‘แก..เจ้าเคียวผุพัง!’
รัศมีที่เปล่งออกมาจากดวงตาของถังเทียนทำให้พื้นที่ว่างรอบเมืองบูรพาอมตะสั่นสะทือน
ถังเทียนเริ่มเคลื่อนไหวเข้าหาเคียวกับแขน ด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหวในดวงตาที่มีสีแดงโชติช่วง เสียงลมหวีดหวิวผ่านหูของเขา สายลมพัดรุนแรงทำให้อากาศสั่นสะเทือน ดูเหมือนเปลวเพลิงในดวงตาของเขาจะสว่างเจิดจ้ามากขึ้น
ทุกๆก้าวย่างของเขาทำให้พื้นที่ว่างในเมืองบูรพาอมตะสั่นไหว
ทุกย่างก้าวทำให้พื้นเบื้องล่างของเมืองบูรพาอมตะสั่นสะเทือน
ทุกๆ ย่างก้าวของเขาทำให้หินนับไม่ถ้วนลอยขึ้นจากพื้นขึ้นไปในท้องฟ้า
ทุกๆย่างก้าวของเขาทำให้รัศมีของเขาเพิ่มมากขึ้น
ทุกๆ ที่เขาย่างก้าวแสงสีแดงในร่างของเขาจะหมองลงเล็กน้อย แต่แสงสีแดงที่แขนของเขาจะหนาแน่นรุนแรงมากขึ้น
ในภาพที่สั่นไหวของเขา มีแต่เพียงเคียวกับแขนผอมๆเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ คมเคียวที่เต็มไปด้วยฟัน และภาพใบหน้าวิญญาณที่ทุกข์ทน
‘มาเลย, เจ้าเคียวผุพัง!’
ถังเทียนคำรามในใจขณะที่พลังทั้งหมดในร่างของเขาบรรจุอยุ่ในแขนของเขาทำให้แขนของเขารู้สึกหนักมากขึ้นจนแทบขาดตกลงไป ทุกๆ ย่างก้าวจำเป็นต้องทุ่มเรี่ยวแรงทั้งหมดในตัวเขา แขนของเขาดูเหมือนแทบจะระเบิดออกเหมือนกับว่ามีบางอย่างกำลังจะปริออกมาจากภายใน
ในสายตาของเขา แขนที่แห้งกรังนั้นสับเคียวลงอย่างนุ่มนวล
ถังเทียนเห็นว่าพร้อมกับแขนที่เคลื่อนไหว ภาพลวงตาเลือนรางของเคียวเกิดตามมาทันที มันเป็นรังสีดำที่ตัดผ่านอากาศอย่างเงียบงัน
‘มาเลยแก...เจ้าเคียวผุพัง!’
ขณะนั้นถังเทียนรู้สึกได้ว่าความรู้สึกว่าพลังระเบิดในแขนของเขานั้นใกล้จะระเบิดเต็มทน ต้องยืมแรงเฉื่อยเหวี่ยงแขนฟันใส่ด้านบน
ดาบโลหิตสองสายไขว้กันเป็นกากบาทอยู่ข้างหน้าของถังเทียนและเปลี่ยนไปรังสีดาบกางเขนโลหิต
รังสีเคียวสีดำสนิทปะทะกับรังสีดาบกากบาท