SN-ตอนที่ 50 การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน
ในอีก 30 นาทีต่อมา อัลดิช และ อันเดด ของเขาได้เดินผ่านอุโมงค์ที่เล็กและแคบลง ที่นี่มีมดตัวใหญ่ขนาดเท่าสุนัขคลานไปทั่ว ซึ่งอุโมงค์นี้ก็ค่อนข้างหนาแน่นจนเหลือทางเดินสำหรับกลุ่มเพียงแค่แถวเดียว และ มันทำให้ทุกคนต่อสู้พร้อมกันไม่ได้
อัลดิช ได้สร้างรูปแบบที่ง่ายที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหานี้ เขาได้วาง แฟลร์กานไว้ ข้างหน้า และ สเตลล่า อยู่ด้านหลัง เพราะทั้งสองมีความสามารถด้านผลกระทบแข็งแกร่งที่สุด ซึ่ง แฟลร์กาน สามารถใช้เวทย์ไฟด้านหน้า และ สเตลล่า สามารถระเบิดมดจากข้างหลังได้
ในขณะเดียวกัน อัลดิช และ วาเลร่า ก็เดินไปมาระหว่างพวกเขาอย่างสบาย โดยปล่อยให้ทั้งสองย่างบาร์บีคิวใด ๆ ก็ตามที่ภัยคุกคามกล้าเข้ามา
“มดกรามหิน!” สเตลล่า ได้อธิบาย ขณะที่เธอสะบัดนิ้วเล็กน้อยเพื่อสร้างประกายไฟระเบิดกลุ่มมดนับ 10 ตัว “ที่เรียกเช่นนี้ เพราะขากรรไกรล่างของพวกมันสามารถบดขยี้หินให้แหลกได้โดยง่าย นอกจากนี้ พวกมันยังกินแร่ธาตุบางอย่างเป็นอาหารอีก”
“พวกมันมีราชินีหรือไม่?” อัลดิช ได้กล่าวถาม เกี่ยวกับมดสายพันธุ์ต่าง ๆ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าพวกมันมีแนวโน้มที่จะสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศกันซะส่วนใหญ่ เพราะพวกมันจะสร้างกลุ่มไข่ไว้ที่ท้องของพวกมันหลังจากดูดซับอาหารที่มากพอได้
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็เป็นไปได้ยาก ซึ่งเป็นเหตุมาจากการวิจัยที่ไม่เพียงพอ พวกมดสามารถสร้างฝูงขนาดใหญ่ภายใต้คำสั่งของราชินีที่เข้าควบคุมกระบวนการสืบพันธุ์ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่ง อาณานิคมเหล่านี้จะเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะพวกมันสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างหลากหลาย
ข้อมูลเรื่องนี้ได้แพร่หลายมาก เพราะเมื่อ 15 ปีที่แล้ว มีฝูงมดจำนวนมหาศาลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบในเกาหลีใต้ ได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าแสนคน หายนะดังกล่าวจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือของฮีโร่คลาส S 2 คนของประเทศเพื่อกำจัด
เหตุการณ์คล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน และ นั่นทำให้ฮีโร่คลาส A จำนวน 15 คนถูกส่งไปรับมือ
“ดูจากที่พวกมันเคลื่อนไหวกันอย่างไม่เป็นระเบียบเช่นนี้ คาดว่าคงไม่มีราชินี เพราะถ้ามีราชินี พวกเราคงได้ต่อสู้กับมดทหารที่แข็งแกร่งกว่านี้ไปแล้ว”
“อืม” อัลดิช พยักหน้ายอมรับ หากว่าที่นี่คืออาณาเขตที่อันตราย เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะจัดการกับมัน เว้นแต่ว่ามันจะเพิ่งก่อตัวมาได้ไม่นาน แต่เนื่องจากพวกมันเป็นแค่มดที่ไม่มีราชินีคอยควบคุม พวกเขาจึงสามารถพิชิตมันได้
หลังจากใช้เวลากว่า 30 นาที ไดนาไมท์เกิร์ล และ แฟลร์กาน ก็ฆ่าพวกมันไปกว่าร้อยตัว สิ่งนี้ทำให้ อัลดิช ได้รับ EXP มากพอสำหรับการอัพเลเวลอย่างง่ายดาย
[กำจัดมดกรามหิน 140 ตัว!]
[+700 ค่าประสบการณ์]
[แถบค่าประสบการณ์ : 1500/1600 > 2200/1600]
[เลเวลอัพ!]
[เลเวล 12 > 13]
[แถบค่าประสบการณ์ : 600/1800]
[+5 แต้มค่าสถานะพร้อมจัดแจง]
อัลดิช ได้ลงทุนค่าสถานะ 5 แต้มไปที่ค่าความคล่องตัว
[ความคล่องตัว : 10 > 15]
จากนั้นเขาก็มองไปข้างหน้าขณะที่แฟลร์กานใช้ คาถา [Flamethrower] เพื่อล้างบางพวกมดก่อนที่พวกมันจะกรูกันเข้ามาเป็นกลุ่ม
เนื่องจาก แฟลร์กาน ยังคงรักษาค่าสถานะในฐานะบอสเอาไว้ได้ คลังมานาของเขาจึงมีค่อนข้างมากอย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้ เขายังรู้คาถาที่ไม่ได้ใช้ในเกมอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขามี คาถาที่มีประโยชน์ที่เรียกว่า [ฟื้นฟู] ที่สามารถฟื้นฟู 10% ของมานาสูงสุดของผู้ร่าย รวมถึงแบ่งปันกับพันธมิตร
สิ่งนี้ทำให้ แฟลร์กาน ไม่เพียงแต่เติมมานาให้ตัวเองได้เท่านั้น แตต่ยังเติมให้ อัลดิช ได้อีกด้วย
[มานา : 99/183 > 183/183]
ปัญหาเดียวของ [ฟื้นฟู] ก็คือมันมีคูลดาวน์นาน 1 นาที แต่นั่นก็ในแง่ของตัวเกมเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง 1 นาที แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย
เพราะในเกม แฟลร์กาน ได้เคลื่อนไหวไปตามที่ระบบตั้งค่าเอาไว้ แต่ในชีวิตจริง เขาสามารถใช้คาถาได้อย่างหลากหลายสมกับที่เป็นนักวิชาการที่ได้ศึกษาเวทย์มนตร์มามากมาย
“นายรู้เวทย์มนตร์อะไรอีกนอกจากคาถาประเภทไฟเหล่านี้?” อัลดิช ได้กล่าวถาม
“ข้าคลุกคลีกับพวกเวทย์มนตร์สายสนับสนุนค่อนข้างมาก” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ
“เวทย์มนตร์สายสนับสนุน เช่น ตาทิพย์ ทำนาย ตรวจสอบสถานะ และ ฟื้นฟู ก็อยู่ในเส้นทางสายนี้ทั้งหมด”
“ทว่า ข้าเป็นเพียงแค่พวกมือใหม่ในเส้นทางสายนี้เท่านั้น เพราะส่วนมากข้าได้ใช้เวลาไปเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเวทย์ธาตุไฟเสียมากกว่า” จากนั้น แฟลร์กานก็กล่าวพูดต่อ “แม้ว่าข้าจะยกยอตัวเองให้เป็นนักวิจัย แต่ข้าก็ชื่นชอบความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก และ ตื่นเต้นกับเวทย์มนตร์ที่สามารถสร้างสีสันฉูดฉาดเป็นที่สุด”
“นอกจากนี้ข้ายังชื่นชอบพวกศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุ ถึงขนาดได้รับการยอมรับในสาขาวิชาชีพเหล่านี้ แต่อนิจจา ข้าเกรงว่าความรู้ของข้าในโลกที่แปลกประหลาดนี้จะไร้ประโยชน์ เพราะเวทย์มนตร์และมานาในอากาศ รวมถึง พืช สัตว์ และ แร่ ที่ข้าคุ้นเคยนั้นกลับไม่มีอยู่”
“ฉันคิดว่านั่นคือเหตุผลที่นายต้องการจะค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมผ่านการทดลองกับกีสต์ใช่หรือไม่?” อัลดิช ได้กล่าวพูดขึ้น “เพราะถ้านายสามารถทำให้เวทย์มนตร์สามารถใช้งานที่นี่ได้ นายก็จะไม่ขาดแคลนวัตถุดิบในการเล่นแร่แปรธาตุอีกต่อไป”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสของข้า” เส้นเอ็นในปากของ แฟลร์กานได้กระตุกขณะที่เขาตอบกลับ “สหายเก่าที่เคยเป็นนักวิชาการเหมือนข้า ก่อนที่ข้าจะถูกขับไล่ออกจากหอคอยเวทย์มนตร์ เขาเคยเป็นช่างฝีมือและนักเวทย์ที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น ข้าจึงได้ขอหนังสือเวทย์มนตร์มาจากเขาเพราะในนั้นบรรจุคาถา [สร้างฐาน] เอาไว้”
“ถาคา สร้างฐาน สามารถปรับแต่งห้องปฏิบัติการที่เอาไว้ใช้เล่นแร่แปรธาตุได้ แต่ หากไม่มีวัตถุดิบ ห้องปฏิบัตินั่น ก็เป็นเพียงแค่โต๊ะเรียนธรรมดาเท่านั้น เพราะงั้นข้าจึงต้องการวัตถุดิบหรือสิ่งมีชีวิตที่มีเวทย์มนตร์ในตัวสำหรับการทดลอง”
อัลดิช รู้ว่าในตำนานของเกม นักเวทย์สามารถเรียนรู้เวทย์มนตร์ได้หลายแขนง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดของตัวเกม นักเวทย์สามารถเชี่ยวชาญสาขาย่อยของเวทย์มนตร์ได้สูงสุด 3 สาขา เท่านั้น ส่วน เนโครแมนเซอร์ พวกเขาถูกจำกัดเพื่อให้ฝึกฝนศาสตร์มืดให้มากขึ้น
“เช่นนั้นมันเป็นไปได้ที่นายจะสร้างหนังสือสกิลให้ฉัน?” อัลดิช ได้กล่าวถาม
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ “แต่การสร้างหนังสือ จำเป็นจะต้องมีวัสดุที่เหมาะสม เช่น หนังสัตว์เวทย์ ปกที่ทำมาจากสัตว์เวทย์ หมึกที่มีแก่นแท้ของคริสตัลมานา ซึ่งทั้งหมดนี้ยังขาดอยู่อีกมาก”
“อืม” อัลดิช พรางจับคางและครุ่นคิด “บางทีนายอาจจะยังคิดไม่กว้างพอ เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุสามารถรังสรรค์วัตถุดิบขึ้นมาได้ ในเมื่อนายสามารถสร้างห้องทดลองขึ้นมาได้ นายก็ควรลองพยายามแปรรูปวัสดุในโลกนี้ดูเผื่อพวกมันจะสามารถใช้งานแทนกันได้”
“ท่านพูดถูกแล้วผู้อาวุโสนั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการอย่างแท้จริง” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ “นอกจากนี้ ข้าต้องการตำแหน่งถาวรเพื่อสร้างห้องทดลองของข้า เพราะข้ามี คาถา [สร้างฐาน] เหลืออีก 2 ครั้งเท่านั้น”
“ป่าเองก็เป็นพื้นที่เปิดโล่งเกินกว่าที่จะสร้างห้องทดลองของข้าได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการพื้นที่ส่วนตัวที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา”
“อืม ไว้ฉันจะมองหาสถานที่ลงหลักปักฐานที่ไหนสักแห่งนอกป่าก็แล้วกัน” อัลดิช ได้ตอบกลับ
“ลงหลักปักฐานกับนายท่าน ฟังดูช่างวิเศษเหลือเกิน” วาเลร่า ได้พูดออกมา
ส่วน แฟลร์กาน เขาได้หยุดใช้ [Flamethrower] และดวงตาทั้งสามของเขาก็หรี่ลงในทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” อัลดิช กล่าวถาม
“เอ่อ…ไม่มีพวกมดแล้ว” แฟลร์กานได้ตอบกลับ “หรืออาจเป็นไปได้ว่าพวกมันได้หนีไปแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่โชคร้ายอย่างแท้จริง”
“อืม” อัลดิช ได้เอานิ้วชี้ไปที่ขมับของเขา และ ดูผ่านดวงตายมโลก เขาไม่สามารถมองผ่านอันเดดทุกตัวที่เขามีได้ อย่างดีที่สุด เขาก็มองผ่านดวงตาได้ 2-3 คู่ ที่แตกต่างกันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาได้วางจุดกระตุ้นเฉพาะไว้ที่อันเดดของเขา เช่นเมื่อพวกมันพบ ผู้วิวัฒ หรือ เผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรง เขาก็จะรู้สึกได้
เพราะงั้นแล้ว อัลดิช จึงไม่ได้เสียสมาธิไปตอนพูดกับ แฟลร์กาน เพราะเขาไม่ได้เชื่อมต่อดวงตายมโลกเพื่อตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่า ดวงตายมโลกจะแจ้งให้เขาทราบหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น และ เมื่อ อัลดิช ตรวจสอบในตอนนี้ เขาก็พบว่า ดวงตายมโลกของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
มันเพิ่งตายไปได้ไม่นาน และ ยูนิตที่เขาควบคุมก็ลดลงในทันที
[ยูนิติที่ควบคุม : 20/22 > 19/22]
อย่างไรก็ตามมันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และ เป็นไปได้ว่าจะเป็นช่วงที่ กลุ่มของ อัลดิช เพิ่งจะมาถึง เพราะเขาพบว่าในตอนนี้ อุโมงค์รอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป สถานที่ทั้งหมดเริ่มสั่นสะเทือนและเพดานหินก็เริ่มสั่นเป็นระลอกคลื่นเหมือนน้ำ
“นี่คืออะไร?” แฟลร์กาน ได้พึมพัมออกมา “มันดูคล้ายกับคาถาเคลื่อนย้าย แต่ความกว้างและการบิดเบี้ยวเชิงพื้นที่นี้ไม่สอดคล้องกับรูปแบบเวทย์มนตร์ใด ๆ ที่ข้ารู้จัก”
“นายท่าน!” วาเล่รา ได้มาปรากฏตัวด้านหน้า อัลดิช และ ยกโล่ของเธอเพื่อปกป้องเขาทันที
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ” อัลดิช มองดูภาพตรงหน้า “นี่ไม่ใช่เวทย์มนตร์อย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็นพลังของเซลล์วิวัฒ”
“อึก ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาพบด้วยตัวเองเช่นนี้…” สเตลล่า เริ่มเคลื่อนไหวไปมาด้วยอาการที่ตื่นตัว
“มันคืออะไร?” อัลดิช ได้กล่าวถาม ในบรรดาทุกคนที่นี่ สเตลล่า มีความรู้เกี่ยวกับพวกตัวแปรมากที่สุด หากเธอรู้สึกกังวล อัลดิช ก็รู้สึกกังวลเช่นเดียวกัน
“ทุกคน รีบจับมือกันไว้ เร็วเข้า!” สเตลล่า ได้ตะโกน เธอไม่ได้ตอบคำถามของ อัลดิช และ แน่นอนว่า อัลดิช ก็ไม่เร่งรีบที่จะถามเธอ เขาเพียงแค่ปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ทุกคนจึงได้จับมือกัน ในขณะที่อุโมงค์โดยรอบเริ่มบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง