SN-ตอนที่ 49 กิ้งก่ากระหายเลือด
อัลดิช และ แฟลร์กาน ก้าวขึ้นไปบนหน้าผาที่ทอดลงไปในรังขนาดใหญ่ที่กระจัดกระจายไปด้วยรอยไหม้เกรียมดำ ที่นี่มีซากกิ้งก่าไหม้เกรียมที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆและเศษเปลือกไข่ที่ถูกทำลายเกลื่อนไปทั่ว
สิ่งนี้เป็นฝีมือของ วาเลร่า และ เตลล่า พวกเธออาจจะเข้ากันได้ไม่ดีในสถานการณ์อื่น แต่ในการต่อสู้ ฆ่าฟัน พวกเธอล้วนเป็นสหายที่ดีที่สุด
“นายท่าน!” วาเลร่า ได้ยกโล่วางขณะที่เธอย่อตัวลงเล็กน้อย
ในเวลานี้ มีกิ้งก่าตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง วาเลร่า ได้ส่งเสียงขู่คำรามออกมา
ร่างของมันค่อนข้างใหญ่และเกล็ดของมันก็คล้ายกับเกล็ดหนาของมังกร อีกทั้งยังส่องแสงเรืองรองสีแดงจำนวนมากออกมา
นอกจากนี้ ดวงตาสีเหลืองก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มราวกับเลือด ในเวลานี้ เลือดได้พุ่งมาโดนโล่ วาเลร่า อย่างรุนแรง แต่โชคดีที่เธอป้องกันมันไว้ได้ทันจนมันกระเด็นไปทางอื่น ทว่าทันทีที่เลือดสัมผัสกับพื้นหินมันก็ละลายพื้นหินได้อย่างง่ายดาย
อัลดิช ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร
เนื่องจาก แบล็ควอเตอร์ ได้เพิกเฉยนักเรียนดัสโดยสิ้นเชิง อัลดิช จึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล AA ที่เป็นความลับเกี่ยวกับพวกตัวแปรเหล่านี้ได้ เกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปอาจจะหาได้ในเน็ต แต่ข้อมูลที่แข็งแกร่งและหายากกว่านี้นั้นไม่มีเลย
“มาช่วยกันหน่อยได้มั้ย!” สเตลล่า ได้พูดขึ้น “ว่าไง หน้าปลาหมึก!?”
“ข้าควรจะไปหรือไม่?” แฟลร์กาน ได้กล่าวถาม
“อืม” อัลดิช พยักหน้าตอบรับ
จากนั้น แฟลร์กาน ก็ลอยเข้าไปพร้อมกับประสานมือเข้าด้วยกัน “ดูเหมือนว่าเด็กน้อยเช่นเจ้าก็ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ที่แท้จริง”
สเตลล่า ต้องการจะพูดอะไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของ แฟลร์กาน เธอก็หยุด
ในเวลานี้ วงเวทย์สีส้มสดใสได้ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ มือของ แฟลร์กาน “ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าสิ่งมีชีวิตในโลกใหม่นี้จะรับมือกับเวทย์มนตร์ได้อย่างไร”
แฟลร์กานได้ร่าย [หอกไฟ] ที่เป็นหอกสีส้มแดงออกมา
ในเวลานี้ กิ้งก่าสีแดงได้หยุดพ่นเลือด มันได้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับตั้งรับหอกไฟที่พุ่งเข้ามาเหล่านี้ แน่นอนว่าหอกไฟได้แทงทะลุเข้าไปที่ท้องของกิ้งก่าแดง
ทว่า กิ้งก่าแดง กลับไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย
“หืม?” อัลดิช สังเกตุดูด้วยความสนใจ เขาพบว่าเกล็ดแหลมของกิ้งก่ากำลังบิดเบี้ยว นี่ไม่ใช่เพราะคลื่นความร้อนจากเปลวไฟของแฟลร์กาน แต่ดูเหมือนมันจะทำอะไรบางอย่างเพื่อลบล้างความเสียหาย
“นี่คือกิ้งก่ากระหายเลือด!” สเตลล่าได้กล่าวพูดขึ้นในเวลานี้ “หนังของมันแทบจะทนต่อความเสียหายได้ทุกชนิด! ดังนั้นจำเป็นจะต้องสร้างความเสียหายจากภายใน!”
“เหตุใดถึงไม่บอกข้าเร็วกว่านี้!?” แฟลร์กาน ได้กล่าวถาม
“ก็ฉันแค่อยากจะเห็นคนโง่หลังจากที่ทำตัวอวดฉลาดเท่านั้น” สเตลล่าได้ยกยิ้มก่อนที่จะทำสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าต้องทำไง ก็หาทางป่นปี้เจ้าสิ่งนี้จากข้างในถ้านายทำได้ล่ะก็นะ”
“ในเมื่อวิธีการปกติใช้มันได้ก็ต้องอาศัยความคิดกันหน่อย”
“ข้าจะเผาอากาศทั้งหมดที่นี่ให้มันง้างปากออกมาซะ!”
“แน่นอนว่ากลยุทธ์ที่เด็ดขาดเช่นนี้ เจ้าคงไม่มีทางคิดได้หรอก!” แฟลร์กาน เตรียมที่จะร่าย[Flamethrower] เพื่อสร้างเปลวไฟอย่างต่อเนื่องเพื่อเผาไหม้อากาศในพื้นที่นี้ออกไป
“รอเดี๋ยว” แต่อัลดิช ได้ยกมือขึ้น “ให้ฉันจัดการเอง”
อัลดิช ได้กระโดดขึ้นมาและมาถึงด้านหลังของ วาเลร่า
“ต้องฝากเธอคุ้มกันด้วย” เขาได้กล่าวพูดออกมาทันที
“เจ้าค่ะ นายท่าน!” วาเลร่า ได้ยืนอย่างมั่นคงต่อหน้าอัลดิชและยกโล่ขึ้น
“มีสิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะทดสอบ!” อัลดิช ได้กล่าวออกมา “เขาได้หยิบตะเกียงและฉายแสงสีแดงไปที่กิ้งก่า โดยเขาไม่ได้เปิดดวงตาของตะเกียงอย่างเต็มที่เนื่องจากผลสลายตัวของมัน เขาเพียงแค่เก็บแสงไว้บนกิ้งก่าแทน
กิ้งก่าตัวนี้ผงะศีรษะและกระพริบตา เพื่อดูว่าแสงนี้มีผลอย่างไร
เว้นแต่ว่า อัลดิช จะเปิดลูกตาในตะเกียง มันจะไม่สร้างความเสียหาย ในตอนนี้อัลดิชกำลังใช้พาสซีฟฉายแสง 3 วินาที ต่อครั้งอยู่ ซึ่งมันสามารถซ้อนทับได้สูงสุด 10 ครั้ง
แต่ละสแต็คจะลดความต้านทานต่อความเสียหายจากคำสาปลง และ มีเวทย์มนตร์ประเภทนึงที่ อัลดิช รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
เวทย์มนตร์ตายทันที!
กิ้งก่ากระหายเลือดได้คำรามออกมา โดยมันยังคงสับสนเล็กน้อยเมื่อไม่รู้สึกได้ถึงการโจมตี
หลังจากผ่านไป 5 วินาที มันก็หมดความอดทนและตัดสินใจยิงกระแสเลือดที่เป็นกรดออกมาจากดวงตาของมัน
วาเลร่า ได้ยกโล่ขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ อัลดิช ถอยออกมาเล็กน้อย เขารู้ว่า วาเลร่า สามารถป้องกันกระสุนโลหิตจากกิ้งก่ากระหายเลือดได้
ในเวลานี้ เขาได้ฉายแสงไปที่ กิ้งก่ากระหายเลือดต่อ
แต่กิ้งก่าไม่ได้สนใจ อัลดิช มันได้พ่นโลหิตใส่ วาเลร่า และ สเตลล่า อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามันเห็นทั้งสองเป็นภัยคุกคามมากกว่า
อัลดิช ฉายแสงไปที่กิ้งก่ากระหายเลือด เดิมเขาคิดว่าจะต้องหลบการโจมตีอะไรพวกนี้บ้าง แต่กิ้งก่าตัวนี้กลับไม่สนใจเขาเลย
เพราะการโจมตีของเขาไม่ได้สร้างความเสียหายทันทีทำให้มันไม่สนใจเขา
“ดูเหมือนว่า สิ่งมีชีวิตในโลกใหม่นี้จะยังไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องดีบัฟ” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ
“อาจเป็นเพราะเจ้าตัวนี้มันโง่ หรือไม่ก็เป็นไปได้ที่ทั้งสองอย่างจะรวมกัน” อัลดิช ได้ตอบกลับ “ไม่ว่าจะอย่างไร มันถึงเวลาที่ฉันจะเริ่มทดสอบเวทย์มนตร์แห่งความตายแล้ว”
หลังจาก 30 วินาทีผ่านไป หลังจากสะสมสแต็คลดต้านทานคำสาปเสร็จ
หมอกควันสีแดงที่เปล่งประกายก็ปรากฏขึ้นโดยรอบตัวของกิ้งก่ากระหายเลือด มันเป็นการบ่งบอกว่าสะสมดีบัฟเต็มแล้ว ซึ่งความต้านทานต่อเวทย์มนตร์ตายทันทีได้ถูกทำให้เป็นกลางจนต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ
ดูเหมือนว่าผลของสแต็คคำสาปจะไม่ธรรมดาทีเดียว
“มาลองดูกันว่า ผิวหนังที่ไร้เทียมทานของแกจะต้านทานสิ่งนี้ได้หรือไม่” อัลดิช ได้เปิดตะเกียงและร่าย [Disintegrating Gaze]
เมื่อดวงตาที่ค้างอยู่ในตะเกียงเปิดขึ้น มันก็เผยดวงตาแดงก่ำที่น่าสยดสยองออกมา
แสงสีแดงปกติได้เปลี่ยนเป็นลำแสงทรงกรวยที่วาดผ่านร่างของกิ้งก่า
อัลดิช ระวังไม่ให้ แสงนี้กระทบเข้ากับหัวของกิ้งก่าเพราะเขาต้องการรักษาร่างกายของมันเอาไว้
กิ้งก่าได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาก่อนที่ร่างของมันเริ่มจะแตกสลายกลายเป็นสีขาวและกลายเป็นกองขี้เถ้าไปในที่สุด
“หากใช้พลังนี้กับผู้วิวัฒ พวกเขาคงไม่สามารถป้องกันมันได้เป็นแน่” จากนั้น อัลดิช ก็เดินไปที่ตำแหน่งหัวของกิ้งก่าที่ไร้ร่าง เขาต้องการตรวจสอบดูว่ามีดวงวิญญาณปรากฏขึ้นมาหรือไม่
ปรากฏว่าไม่มี
แต่สัญลักษณ์หลุมฝังศพนั้นกลับปรากฏ
เดิม อัลดิช ต้องการดวงวิญญาณไปสร้างอุปกรณ์ที่อยู่ยงคงกระพันแต่น่าเสียดายที่ไม่มีดวงวิญญาณปรากฏ
[กำจัด กิ้งก่ากระหายเลือด!]
[+300 ค่าประสบการณ์]
[แถบค่าประสบการณ์ : 1200/1600 > 1500/1600]
“จงตื่น” อัลดิช ได้วางมือบนซากกิ้งก่า ทันใดนั้น เส้นพลังงานสีเขียวก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของมันในทันที
เนื่องเพราะสมองของมันส่วนนึงได้ถูกทำลายทำให้มันไม่สามารถประมวลผลความคิดได้
ซึ่งแตกต่างไปจากพวกโครงกระดูกที่ไม่ต้องใช้สมองในการเคลื่อนไหวเลย แต่ดูเหมือนว่า ซอมบี้และอันเดดระดับสูงยังคงต้องใช้หัวของพวกมันในการทำงาน
เพราะงั้นแล้วหากมีตัวใดที่สมองถูกทำลายมันคงไม่สามารถประมวลความคิดได้
อย่างไรก็ตาม อัลดิช สามารถบังคับให้ กิ้งก่าเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง รวมถึงใช้ [Anti-Life Shell] เพื่อรักษาสิ่งมีชีวิตให้ฟื้นคืนเมื่อเวลาผ่านไป
[-5 มานา]
[มานา : 99/183 > 94/183]
[กิ้งก่ากระหายเลือดเลเวล 14 ฟื้นคืนชีพ]
[ยูนิติที่ควบคุม : 19/22 > 20/22]
เขาได้ตรวจสอบพลังของกิ้งก่า
โดยมันมีพลังทั้งหมดสามอย่างเหมือนกับ กีสต์
อย่างแรก : เกล็ดของมันมีภูมิต้านทานต่อความเสียหายทั้งหมด มันสามารถบิดเบี้ยวบางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นกับตัวมันได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้งานได้ในตำแหน่งที่ไม่มีเกล็ด เช่น ตา จมูก หรือ อวัยวะภายใน
ประการที่สองคือ : มันสามารถกระหน่ำยิงกระแสเลือดที่เป็นกรดสูงออกมาจากดวงตาได้ ซึ่ง หากเลือดนี้สัมผัสคนธรรมดา มันจะย่อยสลายเนื้อหนังจนกลายเป็นแอ่งหนองที่เหนอะหนะภายในไม่กี่วินาที
ประการที่สามคือ : มันมีรูปแบบการมองเห็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้ดวงตาติดตามเป้าหมายได้อย่างแม่นยำสูงสุดนอกเหนือไปจากนั้นยังสามารถซูมเข้าออกได้ภายในระยะ 1.6 กม.
โดยรวมแล้ว กิ้งก่าตัวนี้ค่อนข้างทรงพลังมากทีเดียว นี่น่าจะเป็น 1 ในสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของรังนี้
“ทำได้ดีมากทุกคน” อัลดิช ได้กล่าวออกมา “แต่จากข้อมูลของดวงตายมโลก ดูเหมือนว่ารังอีกชุดจะอยู่ลึกลงไปและศัตรูของเราก็คือพวกมด”
“อึก ฉันเกลียดพวกแมลงที่สุด” สเตลล่าได้กล่าวพูดขึ้น
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าในเรื่องนี้” วาเลร่า ได้พูดขึ้น “การที่ขาของพวกมันเคลื่อนที่ไปมาช่างน่าพิลึกกึกกือเป็นอย่างมาก”
“โอ้ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงไม่ควรมีผู้หญิงไว้ในปาร์ตี้” แฟลร์กานได้กล่าวออกมา “เพราะพวกเธอกังวลเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยพวกนี้มากเกินไป”
ได้ยินเช่นนี้ วาเลร่า และ สเตลล่า ก็หันไปมอง แฟลร์กาน จนอีกฝ่ายได้นิ่งเงียบไป แฟลร์กานนั้นเหมือนกับพวกตาแก่ไม่มีผิด นอกจากจะบ่นเรื่องช่วยหลังที่เจ็บปวด เขายังมีความคิดเกี่ยวกับพวกคนหนุ่มสาวที่ค่อนข้างล้าสมัย
“เอาล่ะ เลิกพูดคุยไร้สาระกันได้แล้ว” อัลดิช ได้ตอบกลับ “ฉันต้องการกำจัดรังพวกนี้โดยเร็วที่สุด และ เก็บเลเวลให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่นอนว่า อย่าได้ทำลายรังพวกนี้ทั้งหมดเพราะมันอาจจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป”