ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 168 ศิษย์นิกายม่อจื้อ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 170 ถ้ำผีดิบ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 169 นักพรตผีดิบ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 169 นักพรตผีดิบ

แปลโดย iPAT  

หลี่ฉิงซานเข้าใจทันที ดังคาด จ้าวจื่อป๋อขายเขาแล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ตรงข้าม มันจะน่าแปลกใจหากจ้าวจื่อป๋อไม่ทำ ตอนนี้เขาเพียงกังวลว่าจ้าวจื่อป๋อจะเชื่อในความแข็งแกร่งของนักพรตผีดิบหรือไม่ หากเชื่อ เขาจะไม่มาจัดการหลี่ฉิงซานด้วยตนเอง

นักพรตผีดิบกล่าวกับกลุ่มของจางหลานฉิง “พวกเจ้ายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขา แต่ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างเท่าเทียมและเปลี่ยนพวกเจ้าเป็นผีดิบเช่นกัน...” เขาปฏิบัติกับฝ่ายตรงข้ามราวกับพวกเขาเป็นเนื้อที่วางอยู่บนเขียง

ก่อนที่นักพรตผีดิบจะกล่าวจบ ศิษย์นิกายม่อจื้อทั้งห้าก็เหนี่ยวไกหน้าไม้และปล่อยพายุอีกาเพลิงออกไปแล้ว

หลี่ฉิงซานยืนอยู่ด้านหนึ่ง ทั้งหมดที่เขาเห็นคือลูกดอกอีกาเพลิงยาวสามนิ้วจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงออกจากหน้าไม้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีชนิดนี้

พายุอีกาเพลิงพุ่งเข้าสู่เป้าหมายและระเบิดแยกร่างของนักพรตผีดิบออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

จางหลานฉิงและอีกสามคนรู้สึกมีความสุขแต่หลี่ฉิงซานกลับชักดาบวายุออกมาอีกครั้ง ห่าวปิงหยางตะโกน “ระวัง มันเป็นร่างปลอม!”

หลี่ฉิงซานมองห่าวปิงหยาง คนผู้นี้สมกับเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอย่างแท้จริง เขามีทั้งพละกำลังและมันสมอง หากนักพรตผีดิบถูกกำจัดได้โดยง่าย ชื่อของเขาคงไม่อยู่ในบัญชีดำของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มานานถึงเพียงนี้

“ปัง ปัง ปัง ปัง...”

ฝาโลงศพหลายสิบโลงในห้องเก็บศพเปิดออก ผีดิบลุกขึ้นมาจากโลงศพเหล่านั้น ดวงตาของพวกมันเบิกกว้างพร้อมกับมือที่ยื่นออกมาข้างหน้าขณะที่พวกมันพุ่งเข้าหาคนทั้งหก

เพื่อหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนนักพรตผีดิบ กลุ่มของห่าวปิงหยางจึงไม่ได้กำจัดซากศพเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกปิดล้อมทันที

ผีดิบห้าตัวพุ่งเข้าหาหลี่ฉิงซาน แต่เขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว ดาบวายุในมือของเขาระเบิดแสงและส่งดาบสายลมพุ่งออกไปทั้งสี่ทิศทาง

ดาบสายลมปะทะร่างผีดิบและสร้างเสียงทื่อๆเหมือนมีดเจาะเข้าไปในเนื้อไม้ ผีดิบทั้งห้าชะงักไปเล็กน้อยแต่แขนสีน้ำเงินอมม่วงทั้งสิบยังพุ่งเข้าหาหลี่ฉิงซาน เล็บของพวกมันเหมือนมีดสั้น พิจารณาจากเล็บสีดำ หลี่ฉิงซานสามารถบอกได้ทันทีว่ามันมีพิษ

ห่าวปิงหยางตะโกนไปทางหลี่ฉิงซาน “เจ้าต้องใช้กำลังทั้งหมดโจมตีในครั้งเดียว!” ผีดิบแปดตัวพุ่งเข้าหาเขาแต่เขายังสงบนิ่ง เขายกปืนใหญ่แสงขึ้นและใช้มันทุบศีรษะผีดิบที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นเขาก็โคจรพลังปราณและกวาดมันออกไปในแนวนอน ผีดิบเจ็ดตัวกระเด็นออกไปรอบๆ

ตอนนี้เขาดูเหมือนเทพสงครามที่กำลังอาละวาด

อย่างไรก็ตามนอกจากผีดิบที่ศีรษะแหลกและอีกสองตัวที่กระดูกทั่วร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกห้าตัวยังสามารถลุกขึ้นจากพื้น พวกมันไม่มีความรู้สึกและไม่กลัวตาย

หลังจากได้รับคำเตือนจากห่าวปิงหยาง หลี่ฉิงซานคิดว่า ‘ตั้งแต่ข้าเป็นผู้เดินทางข้ามโลก ข้าจะลืมความรู้ทั่วไปเช่นนี้ได้อย่างไร?’

เขาคว้าเสี่ยวอันและกระโจนขึ้น

สิบแขนและห้าสิบเล็บเหมือนปากของสัตว์ร้ายที่พยายามงับเขาจะด้านล่าง ผีดิบห้าตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกันและมองหลี่ฉิงซานด้วยสายตาที่ว่างเปล่า พวกมันกระโดดขึ้นเช่นกันแต่เข่าของพวกมันไม่สามารถงอได้ ดังนั้นมันจึงดูเหมือนมีสปริงอยู่ใต้เท้า

หลี่ฉิงซานกระทืบลงมาอย่างแรงและบดขยี้ศีรษะของผีดิบตัวหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยืมแรงกระแทกส่งตัวเองพุ่งขึ้นและทะลวงเพดานออกไป

ฝุ่นผงและเศษกระเบื้องหล่นลงมาพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาในห้องเก็บศพ

กลางอากาศ หลี่ฉิงซานอุ้มเสี่ยวอันไว้ด้วยมือซ้ายขณะที่มือขวาจับดาบวายุไว้อย่างแน่นหนา

ผีดิบทั้งสี่ไม่สามารถกระโดดได้สูงเท่าเขาก่อนจะตกลงบนพื้น

หลี่ฉิงซานไม่สนใจพวกมัน ผีดิบเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่แรก แม้พวกมันจะแข็งแกร่งและตายยาก แต่พวกมันขาดสติปัญญา พวกมันไม่สามารถแม้แต่จะเปรียบเทียบกับสัตว์ป่าทั่วไป

ไม่ว่าจะมีพละกำลัง ความเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนองที่ดี หรือมีจำนวนนับพันตัว พวกมันก็ไม่สามารถแตะต้องเขา

เขาต้องระวังเพียงคนเดียว มันคือนักพรตผีดิบที่ยังไม่ปรากฏตัว ตามข้อมูลของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ นักพรตผีดิบมีทักษะในการซ่อนตัวและมีดาบเงาสังหาร เขาเชี่ยวชาญการลอบโจมตี

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านบริเวณโดยรอบของห้องเก็บศพ มันกวาดเอาเศษหญ้าและกิ่งไม้แห้งออกไปแต่ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นแม้แต่คนเดียว

หลี่ฉิงซานคิดว่าหากเขาเป็นนักพรตผีดิบ มีสองทางเลือกที่เขาต้องพิจารณาเพื่อชัยชนะ หนึ่งคือฆ่าคนอ่อนแอที่สุดก่อนเพื่อลดความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม อีกหนึ่งคือฆ่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดโดยตรงเพื่อชิงความได้เปรียบ

อย่างไรก็ตามเขาจะต้องเปิดเผยตัวเองหากเขาเลือกที่จะฆ่าคนที่อ่อนแอที่สุดก่อนและนั่นจะนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะถูกศัตรูที่แข็งแกร่งโจมตี ด้วยเหตุนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดคือรอโอกาสโจมตีศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับแรกซึ่งคนผู้นั้นก็คือห่าวปิงหยาง

ห่าวปิงหยางและหลี่ฉิงซานเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจผีดิบมากนัก อย่างไรก็ตามสำหรับจางหลานฉิงและคนอื่นๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ผีดิบจำนวนมากอยู่รอบตัวพวกเขาขณะที่พวกเขาไม่มีเวลาบรรจุลูกดอกชุดใหม่ลงในหน้าไม้

ผีดิบหลายสิบตัวพุ่งเข้าหาพวกเขาจากทุกทิศทาง แม้พวกมันจะไร้สติปัญญาแต่เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด พวกมันสามารถแยกคนทั้งห้าออกจากกันได้อย่างมีชั้นเชิง

จินเป่าอ่อนแอที่สุด เขากลิ้งไปบนพื้นขณะที่เล็บของผีดิบพุ่งตามเขาไปไม่ห่าง หากเขาช้ากว่านี้อีกวินาทีเดียว เขาจะถูกแยกร่างอย่างแน่นอน ก่อนที่เขาจะทันได้ลุกขึ้น ผีดิบสามตัวก็แยกเขี้ยวและพุ่งเข้าหาเขา ตอนนี้เขามีเพียงมือเปล่า แล้วเขาจะหยุดผีดิบเหล่านี้ได้อย่างไร เขาทำได้เพียงปิดเปลือกตารอคอยความตายเท่านั้น

จินหยวนตะโกน “จินเป่า!” เขาต้องการช่วยน้องชายของเขาแต่ผีดิบสี่ตัวหยุดเขาเอาไว้ เขาแทบจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ เหออี้ซื่อและจางหลานฉิงก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน

“ใช้หุ่นเชิด เจ้าโง่!” ห่าวปิงหยางเห็นศิษย์น้องของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เขาไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เขาเหมือนหลี่ฉิงซานที่กำลังค้นหานักพรตผีดิบ เขาไม่กล้าประมาท เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหกเพียงคนเดียวของกลุ่ม หากเขาได้รับบาดเจ็บหรือตาย คนอื่นๆก็ไม่สามารถรอดชีวิต

ในช่วงเวลาคับขัน จินเป่าสามารถเรียกหุ่นเชิดออกมาได้ทันเวลาทำให้เขารอดชีวิตมาได้อย่างฉิวเฉียด

ผีดิบสามตัวพุ่งเข้าหาหุ่นเชิด ด้วยการโจมตีอย่างหนักสามครั้งติดต่อกัน ร่างของหุ่นเชิดก็เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว กรงเล็บผีดิบสามารถเจาะเหล็ก หากไม่ใช่เพราะหุ่นเชิดตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุชนิดพิเศษ มันคงถูกทำลายไปแล้ว อย่างไรก็ตามแม้มันจะยังอยู่แต่มันก็คงอยู่ได้อีกไม่นานนัก

ผีดิบสี่ตัวที่เคยโจมตีหลี่ฉิงซานพุ่งเข้าหาจินเป่า หุ่นเชิดมีไว้สำหรับโจมตี ไม่ใช่เพื่อเป็นเกราะป้องกัน นั่นทำให้มันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของจินเป่าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังขณะที่เขากรีดร้อง “ช่วยข้าด้วย!”

ห่าวปิงหยางถอนหายใจอยู่ภายใน ขณะที่เขากำลังจะใช้ปืนใหญ่แสงช่วยศิษย์น้องของเขาโดยไม่สนใจภัยคุกคามที่อยู่ในความมืด สายฟ้าสีขาวก็พุ่งเข้ากลืนกินผีดิบหลายตัวที่อยู่ใกล้ๆจินเป่าและทำลายล้างพวกมันลงอย่างสมบูรณ์

ปรากฏว่าหลี่ฉิงซานใช้ยันต์สายฟ้าฟาด แต่เขาไม่แม้แต่จะตรวจสอบผลลัพธ์ของมัน เขามองไปทางจางหลานฉิงและส่งดาบสายลมพุ่งออกไป

“ดี!” ห่าวปิงหยางยกย่องเสียงดัง เขายกปืนใหญ่แสงขึ้นและเล็งไปที่จางหลานฉิงเช่นกัน

จางหลานฉิงไม่สามารถช่วยจินเป่าแม้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้า ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับผีดิบเจ็ดตัว เมื่อดาบสายลมและปืนใหญ่แสงพุ่งเข้ามาหาเขา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“เคร้ง!”

ดาบสายลมมาถึงเท้าของจางหลานฉิง เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นขณะที่ดาบเล่มเล็กปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

ดาบเล่มเล็กขยายใหญ่ขึ้นแต่มันยังถูกส่งลอยกลับหลังด้วยการโจมตีของหลี่ฉิงซาน

เป็นเพียงเวลานี้ที่ลำแสงจากปืนใหญ่มาถึงและทำลายดาบลงอย่างสมบูรณ์

เสียงกรีดร้องที่น่าสมเพชดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งที่ปรากฏออกมาจากมุมมืด

หลี่ฉิงซานและห่าวปิงหยางหันหน้ากลับไปและรีบวิ่งไปตามทิศทางของเสียงกรีดร้อง

“มา!” ห่าวปิงหยางโยนปืนใหญ่แสงทิ้งและยื่นเท้าไปทางหลี่ฉิงซาน

“ไป!” หลี่ฉิงซานกระทืบเท้าลงบนพื้นและยืมแรงกระแทกเพื่อใช้หมัดผลักส่งเท้าของห่าวปิงหยางออกไป

ห่าวปิงหยางทะยานร่างออกไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ เขาพุ่งผ่านพุ่มไม้และเข้าใกล้เป้าหมายอย่างรวดเร็ว เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายและใช้ฝ่ามือพลังปราณพุ่งเข้ากระแทกขมับทั้งสองข้างของร่างนั้นและระเบิดมันทิ้ง

หลี่ฉิงซานรู้สึกผิดหวัง นักพรตผีดิบผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก

ห่าวปิงหยางเดินเข้าไปหาศพไร้หัวและเตะมันทิ้ง “ร่างปลอมอีกครั้ง!”

เมื่อดาบบินของนักพรตผีดิบถูกทำลาย จิตวิญญาณของเขาก็ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามเขายังสามารถใช้ร่างปลอมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ กล่าวได้ว่าเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

หลี่ฉิงซานยกปืนใหญ่แสงขึ้นและศึกษามัน จากนั้นเขาก็ยักไหล่และโยนมันกลับไปให้ห่าวปิงหยาง

ห่าวปิงหยางเก็บปืนใหญ่แสงกลับเข้าไปในกระเป๋าร้อยสมบัติก่อนจะขมวดคิ้ว “เจ้าหนู หมัดนั่นแรงเกินไป!”

หลี่ฉิงซานกล่าว “หากไม่แรง เจ้าจะไล่ตามเขาได้อย่างไร?”

ทันใดนั้นห่าวปิงหยางก็กล่าวว่า “ดาบเงาสังหารถูกทำลายแล้ว ไอ้สารเลวนั่นจะอ่อนแอลงมาก นี่เป็นโอกาสดีที่จะฆ่าเขา”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ความสามารถพิเศษของเขาคือการปรับแต่งและควบคุมศพ ไม่ใช่ดาบ นี่เป็นเพียงหนึ่งในสถานที่ที่เขาเลี้ยงดูผีดิบเท่านั้น อย่าบอกว่าเจ้ามีแผนการที่จะเข้าไปในถ้ำผีดิบเพื่อค้นหาจอมยุทธ์ขั้นหกที่เร้นกายอยู่? และมันเหมือนที่เจ้ากล่าว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า”

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นอกห้องเก็บศพขณะที่การต่อสู้ภายในยังดำเนินต่อไปแต่พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปยุ่ง