ตอนที่ 743 นกหวาดเกาทัณฑ์
ฉินเจิ้นมองดูสายรุ้งในเมืองจื่อจวนจากที่ไกลหน้าของเขาเย็นชา ‘ใครจะรู้ว่าว่านางหลุดพ้นเป็นอิสระจากจาก‘เสน่ห์หยกลวงตา’ ของข้าได้’
‘นอกจากนี้ พลังของนางดูเหมือนจะบรรลุเข้าระดับใหม่...’
ฉินเจิ้นสงบใจลงและตระหนักได้ทันทีว่าเขาลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองจื่อจวน ‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้สวี่เย่และพวกกล้าบุกโจมตีตระกูลฉินของข้า?’
ฉินเจิ้นรู้จักคู่ต่อสู้ของเขาในเมืองดี เบนสันเป็นคนที่ดูหยาบกร้านแต่มีไหวพริบมาก วิคเตอร์เป็นคนเอาแน่นอนไม่ได้ โรแลนด์ ซูเป็นคนจิตใจมั่นคงที่สุดและสวี่เย่ยอดเยี่ยมมากที่สุด แต่ขณะเดียวกัน เขารู้จุดอ่อนของพวกเขาทุกคน ต่อให้เว่ยหานมู่เจ๋อและหน่วยพลธนูของฉินจื่อเจินถูกทำลาย เขารู้ว่าพวกเขาไม่กล้าทำอะไรตระกูลฉินอยู่ดี
ขณะที่เขาเข้าใจพวกเขา พวกเขารู้จักตระกูลฉินดีเช่นกัน พวกเขารู้ว่าตระกูลฉินมีฉินเจิ้นคอยค้ำยัน ตราบใดที่ฉินเจิ้นไม่ตาย พวกเขาไม่มีทางกล้าทำอะไรตระกูลฉินแน่
แม้ว่าสี่ตระกูลจะไม่พอใจต่อตระกูลฉินก็ตาม แต่ฉินเจิ้นไม่เคยสนใจพวกเขา ไม่ว่ายังไงพวกเขาจะทำอะไรได้?
ในที่สุดพวกเขาก็กล้า
นั่นคือสิ่งที่ฉินเจิ้นไม่สามารถเข้าใจได้เว้นแต่พวกเขาไม่กลัวเขาล้างแค้น ‘บางทีพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากใครสักคนหรือว่าพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาไม่ค่อยดีเท่าใดนัก’ ฉินเจิ้นใช้เวลาคิดอยู่สองสามวันนี่เป็นเรื่องที่ค้างคาใจของเขามากที่สุด
สถานการณ์ของตัวเขาเองไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก เขารู้ความลึกซึ้งของตระกูลหลู และไม่เคยท้าทายพวกเขา จากนั้นฉินเจิ้นคิดเกี่ยวกับเรื่องตระกูลฉินและรู้ว่าพวกเขาไม่มีศัตรูมาก
‘เหลือความเป็นไปได้เพียงประการเดียว พวกเขาได้คนสนับสนุน’
คนแรกที่เข้ามาในความคิดของฉินเจิ้นก็คือบุรุษหน้ากากผี แต่เขาสลัดความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว ‘บุรุษหน้ากากผียังแข็งแกร่งไม่พอ เขาก็มีเพียงแค่นั้น เขาสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนด้วยการฆ่าเว่ยหานมู่เจ๋อและหน่วยพลธนู แต่เขาก็ยังมีฝีมือห่างจากข้า’
ยอดฝีมือในทำเนียบนักสู้แดนบาป คือสุดยอดนักสู้ของแดนบาป
‘บุรุษหน้ากากผียังห่างจากคนในทำเนียบนักสู้’
‘ทำให้สวี่เย่และพวกมีความมั่นใจขนาดนั้นต้องมั่นใจว่าเป็นยอดฝีมือจากทำเนียบสุดยอดนักสู้ และต้องมีลำดับที่สูงมากกว่าข้า และคนขี้ขลาดพวกนั้นจึงจะทำเรื่องเลวร้ายได้’
‘มันเป็นใครกันแน่?’
‘หลูเทียนเหวิน?’
หน้าของฉินเจิ้นคร่ำเคร่ง ‘หรือว่าพวกเขาสมคบกับตระกูลหลู?’ จากนั้นฉินเจิ้นส่ายศีรษะอีก ‘เมืองจื่อจวนไม่มีความหมายต่อตระกูลหลูเลย พวกเขาไม่ใช่แม้แต่เพื่อนบ้านมีเมืองสายลมคั่นอยู่ นอกจากนี้ถ้าตระกูลหลูเป็นศัตรูที่แท้จริงของตระกูลฉิน พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ข้ากลับ’
‘พลังของหลูเซิงเซียงน่ากลัวมาก’
‘งั้นจะเป็นใครไปได้?’
ฉินเจิ้นเค้นสมองคิดแต่ไม่สามารถคิดถึงใครได้ สวี่เย่และพวกที่เหลือพึ่งพิงใครอยู่ แต่เขารู้ชัดดีว่าสี่ตระกูลจะไม่วู่วามหาเรื่องตระกูลฉิน หนึ่งในพวกเขาอาจเป็นไปได้ แต่สำหรับสี่ตระกูลรวมกำลัง เขาไม่เชื่อว่าพวกเขาจะโง่กันขนาดนั้น
สายรุ้งเหนือเมืองจื่อจวนทำให้ฉินเจิ้นไม่แน่ใจมากขึ้น หลังจากโกรธในตอนแรกแล้ว ฉินเจิ้นเต็มไปด้วยความสงสัย มือที่อยู่ในเงามืดทำให้เขาเกิดอาการเสียวสันหลัง
‘พวกเขาสะสมกำลังและรออยู่แน่นอนใครจะรู้ พวกเขาอาจเตรียมตัวลอบทำร้ายและรอข้าอยู่ก็ได้’
เมืองจื่อจวนในระยะไกลกลายเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่สามารถกลืนกินทุกคนได้อย่างง่ายดาย และเต็มไปด้วยอันตราย เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือในตระกูลฉิน และสามารถทำอะไรลงไปโดยไม่ไตร่ตรองไม่ได้!
‘ข้าคือคนสำคัญที่สุดของตระกูลฉิน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ตระกูลฉินก็ยังคงอยู่’
ประกายตาดุร้ายฉายผ่านดวงตาของฉินเจิ้น ทันใดนั้นเขาคิดเรื่องของหลูเทียนเหวิน และรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก ‘เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตในเมืองจื่อจวน แต่ทำไมหลูเทียนเหวินถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไร?’
‘บุรุษหน้ากากผีอ่อนแอมากกว่าหลูเทียนเหวินแน่นอน และต้องถูกฆ่าไปแล้ว’
เขาคิดดูแล้วและบินไปที่ปราสาทเขาสะท้อนอย่างเงียบงัน
เขาจำตำแหน่งปราสาทเขาสะท้อนได้อย่างเลือนราง และตรงไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบ เมื่อเขามาถึงปราสาทเขาสะท้อน ที่นั่นว่างเปล่า แต่สายตาของเขาไม่ได้มองที่ปราสาทแต่มองดูพื้นที่ใกล้ๆ
‘ยอดภูเขาพังทลายหินแตกกระจาย มีหลุมใหญ่ที่เกิดจากแรงระเบิดทุกจุดแสดงว่ามีการต่อสู้ดุเดือดที่นี่’
‘หลูเทียนเหวินลงมือแล้ว’
เศษกฎธรรมชาติที่เหลืออยู่ในอากาศและปราสาทเขาสะท้อนที่ว่างเปล่านั่นคือเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบ ฉินเจิ้นเดาว่าหลูเทียนเหวินคงพาตระกูลเซวียจากไปแล้ว เมื่อคิดว่าบุรุษหน้ากากผีถูกฆ่าไปแล้ว แม้แต่ศพของเขาก็หาไม่เจอแต่ก็ถือว่าเป็นจุดจบที่สมเหตุสมผลที่สุด
‘ข้าไม่เห็นร่องรอยว่าหลูเทียนเหวินจะนำตระกูลเซวียจากไปเลย’
‘เป็นไปได้ไหมว่า... เป็นหลูเทียนเหวินจริงๆ ที่อยู่ในเมือง
ทันใดนั้นฉินเจิ้นรู้สึกว่าเป็นไปได้ ตระกูลหลูไม่เห็นเขาเป็นศัตรู แต่หลูเทียนเหวินอาจแตกต่างอย่างสิ้นเชิง หลูเทียนเหวินเป็นคนไร้เหตุผลเจ้าอารมณ์และอำมหิตมาก ชอบทำอะไรตามใจตนเอง ‘ถ้าสวี่เย่ที่เป็นคนเจ้าเล่ห์อยู่กับฝ่ายของหลูเทียนเหวินคงเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากแน่นอน
‘นักโทษหน่วยสุญญตาของตระกูลฉินข้า อาจทำให้ตระกูลหลูอิจฉา หลูเซิงเซียนอาจไม่ทำ แต่พวกเขามั่นใจหลูเทียนเหวินได้หรือ?
‘ถ้าหลูเทียนเหวินเป็นผู้ทำทุกอย่างจริงๆ ตระกูลหลูจะทำอะไรได้?’
‘พวกเขาจะไม่ตำหนิหลูเทียนเหวินแน่นอน และจะถือโอกาสกินรวบข้า’ ยิ่งฉินเจิ้นคิดมากเท่าใด ก็ยิ่งกลัวมากขึ้น ‘ใช่แล้วหลูเทียนเหวินกำลังรอข้า รอให้ข้าเข้าไปติดกับ
ฉินเจิ้นเต็มไปด้วยอารมณ์เช่นนั้นจึงหนีไปเหมือนกับนกหวาดเกาทัณฑ์หายลับไปในยามราตรี
***************
หลูหลิงหนานออกไปจากโรงเตี๊ยมเงียบๆตั้งใจจะใช้ความมืดยามราตรีหนีออกไป
เมื่อสี่ตระกูลทำลายตระกูลฉิน เขาก็ยืนอยู่ที่นั่นมองดูและยินดีกับความหายนะของคนอื่น ไม่ว่ายังไงก็ตามเมืองจื่อจวนไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลูอยู่แล้ว และหลูหลิงหนานต้องการมองดูพวกเขาฆ่ากันเอง แต่เขายังประหลาดใจกับความกล้าของสี่ตระกูลฉินเจิ้นยังเป็นนักสู้ในสุดยอดทำเนียบนักสู้
และเมื่อสี่ตระกูลออกไปนอกเมืองเพื่อต้อนรับบุรุษหน้ากากผีและตระกูลเซวียกลับเข้าเมืองจื่อจวน หลูหลิงหนานรู้สึกได้เลือนรางว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่คิดอะไรมากเกินไป ‘เจ้าต้องการอาศัยบุรุษหน้ากากผีฆ่าหลูเทียนเหวินงั้นหรือ? ตลกเป็นบ้า!’ แต่เขาคิดว่าใครจะรู้ว่าหลูเทียนเหวินเพียงแต่วนเวียนอยู่โดยรอบ ทุกคนมักจะปวดหัวเมื่อมาเจอกับอาของเขา แค่เพียงพลังของเขาก็โดดเด่นแล้วทุกคนได้แต่อดทนและยอมรับหลูเทียนเหวิน
แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงของฝ่ายสี่ตระกูล ทำให้หลูหลิงหนานรู้สึกไม่สบายใจ ‘ไม่มีเหตุผลเสียเลยที่พวกเขาพึ่งพาบุรุษหน้ากากผีในตอนนี้ และไม่ใช่โอกาสที่ดีเลย’ ทันใดนั้นเขาคิดถึงเรื่องสี่ตระกูลใหญ่ล้างตระกูลฉิน และความสงสัยเขาก่อนนั้นว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังสี่ตระกูล หลังจากค่อยๆ คิดแล้ว ก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลกมากขึ้น ‘ทำไมสี่ตระกูลถึงคิดว่าบุรุษหน้ากากผีสามารถเป็นผู้หนุนหลังพวกเขาได้?’
‘หรือว่าบุรุษหน้ากากผีสู้กับฉินเจิ้นมาแล้ว?’
‘เป็นไปไม่ได้!’
เขารีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว ‘ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้เล่า? จะเป็นยังไงถ้าบุรุษหน้ากากผีแข็งแกร่งมากกว่าฉินเจิ้น? จะเป็นยังไงถ้าเขามีพลังมากกว่าท่านอาเทียนเหวิน..’
ความคิดนั้นทำให้เขาสั่น
‘ถ้าเป็นเช่นนั้น อย่างนั้นอาเทียนเหวิน เขา....’
‘ถ้าเป็นเช่นนั้น อย่างนั้นทุกอย่างสามารถอธิบายได้...’
การคาดเดาที่ไร้สาระนี้กัดกินจิตใจของหลูหลิงหนาน ทำให้เขากลัวมากขึ้น
‘ข้ารอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไปที่ตระกูล ถ้าเป็นเรื่องผิดพลาดก็ดีไปแต่เรื่องใหญ่เช่นนั้น ไม่นานเลยจะเป็นความสูญเสียใหญ่ของเรา’
เขาแค่ลอบออกมาจากโรงเตี๊ยม เมื่อมีร่างหนึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา
หน้าของหลูหลิงหนานเปลี่ยน เถี่ยเซีย!
*********************
“ตอนนี้เราต้องได้เวลาเพิ่มขึ้น”
เมื่อสวี่เย่และพวกที่เหลือปรากฏ เนี่ยชิวกล่าวตามตรง
“ทหารที่เพิ่งได้รับอิสระจำเป็นต้องได้เวลาเรียนรู้แผ่นสุญญากาศและดาบมารพิฆาต ต้องรู้แจ้งกฎธรรมชาติ และต้องทำความคุ้นเคยกับรูปแบบรบของเขา ทั้งหมดต้องการเวลา ถ้าเราสามารถจบเรื่องทั้งหมดนี้ได้ เราจะมีพลังเพิ่มมากขึ้น”
“รู้แจ้งกฎธรรมชาติ? ทั้งหมดนี่น่ะหรือ? นั่นไม่จริงแล้ว” สวี่เย่ไม่สามารถคัดค้านได้ แต่อดแทรกไม่ได้ คนอื่นมีสีหน้างงกันหมด
‘นี่พวกเขาพูดตลกอะไรกันนี่ แม้ว่าการรู้แจ้งเพื่อสร้างสายใยกฎธรรมชาติจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่พวกเขาจะเลือกเก็บกฎธรรมชาติในช่วงเวลาสั้นๆได้ยังไง?’ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหน้ากากผีเชื่อมั่นในเนี่ยชิว พวกเขาคงสงสัยว่าคนตาบอดคงเป็นมือสมัครเล่น
“นั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับพวกเขาทุกคนแล้ว” น้ำเสียงของเนี่ยชิวยังคงสงบไม่มีแววโกรธ สายตาที่ทุกคนมองเขาทำให้เขาแจ้งให้พวกเขารู้เห็นหลักฐานมากขึ้น “ก่อนนี้ ทหาร 65คนของเราได้รู้แจ้งและสร้างสายใยกฎธรรมชาติในเวลาที่น้อยกว่าสองวัน”
ทุกคนยังคงเงียบ แต่หน้าของพวกเขายังมีแววเหลือเชื่อ พวกเขาไม่มั่นใจ แต่เมื่อเห็นว่าถังเทียนไม่ได้ปฏิเสธ ทุกคนสงสัย ‘หรือว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์ระดับสูงจริงๆ ?’
“สร้างแผ่นสุญญากาศก็ค่อนข้างง่ายเช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาว่าอาจต้องมีการสู้กันทางอากาศ รูปแบบการสู้รบในอากาศยังยากกว่า ดังนั้นเวลาฝึกจะต้องเพิ่ม” น้ำเสียงของเนี่ยชิวยังงราบเรียบ “ท่าดาบแรกของดาบมารพิฆาตก็ยังจะรับมือได้ง่ายมาก แม้ว่ากระบวนการฝึกจะเป็นแบบใหม่ แต่เนื่องจากเราผ่านการฝึกฝนฝึกซ้อมมาแล้วสำหรับพวกเขาก็จะใช้ออกได้ง่าย แต่การจะให้พวกเขาเชี่ยวชาญทั้งหมดจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง”
“เราต้องใช้เวลาเท่าใด?” ถังเทียนถาม
“อย่างน้อยก็หนึ่งเดือน” เนี่ยชิวตอบ
ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อ มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้มาก และแม้แต่พวกเขายังรู้สึกว่าไม่ง่ายจะทำให้สำเร็จ แต่หนึ่งเดือนเรียนรู้ทั้งหมด? นี่มันตลกจริงๆ!
“เราไม่มีเวลามากนัก” วิคเตอร์กล่าว“ฉินเจิ้นคือคนที่มากไปด้วยความระแวง เมื่อไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง เขาจะไม่ปรากฏตัวแน่นอน แต่เขาจะยังซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหรืออาจจะมีความคิดอื่นก็ได้ นอกจากนี้ยังมีตระกูลหลูความตายของหลูเทียนเหวินไม่อาจปกปิดได้นาน ข้าคิดว่าในอีกสิบวัน ถ้าตระกูลหลูไม่มีข้อมูลของหลูเทียนเหวิน พวกเขาอาจจะเริ่มสงสัย แม้ว่าเราจะพิจารณาเวลาช่วงนี้ ก็คงจะไม่เกินยี่สิบวัน”
ถังเทียนคิดอยู่ชั่วขณะก็ถามเนี่ยชิว “ถ้าพวกเขามีเวลาหนึ่งเดือน พวกเขาจะมีพลังมากเท่าใด?”
“พวกเขาสามารถสู้กับหลูเทียนเหวินได้ ”น้ำเสียงของเนี่ยชิวยังคงสงบไม่มีความหวั่นไหวใดๆราวกับว่าเรื่องทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องปกติ
สวี่เย่และคนที่เหลือไม่เชื่อเขาอีกต่อไป
ถังเทียนถาม “ท่านมีความคิดยังไง?”
ข้อเสนอแนะหนึ่งดือนของเนี่ยชิวไม่ใช่คำนวณมาอย่างประมาทเลินเล่อ แต่มีแนวโน้มว่าเปี่ยมไปด้วยแผนการ
“ด้วยความก้าวหน้าของแม่นางกู้เสวี่ย บวกกับหานปิงหนิงและอาโมรี่พวกเขาสามารถรวมอยู่ในขบวนศึกได้ นอกจากยอดฝีมือจากสี่ตระกูล ถ้าเราป้องกันตำแหน่งของเราอย่างแข็งขัน ต่อให้หลูเทียนเหวินมาอีกครั้ง เราก็ไม่เสียเปรียบอีกต่อไป แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าฉินเจิ้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าหลูเทียนเหวิน แต่ถ้าพวกเขามีมาตรฐานระดับเดียวกัน เราไม่ควรจะมีปัญหาอะไรมาก”
เนี่ยชิวพูดตามตรง
ถังเทียนเข้าใจเขา “อย่างนั้นเราจะถ่วงเวลาตระกูลหลูได้ยังไง?”
“ตอนแรกเควรโจมตีสร้างความสับสนในสถานการณ์เพิ่มเวลาให้ตระกูลหลูตั้งตัว”
เนี่ยชิวตอบอย่างใจเย็น