ตอนที่ 742 สหายเก่า
บริวารของถังเทียนจัดตั้งตามระบบของพวกเขาเอง ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องของหน่วยสุญญตา สำหรับเรื่องกิจการของเมืองจื่อจวนถังเทียนปล่อยให้สี่ตระกูลจัดการ สำหรับเขาแล้ว เมืองจื่อจวนเป็นที่พักพิงชั่วคราวซึ่งเขาไม่ตั้งใจจะอยู่นานสี่ตระกูลเป็นคนท้องถิ่นและมีประสบการณ์จัดการกิจการมากกว่าเขา
ในพริบตาถังเทียนตระหนักว่าเขามีเวลาเพื่อตนเองอีกครั้ง และเขาสามารถฝึกฝนได้อีกครั้ง
“โรแลนด์ซูเข้ามาคุยด้วยความเคารพ ”คุณชาย เรามีเชลยอีกคนหนึ่ง”
ถังเทียนตกใจ “เชลย? เป็นหนึ่งในพวกเราหรือ?”
โรแลนด์ ซูส่ายศีรษะ “ไม่, นี่คือขุนพลลำดับสองใต้ร่มธงของฉินเจิ้นเมื่อเราโจมตีตระกูลฉิน นางมักอยู่ในอาการวิกฤติ นอกจากนี้สถานการณ์ของนางดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้น คุณชายต้องการมาดูเองหรือไม่?
สวี่เย่ไม่รู้จะทำยังไงกับการคัดค้านของโรแลนด์ซู สำหรับเขาแล้วขุนพลลำดับที่สองควรถูกฆ่า เนื่องจากพวกเขาเป็นแขนขาของฉินเจิ้น การช่วยพวกเขาไปไม่มีความหมาย การฆ่าต่างหากเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง แต่โรแลนด์ ซูเป็นคนจิตใจดี เมื่อเห็นว่าขุนพลลำดับที่สองเป็นสุภาพสตรี นางจึงต้องการปกป้อง
น่าเสียดายแม้พยายามใช้วิธีต่างๆ โรแลนด์ ซูก็ไม่สามาถปลุกเด็กสาวผู้นี้ได้
“แปลกด้วยหรือ?” ถังเทียนชักสนใจ
โรแลนด์ ซูถอนหายใจโล่งอก นางกลัวว่าท่านหน้ากากผีจะเป็นฆาตกรที่โหดเหี้ยมและอาจจะวู่วามมาก แต่เขากลับต่างจากที่เล่าลือกันมากและเป็นคนที่ใจดี ดังนั้นนางตอบทันที“ใช่แล้ว, ผู้น้อยรู้สึกว่าอาจถูกคนทำให้สับสน และการฆ่านางคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย”
วิคเตอร์ยืนอยู่ข้างๆ ได้กล่าวขึ้น “เบื้องหลังของนางลึกลับนางไม่น่าจะใช่ชาวเมืองจื่อจวน ทำไมนายท่านไม่ไปดูนางด้วยตัวเอง”
ถังเทียนไม่ลังเลและพยักหน้าทันที “งั้นเราไปดูกัน”
โรแลนด์ ซูนำทาง และถังเทียนตามพวกเขาลึกมาถึงบ้านของเจ้าเมือง ขณะนั้นมีแต่เพียงจงเจิ้นเยียนเหม่ยได้หนีออกไปจากตระกูลฉิน และการต่อต้านสี่ตระกูลใหญ่พบว่าอ่อนลงมากดังนั้นพวกเขาจึงไม่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเจ้าเมืองจนเกินไป และค่อนข้างจะรักษาสภาพไว้ดี
แม้ว่านางจะอยู่ในสภาพหลับใหลไม่ได้สติ แต่โรแลนด์ ซูไม่กล้าประมาท ให้คนหลายคนยืนเฝ้านางไว้
เมื่อเข้าไปในห้อง ถังเทียนขมวดคิ้วอากาศเปล่งกลิ่นอายเฉพาะแบบ
บนเตียงมีสตรีสวมหน้ากากเงินนอนอยู่ และหมอกน้ำเงินม้วนตัวอยู่โดยรอบตัวนาง
เป็นไปตามคาด เมื่อถังเทียนเข้าไปในห้อง เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่เป็นของหมอกเสียงและเพลิงน้ำเงิน เทียบกับสายใยกฎที่ประทับในตัวเขาหมอกบนร่างสตรีบนเตียงนี้หนักกว่ามาก จนถึงขนาดที่ร่างกายของนางล้อมรอบไปด้วยหมอกสีฟ้า
หมอกน้ำเงินแปลกประหลาดออกมาจากร่างของสุภาพสตรีมันม้วนตัวเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตจากนั้นกลับเข้าไปในร่างของนาง
หน้าของทุกคนจริงจัง สวี่เย่มองดูโรแลนด์ ซู เขาฝึกกฎธรรมชาติเป็นตายและมีความไวต่อสัมผัสต่อกลิ่นอายความตาย แต่เขาไม่เคยเห็นหรือรู้สึกถึงหมอกน้ำเงินมาก่อนและตัดสินใจว่ามันคืออะไรกันแน่
นั่นคือสาเหตุที่เขาอยากจะฆ่านาง หมอกน้ำเงินแปลกประหลาดและไม่เสถียรบางทีอาจส่งผลต่อคนอื่น และเพื่อประโยชน์ของเชลยผู้นี้ คงไม่คุ้มค่า เขามีความกังวลของเขาและไม่พอใจโรแลนด์ ซูและวิคเตอร์ ถ้ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับนายท่าน ใครจะแบกรับผลที่ตามมา?
สวี่เย่ยังคงเงียบ
ตาของถังเทียนเป็นประกาย แม้ว่าหมอกน้ำเงินเป็นเหมือนพิษสำหรับคนอื่น แต่มันคือสิ่งบำรุงเลี้ยงสำหรับเขา เพลิงน้ำเงินและหมอกเสียงบนมือรูปเทพอสูรนั้นเล็กน้อยมาก
เขาเดินไปที่เตียงรูปเทพอสูรปรากฏชัดในใจเขา และขณะเดียวกันเขาตั้งท่าปางมือด้วยมุทราหัตถ์เด็ดบุปผา
ทุกคนเป็นยอดฝีมือ พวกเขารู้สึกได้ว่ารัศมีรอบตัวถังเทียนเปลี่ยนไปทันที ความสมบูรณ์ของท่าปางมืออบอุ่นนุ่มนวลและยังมีรัศมีเปล่งออกมาจากถังเทียน ทำให้ดูราวกับว่าเขาเป็นคนแตกต่างไปอีกคนหนึ่งไม่มีรังสีฆ่าฟันเลย
‘นั่นคือวิชาอะไร?’ ทุกคนพูด พวกเขาไม่รู้สึกถึงความปั่นป่วนของกฎธรรมชาติ ‘ไม่มีความปั่นป่วนของกฎธรรมชาติแล้วรัศมีของเขาเปลี่ยนแปลงได้ยังไง?’ และพวกเขาไม่เคยเห็นรัศมีที่อบอุ่นนุ่มนวลแบบนั้นมาก่อน ทันใดนั้นพวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาอาบอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อบอุ่น พวกเขาเป็นผู้อาวุโสมีพลังใจแข็งแกร่งทุกคน ก็ยังตกใจก่อนจะตั้งสติได้ แต่หัวใจของพวกเขายังถูกความตกใจครอบงำคิดว่าถังเทียนผู้นี้ลึกล้ำสุดหยั่งคาด
สวี่เย่ถอนหายใจโล่งอก แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าถังเทียนได้รับตกทอดวิชาอะไรมา แต่ในเมื่อสามารถคลี่คลายหมอกน้ำเงินข้างหน้าพวกเขาได้ อย่างนั้นนั่นเป็นเรื่องดี
ชี่...!
มีเสียงดังออกมา ทุกคนมองดูขณะที่เกลียวหมอกน้ำเงินถูกอะไรบางอย่างดึงดูด และกลายเป็นควันธนูเบาบางที่เข้าไปสู่ปลายนิ้วของถังเทียน
ถังเทียนยังคงอยู่ในท่าปางมือหัตถ์เด็ดบุปผาสีหน้าของเขาอ่อนโยน หน้าของเขามีรอยยิ้ม
ในใจของเขามีภาพเทพอสูรปรากฏอยู่ด้านหลังของเขาอยู่ในท่าปางมือเดียวกัน หมอกน้ำเงินเข้าไปในร่างของเขาและลอยเข้าไปในปลายนิ้วท่ามุทราหัตถ์เด็ดบุปผาของภาพเทพอสูร เพลิงน้ำเงินลุกโชนมากขึ้นและขนาดเพลิงน้ำเงินที่เล็กค่อยๆมีขนาดเท่าแสงเทียนลอยเงียบๆ อยู่บนนิ้วของภาพ หมอกเสียงในอีกมือหนึ่งขยายขนาดอย่างรวดเร็วมีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าและสายเสียงดนตรีเริ่มดังมากขึ้น
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ถังเทียนนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเหมือนกับตุ๊กตา
หมอกน้ำเงินที่ลอยม้วนค่อยลดขนาดลงเรื่อยๆ และร่างของสตรีที่อยู่บนเตียงชัดเจนขึ้นหน้ากากเงินสวมปิดหน้านาง
เมื่อหมอกน้ำเงินสายสุดท้ายเข้าไปในปลายนิ้วของถังเทียนเขาลืมตาขึ้น มีแววพอใจฉายผ่านวูบหนึ่ง เปลวไฟน้ำเงินบนฝ่ามือเทพอสูรเกือบมีขนาดเท่ากำปั้น ขณะที่หมอกเสียงในมืออีกข้างหนึ่งคลุมรอบนิ้วหนานิ้วหนึ่ง
แม้ถังเทียนจะโง่แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อรูปเทพอสูร
หลังจากสลายมุทราหัตถ์เด็ดบุปผาแล้วเขามีความรู้สึกแปลกในใจ และสายตาของเขามองดูสตรีบนเตียง ‘หน้ากาก?’ เมื่อคิดว่าตัวเขาเองก็มีหน้ากากผี ถังเทียนดีใจ ‘ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนชอบใส่หน้าเหมือนกัน’
แต่เพราะนางเป็นเชลย ถังเทียนจึงไม่ต้องสุภาพแม้แต่น้อย โดยไม่พูดอะไรเขาถอดหน้ากากของนางออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม
ถังเทียนตกใจแต่วินาทีต่อมาก็โพล่งคำออกมา “กู้เสวี่ย!”
สวี่เย่และคนที่เหลือตกตะลึง แต่ครู่ต่อมาทุกคนได้แต่มองหน้ากันเองอย่างช่วยไม่ได้ มีแววหวาดหวั่นในดวงตาพวกเขา ‘นายท่านรู้จัก… นายท่านรู้จักสุภาพสตรีคนนี้จริงๆ!’
สวี่เย่ปาดเหงื่อที่หน้าผากโดยไม่รู้ตัว และยังมีเหงื่อหยดออกมาโดยไม่รู้ตัว ใจของเขาเต้นแรง ‘ข้ายังโชคดีที่ไม่ขัดขวางพวกเขา ถ้าข้าฆ่านางลงไป...’
เมื่อคิดถึงผลที่ตามมา ใจเขาสั่นสะท้าน
สุภาพสตรีสาวบนเตียงได้ยินเลือนรางว่ามีบางคนตะโกนเรียกนาง นางค่อยๆ ลืมตาและสิ่งที่ปรากฏในสายตานางคือใบหน้าที่นางคิดถึงอยู่ทุกวันทุกคืน
‘ข้ากำลังฝันอีกแล้ว’
นางหัวเราะคิกคัก จากนั้นหลับต่อ
“เฮ่ยเฮ่ย เฮ่ย, กู้เสวี่ย ตื่นเดี๋ยวนี้เลย!”
จากนั้นนางรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนฉุดให้นางลุกขึ้นและเขย่าตัวนางรุนแรง
‘ฝันนี้เป็นจริงเป็นจังเกินไปแล้ว’
กู้เสวี่ยยิ้มต่อและยังคงดื่มด่ำกับการหลับใหลของนาง นางต้องการหลับต่อ
ถังเทียนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของกู้เสวี่ยและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ‘หรือว่ากู้เสวี่ยได้รับบาดเจ็บตรงที่ใด? หรือว่าข้าไม่ได้กำจัดประทับกฎอย่างเหมาะสมหรือเปล่า’ ในท่ามกลางความกระวนกระวายตาของถังเทียนกลายเป็นโกรธ เขาตวาดลั่น “กู้เสวี่ย!”
เขาระเบิดความโกรธอีกครั้งทำให้ภายในห้องมีกระแสปั่นป่วนไม่มีสุดสิ้น
สวี่เย่และพวกที่เหลือรู้สึกหูอื้อสมองลั่นอึงอล
กู้เสวี่ยตื่นขึ้นเพราะเสียงตวาดด้วยความโกรธทันที นางลืมตาอย่างงุนงง แต่ใบหน้าที่อยู่ต่อหน้านางไม่ได้หายไป แต่ยังดูห่วงใยกังวลถึงนาง นางตะลึงและหลังจากนั้นชั่วครู่นางพึมพำไม่แน่ใจ “ถังเทียนหรือ?”
ถังเทียนดีใจทันทีและหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า, กู้เสวี่ย, ข้าเองไงเล่า! ตัวจริงเสียงจริง ในที่สุดเจ้าก็จำข้าได้! เยี่ยมมาก!”
‘ข้าจะจำเจ้าไม่ได้ยังไง... ต่อให้เจ้าเหลือแต่เถ้าถ่านข้าก็ยังจำเจ้าได้...’
หน้าของกู้เสวี่ยมียิ้มเปี่ยมเสน่ห์แจ่มใสทันที และดวงตานางเป็นประกายระยิบระยับเหมือนวังวนสายรุ้งทันใดนั้นห้องเต็มไปด้วยสายรุ้งและกู้เสวี่ยที่ยังอยู่บนเตียงลอยตัวขึ้นในกลางอากาศ
ทุกคนตะลึงกับภาพที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา โรแลนด์ซูยื่นมือไปคว้าสายรุ้งโดยไม่รู้ตัวแต่ไม่มีอะไรติดมาขึ้นมา
“เราถอยกันเถอะ”
ถังเทียนยังคงยิ้มน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะสามารถพบกับกู้เสวี่ยได้ และนอกจากนี้ หลังจากช่วยนางแล้วเขาไม่คาดเลยว่านางจะก้าวหน้าสู่ระดับใหม่ในเวลาเช่นนี้
หน้าของสวี่อันจงถูกความตกใจครอบงำ สำนึกกระบี่!
‘ภายในสายรุ้งนี้ มีสำนึกกระบี่อยู่จริงๆ!’
‘ไม่มีความเย็นยะเยือก แต่เป็นภาพลวงตาและอบอุ่นนี่คือสำนึกวิชากระบี่แบบไหนกัน?’
หลังจากออกจากห้องถังเทียนสังเกตเห็นสายรุ้งขนาดมหึมาปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าเมืองจื่อจวนสร้างความประหลาดใจให้คนนับไม่ถ้วน แดนบาปไม่มีดวงอาทิตย์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเห็นสายรุ้ง และเพียงแต่ได้ยินจากบรรพบุรุษพวกเขาเกี่ยวกับความงดงามของสายรุ้ง
พลเมืองชาวเมืองจื่อจวนทุกคนเดินออกมาที่ถนนและแหงนหน้ามองเห็นสายรุ้งที่งดงามเกินจะบรรยาย
ถังเทียนมองดูสายรุ้งเหนือศีรษะเขา สำนึกกระบี่ที่อบอุ่นและลวงตาทำให้เขานึกถึง
กระบี่ราชันย์ถวิลรัก!
กู้เสวี่ยมองดูเหมือนกับว่านางกำลังอาบแสงอาทิตย์ และถูกชำระโดยท้องฟ้าสีน้ำเงิน สายรุ้งสายแล้วสายเล่าปรากฏในท้องฟ้า หน้าของนางมีรอยยิ้มพอใจ
‘ราชันย์ถวิลหารัก,ความถวิลหาของข้าจะไม่มีทางถูกทำลาย’
‘สายรุ้งคือความถวิลหาของข้า’
ภายในหมอกน้ำเงินจองจำที่ทำให้สภาพใจนางสับสน นางอยู่ในสภาพกึ่งฝันกึ่งลวงตา แต่นางไม่เคยยอมแพ้ นางประสบกับการทำลายล้างตระกูลของนางมาแล้ว และต้องกอบกู้ตระกูลของนางกลับมา ดังนั้นนางจึงไม่ใช่คนมีอัธยาศัยอ่อนแอ
นางรู้ว่านางยังตามหลังถังเทียนห่างไกล นางรู้ว่านางคงสามารถช่วยเขาได้เล็กน้อย เขาเป็นเหมือนวีรบุรุษที่สามารถปราบไปทั่วสวรรค์วิถี และนางเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตระกูลเล็กในดวงดาวเล็ก
‘แต่เหมือนกับสิ่งที่ถังเทียนพูด แล้วไงเล่า?’
‘ถ้าข้าเป็นคนอ่อนแอ อย่างนั้นข้าก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งพอจะช่วยเขาได้ ก็เหมือนกับที่เขาช่วยข้า’ นางจัดการทุกอย่างในตระกูลของนางจนกระทั่งพวกเขามั่นคงและปลอดภัย ก่อนที่จะออกเดินทางโดยไม่ลังเล
นางเดินทางมาแดนบาปโดยไม่ได้ตั้งใจ และถูกฉินเจิ้นใช้หมอกน้ำเงินควบคุม แต่สภาพใจนางที่ถูกคุมขังไม่มีทางยอมแพ้ เพื่อตัวนางเอง เพื่อคนที่นางตามหาเพื่อสายรุ้งและเพื่อหลายสิ่งหลายอย่าง
‘ถ้าเป็นเขา เขาจะไม่ยอมแพ้แน่นอน’
นั่นคือวิธีที่นางให้กำลังใจตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน
การต่อต้านในจิตใจนางยากลำบากมาก เพราะในใจของคนผู้หนึ่ง ไม่มีอะไรสามารถซ่อนอยู่ได้ไม่มีอะไรสามารถปิดบังได้ ไม่มีอะไรหลีกเลี่ยงได้ เหมือนกับศัสตราวุธที่เรียกเลือดได้ง่ายๆ นางกระทบกระเทือนบอบช้ำ แต่นางไม่ยอมแพ้ และไม่เคยอ่อนข้อให้
‘ข้าคือสตรีสายรุ้ง ข้าจะยอมจำนนต่อพวกเขาได้ยังไง? ข้าจะยอมแพ้ได้ยังไง?’
ภาพลวงตาจากหมอกน้ำเงินและความสับสนจากเสียงเพลงทำให้กู้เสวี่ยรู้สึกเจ็บปวดมาก แต่ขณะเดียวกันก็ยังเป็นประโยชน์ต่อนาง
พลังกระบี่ราชันย์ถวิลรักเป็นวิทยายุทธเฉพาะแบบ แฝงไปด้วยความคิด อารมณ์ ความมั่นใจความเชื่อถือและสภาพใจของนางมีความชัดเจนขึ้นทำให้การรู้แจ้งและความเข้าใจกระบี่ราชันย์ถวิลรักของนางลึกซึ้งยากหยั่งถึง
นางเหนือกว่านักฆ่าปีศาจหวังหย่ง(เจ้าของวิชา) มานานโดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่งในที่สุด เมื่อนางลืมตาและเห็นถังเทียนทุกสิ่งทุกอย่างที่สั่งสมมาจากความรู้แจ้งประกอบกับบาดแผลทั้งหมดในใจนางและสายรุ้งทั้งหมดที่ไม่เคยจางหายไป ในที่สุดก็พบจุดบรรจบที่สมบูรณ์แบบหล่อหลอมรวมกันทำให้นางเข้าสู่ระดับฝีมือใหม่
‘สายรุ้งคือความถวิลหาของข้า’