ตอนที่ 741 กลับเข้าเมืองจื่อจวน
“ปราสาทเขาสะท้อนยังปิดอยู่หรือ?”
น้ำเสียงของสวี่เย่เป็นหนึ่งในคนที่กังวล ไม่ใช่แค่เพียงเขาเท่านั้น หน้าของคนอื่นเต็มไปด้วยความกังวล ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้
บุกจู่โจมตระกูลฉินไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมาย ไม่มีฉินเจิ้นและมีแต่เพียงสองขุนพลจากสี่ขุนพลที่ยังรอดอยู่ และเมื่อไม่มีหน่วยพลธนูของเฉินจื่อเจิน ตระกูลฉินก็อยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด ดังนั้นพวกเขาจะหยุดการโจมตีจากสี่ตระกูลได้อย่างไร?
ตระกูลฉินถูกพวกเขากำจัดไปแล้ว พวกเขาได้รับนักโทษหน่วยสุญญตาและส่งคนไปยังปราสาทเขาสะท้อนทันทีเพื่อขอร้องให้กับบุรุษหน้ากากผีกลับมายังเมืองจื่อจวน สมาชิกตระกูลฉินถูกขับไล่ทั้งหมด และสี่ตระกูลจะอาศัยบุรุษหน้ากากผี ก็หมายความว่าเมืองจื่อจวนเปลี่ยนเจ้าเมือง
แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือปราสาทเขาสะท้อนปิดประตูเงียบ และแม้ว่าคนของพวกเขาจะตะโกนอยู่นอกปราสาทอยู่ครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็ไม่เปิดประตู มีแต่หมิงจูตอบพวกเขาทันทีว่าท่านหน้ากากผีขังตัวฝึกฝีมือและพวกนางจะไม่เปิดปราสาทจนกว่าเขาจะออกมา
เมื่อบริวารพวกเขากลับไปรายงานทุกคนมองหน้ากันเอง ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
สถานการณ์อ่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฉินเจิ้นจะต้องกลับมายังเมืองจื่อจวนแน่นอน และถ้าบุรุษหน้ากากผีกลับมาก่อน พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลต่อความปลอดภัยของพวกเขา ท่านหน้ากากผีสามารถฆ่าหลูเทียนเหวินก็หมายความว่าฉินเจิ้นไม่สามารถทำอะไรเขาได้
แต่ใครจะรู้กันว่าในช่วงเวลาวิกฤติอย่างนั้น บุรุษหน้ากากผีจะปิดประตูฝึกฝีมือ!
ไม่มีการปกป้องของบุรุษหน้ากากผี พวกเขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสู้กับฉินเจิ้นได้ ในอดีตพวกเขาไม่เคยพบกับการต่อสู้ของนักสู้ในทำเนียบนักสู้ แม้ว่าพวกเขารู้ว่าฉินเจิ้นจะแข็งแกร่งมากกว่าพวกเขามาก แต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกกดดัน
จนกระทั่งพวกเขาได้เห็นประจักษ์การต่อสู้ระหว่างหลูเทียนเหวินและบุรุษหน้ากากผี ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าบุคคลในทำเนียบนักสู้นั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงไหน หลูเทียนเหวินอยู่อันดับที่ 39 ในทำเนียบยอดนักสู้ ฉินเจิ้นอันดับที่ 3 มีความแตกต่างกันเพียงสี่อันดับ มาตรฐานของพวกเขาไม่ต่างกันมาก
ถ้าฉินเจิ้นเร่งรีบกลับมา สี่ตระกูลจะต้องฝืนสู้กับเขา และสี่ตระกูลจะจบสิ้นเหมือนกับตระกูลฉิน สมาชิกทุกคนจะถูกขับไล่หรือไม่ก็ถูกฆ่า หรืออาจถูกกำจัดจนสิ้นซากก็ได้
ทุกคนหันไปมองดูวิคเตอร์
วิคเตอร์โบกมือพัลวัลด้วยท่าทีไร้เดียงสา “แม้ว่าข้าจะเป็นคนออกความคิดนี้ แต่พวกเจ้าก็เห็นตกลงด้วยความยินดี นอกจากนี้ ต่อให้เราล้มเหลว ตระกูลข้ายังจะได้รับการยกเว้นอีกหรือ? ตระกูลข้ายังจะหนีพ้นเงื้อมมือเขาหรือ?”
โรแลนด์ซูเป็นคนแรกที่ยืนยันเข้าข้างวิคเตอร์ “ใช่แล้ว! นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาปัดความรับผิดชอบ ทุกคนเลือกที่จะทำเช่นนี้ด้วยความเต็มใจ ตอนนี้เราควรรวมตัวเหนียวแน่นเข้าไว้หาทางรอดจากเหตุการณ์นี้”
เบนสันพยักหน้าและตอบ “เราเตรียมพร้อมไว้เป็นดีที่สุด”
ทุกคนสงบจิตใจได้และยังคงเงียบ พวกเขารู้ว่า “การเตรียมพร้อม”ที่เบนสันพูดหมายถึงอะไร
ขณะนั้นเอง หน่วยสอดแนมวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้น “มีคนมาจากปราสาทเขาสะท้อน!”
ทุกคนลุกขึ้นทันที ในที่สุดก็ยกภูเขาลงจากอกพวกเขาได้สักที เวลานี้ทุกคนรู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ความรู้สึกว่ามียอดฝีมือผู้ทรงกำลังจากทำเนียบนักสู้ผู้ทรงอำนาจจะมาฆ่าพวกเขาเมื่อใดก็ได้เป็นแรงกดดันที่หนักหน่วง แรงกดดันที่มองไม่เห็นนั้นกดดันจนทุกคนหายใจไม่ออกทำให้พวกเขาไม่สามารถกินและพักได้เช่นกัน
หมิงจูมองดูประตูเมืองที่ซ่อมแซมใหม่และมีคนมาต้อนรับพวกเขาถึงข้างนอกก็รู้สึกตื้นตันมาก
วันที่ถังเทียนทำลายประตูเมืองด้วยหมัดเดียว นางนำตระกูลของนางผ่านซากหักพังด้วยอารมณ์ที่หนักใจ วันนั้นนางเต็มไปด้วยความกลัวและอยู่ในสภาพสูญเสีย อนาคตในสายตานางมืดมัวมาก เวลานั้นพวกนางอพยพไปโดยไม่รู้ว่าจะได้เห็นแสงสว่างของวันใหม่หรือไม่
แต่ในอีกไม่กี่วันต่อมา พวกนางกลายเป็นผู้ชนะและได้รับการต้อนรับกลับสู่บ้านตระกูลเซวียของพวกนางอย่างยิ่งใหญ่
หมิงจูอดมองดูหน้าของท่านหน้ากากผีไม่ได้
เป็นเขาที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยการยกย่องให้เกียรติของสวี่เย่และพวกที่เหลือที่มีต่อพวกนาง หมิงจูเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันเช่นนี้ และนางเชื่อว่าพวกเขาก็คงไม่มี เบนสันไม่เคยคิดว่าหลังจากสู้กับท่านหน้ากากผีแล้ว เขาจะยังยินดีต้อนรับการกลับมาของเขาถึงนอกเมือง เมื่อสวี่เย่และพวกที่เหลือพูดถึงท่านหน้ากากผีในอดีต พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าพวกเขาจะยอมเป็นบริวารของเขา
บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งมีอำนาจมาก
ไม่เพียงแต่มีพลังอำนาจเท่านั้น แม้แต่ความก้าวหน้าก็ไวมากด้วย เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็ถูกทิ้งห่างไกล
เมื่อจบการฝึกฝนของเขา ถังเทียนตะลึงเมื่อเขาได้ยินคำรายงานของหมิงจู และตื่นเต้นทันที เขากำลังคิดหาวิธีช่วยนักโทษหน่วยสุญญตาออกมาจากตระกูลฉิน แต่ไม่คาดเลยว่าสวี่เย่และพวกที่เหลือจะทำให้เขาเรียบร้อย
ไม่มีความยุ่งยากอีกต่อไป ถังเทียนตัดสินใจกลับเมืองจื่อจวนทันที
เขาไม่สนใจว่าตระกูลต่างๆ จะคิดยังไง แต่ตราบใดที่เขาสามารถช่วยพี่น้องของเขาได้ทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาต้องการใช้เขา เขาก็ไม่สนใจ
ความเปลี่ยนแปลงในเมืองจื่อจวนสร้างความตกใจให้ทุกคนเช่นกัน และคนแรกที่มีปฏิกิริยาแรกก็คือเนี่ยชิวในทันใดนั้นเขาเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นและประเมินสถานการณ์
แต่เมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัย หน่วยสุญญตาทั้งหมดถูกระดมพล
สมาชิกหน่วยสุญญตาทุกนมีพลังแข็งแกร่งขึ้นมาก
หานปิงหนิงจุดไฟต้นกำเนิดได้กลายเป็นสมาชิกของหน่วยสุญญตาที่ทำเช่นนั้นได้ และเป็นเพียงคนเดียวที่รู้แจ้งกฎธรรมชาติผิวเผิน ในทั่วแดนบาป ยากที่จะหาคนที่ทำได้ทั้งสองอย่าง
พลังของอาโมรี่ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เขาควบคุมเพลิงสุญญตาได้ทั้งหมดและปล่อยออกมาได้รอบตัวเขา แม้แต่รัศมีที่เปล่งออกมาจากเขาก็เปลี่ยนไป จากตอนแรกที่เขาเป็นคนวู่วาม ก็กลายเป็นคนที่สงวนท่าทีมากขึ้นและยังมีความอดทนของขุนพลผู้ยิ่งใหญ่
พยุหะหยินหยางของเนี่ยชิวก็บรรลุความสำเร็จเบื้องต้น ร่างหยินหยางของเขามีรูปแบบของตัวอ่อนแล้ว สำหรับสมาชิกหน่วยสุญญตาทุกคนมีพลังใจสูงส่งและห้าวหาญ
สวี่เย่และพวกที่เหลือซึ่งอยู่ที่ทางเข้ารอรับถังเทียนสั่นสะท้านกับภาพที่พวกเขาเข้ามาใกล้
พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความลึกล้ำของบุรุษหน้ากากผี แต่พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความแตกต่างของคนที่เหลือ เมื่อสวี่อันจงเห็นหานปิงหนิง เขาแทบไม่เชื่อสายตา ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มือกระบี่จุดเพลิงต้นกำเนิดได้? ‘มือกระบี่ผู้จุดไฟต้นกำเนิดได้ นะนะ นี่...’
ความเปลี่ยนแปลงของอาโมรี่ทำให้โรแลนด์ซูตกใจเช่นกัน นางประทับใจต่อเขามากที่สุดในบรรดานักโทษ เหตุผลที่ทำให้เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างเห็นได้ชัด เหตุผลอื่นก็คือเขาเป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อใดก็ตามที่สหายของเขาถูกรังแกเขาจะเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามา
แม้ว่าจะเป็นคนที่หุนหันพลันแล่น แต่ก็เป็นคนให้ความสำคัญกับสหายของเขาอย่างลึกซึ้ง โรแลนด์ ซูชื่นชม
แต่หลังจากไม่ได้เห็นเขาสองสามวัน อาโมรี่ดูเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขามั่นคงและสงวนท่าที ไม่เปล่งประกายพลัง เห็นได้ชัดว่าเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่และเพิ่มความแข็งแกร่ง
สวี่เย่และวิคเตอร์มองหน้ากันเอง พวกเขาสามารถเห็นความตกใจในดวงตาของกันและกัน
กระบวนทัพและกลยุทธของทหารได้หายไปในแดนบาปนานแล้ว ปัจจุบันแดนบาปแปลกประหลาดกับสิ่งที่เรียกว่ากองทัพ แต่สวี่เย่และวิคเตอร์เป็นคนที่มาจากตระกูลที่เข้มแข็ง และแม้ว่าพวกเขาจะไม่คุ้นเคยกับทหาร พวกเขาก็ยังมีความรู้เช่นนั้น
คนเกิน 60คนมีราศีพลังรวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน
จังหวะการหายใจของพวกเขาเข้ากันได้เป็นอย่างดี และถ้าประมุขของแต่ละตระกูลมองเห็นพวกเขาใกล้ๆ อาจจะเข้าใจพวกเขาผิดว่าเป็นสัตว์ร้ายโบราณเดียวดายที่กำลังหายใจ
เมื่อใดกันที่รัศมีเช่นนั้นเคยปรากฏมีในแดนบาป?
“พวกเขาอยู่ที่ไหน?” ถังเทียนหันหน้าไปถาม
สวี่เย่และพวกที่เหลือตื่นจากภวังค์ของพวกเขา สวี่เย่กล่าวทันที “นายท่าน, โปรดตามข้ามา”
เมื่อถังเทียนไปถึงค่ายซึ่งใช้กักนักโทษ กลุ่มนักโทษจำนวนมากเงียบลงทันที ก่อนที่จะเปล่งเสียงโห่ร้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมือง
อาโมรี่วิ่งเข้าไปหาพวกเขาด้วยความตื่นเต้นและเริ่มแตะพวกเขา แม้แต่นางงามน้ำแข็งอย่างหานปิงหนิงก็ยังตื่นเต้นไปด้วย และยังมีอีกมากวิ่งเข้ามาและเริ่มช่วยกำจัดเข็มแสงออกจากร่างให้สหาย
มีนักโทษหลายคนมาจากระกูลฉิน นอกจากเดิมที่มีอยู่ 227 คน ก็คือ ตระกูลโซเบ็ทมี 42 คน ตระกูลหลูมีอีก 200 คนรวมทั้งสิ้น 469 คน
ตระกูลสวี่มีนักโทษ 92 คน รวมกับบริวารของถังเทียน 65 คน พวกเขามีรวม 626 คน
กำลังของบริวารของถังเทียนเพิ่มขึ้นทันที จำนวนของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ความมั่นใจของเนี่ยชิวก็เพิ่มขึ้นเช่นกันสำหรับแม่ทัพทหารทุกคน คน 60 และ 600 ถือเป็นจำนวนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในสวรรค์วิถี กองทัพมาตรฐานธรรมดามีคน 2000 คน ดังนั้น 600 คนอาจมองว่าเป็นกองทัพชั้นสาม แน่นอนว่าสำหรับกลุ่มดาวราชสีห์ กองทัพของพวกเขามีคนมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ที่จำนวนเป็นพัน
ในที่สุดเนี่ยชิวก็มีความรู้สึกว่าเขาสามารถใช้ได้ ขนาดกำลังพล 600นายก็สามารถออกแบบกลยุทธรบได้ และพลังที่เขาระดมกำลังทหารก็ทำได้ยิ่งใหญ่กว่า
หลังจากก้าวหน้าในรูปแบบหยินหยางเมื่อไม่กี่วันมานี้เขาก็มีความก้าวหน้าครั้งใหม่
กลยุทธสงครามทั้งหมดมีหลักการเดียวกันและนั่นก็เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังมากขึ้น สำหรับเนี่ยชิว แม่ทัพทหารที่โดดเดน เขามีความสำเร็จลึกซึ้งในเรื่องนี้ แม้ว่าการสร้างพลังของเขาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หลักการกลยุทธไม่เคยเปลี่ยน
ไม่มีความลังเลใจอะไรทั้งนั้น เขานำเสนอการฝึกฝนสองสามครั้ง
ก็เหมือนในอดีต ไม่มีปัญหาอะไร ข้อเสนอของเขาได้รับการยอมรับทั้งหมด
ทันใดนั้น อาโมรี่และหานปิงหนิงเดินลงไปในสนามและแบ่งกลุ่มใหญ่ออกเป็นสอง รับไปดูกลุ่มละคน พวกเขาไม่รู้สึกอายแม้แต่น้อย และไม่ยินดีจะปล่อยความรับผิดชอบให้กับคนอื่น ทั้งสองคนสั่งสมาชิกให้ตรวจสอบกันและกัน และจากนั้นจึงจัดระดับพวกเขา
สิบนาทีต่อมาทั้งสองจัดตั้งขบวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบร้อยทุกคน
สองนาทีต่อมาทั้งสองคนพาบริวารของตนไปเลือกค่ายที่พักของพวกเขาเอง
กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นมากไม่มีเสียง ไม่มีการพูดมาก ไม่มีผลักไสฉุดดึงกัน นอกจากเสียงของหานปิงหนิงและเสียงของอาโมรี่ ไม่มีใครในค่ายส่งเสียงเลย พวกเขาก้มหน้าและตรวจสอบตนเอง และมีไม่กี่คนที่ยกมือขึ้นเพื่อรายงานอาการบาดเจ็บของตนเอง
นอกจากนั้น ยังไม่มีเสียงเฮฮา ถ้าพวกเขาไม่เห็นกับตาตนเอง ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนถึง 600 คนอยู่ในค่าย
ปฏิกิริยาที่รวดเร็วและเด็ดขาดของพวกเขาควบคู่กับความเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติแต่เงียบของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงวินัยและพลัง ทำให้สวี่เย่และพวกที่เหลือรู้สึกจุกในอก พวกเขาไม่รู้ว่าทหารคืออะไร แต่ฉากภาพที่เงียบและมีวินัยต่อหน้าพวกนั้นสร้างความตกใจให้กับพวกเขามาก
เทียบกับนักรบฝีมือดีที่พวกเขาเคยพบเห็นมาก่อน คนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาอ่อนแอกว่ามาก แต่ถ้าพวกเขามายืนเข้าแถว พวกเขาคงมีแต่ทะเลาะกันและกัน มองหาข้อบกพร่องกันเอง และต่างจากกองทัพที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าจำเป็นต้องได้เหตุผลและผลตอบแทนทางการเงินเมื่อถูกผลักดันให้ทำบางอย่าง
แต่กองทัพที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา ไม่ก่อเสียงเลย พวกเขาสงบและเงียบและเคลื่อนไหวอย่างตรงไปตรงมา
หานปิงหนิงและอาโมรี่พาคนของพวกเขาออกไปพวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เมื่อเห็นสองกลุ่มออกไปอย่างเงียบๆ แล้วสวี่เย่และพวกที่เหลือได้แต่เงียบอย่างช่วยไม่ได้
‘บางทีคนกลุ่มนี้สามารถเปลี่ยนแปลงแดนบาปจริงๆได้’