ตอนที่ 739 จุดน้ำเงินเข้ม
“ตระกูลฉินถูกบุก?”
หน้าของหลูเซิงเซียงมีแววเย้ยหยัน เขาเห็นว่าฉินเจิ้นวิ่งขึ้นลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาบอกได้ว่าฉินเจิ้นเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ว่าเขาจะหยุดไม่ได้ แต่เขาก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ตระกูลฉินไม่มีความหมายอะไรไม่อาจเทียบกับตระกูลหลูได้ และตระกูลหลูไม่เคยโกรธอะไรนัก พวกเขาคิดว่าฉินเจิ้นประเมินตัวเองสูงเกินไป
หลูเซิงเซียงดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษมองดูคล้ายกับชาวนา แม้แต่ชุดที่เขาสวมใส่ก็ดูธรรมดามาก ตระกูลหลูกลายเป็นตระกูลที่เรียบง่ายนับตั้งแต่เขารับตำแหน่งประมุขตระกูล และมีเพียงหลูเทียนเหวินที่ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยในทั้งตระกูลซึ่งเป็นเรื่องที่หลูเซิงเซียงเองจนใจ
“นั่นสินะกล่าวกันว่าตระกูลอื่นสี่ตระกูลมีการร่วมกำลังกันและบุกจู่โจมตระกูลฉินและทำลายตระกูลฉินราบคาบ” พ่อบ้านประจำตระกูลรายงานด้วยความเคารพ “จงเจิ้งเยียนเหม่ยสามารถหลบหนีได้ แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและพูดได้เพียงประโยคเดียวเมื่อเขาเห็นฉินเจิ้นก่อนตาย”
“ฉินเจิ้นกลายเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต” คำพูดของหลูเซิงเซียนแฝงแววดีใจแม้จะเป็นเรื่องของภัยพิบัติก็ตาม
“ขอรับ” พ่อบ้านยิ้ม
“มีข่าวอะไรเกี่ยวกับหลูเทียนเหวินไหม?” หลูเซิงเซียงถามตามปกติ
“ยังไม่มี” พ่อบ้านยังคงยิ้มต่อไป
“ฮืม.. ใครจะรู้ว่าเขาหนีไปไหน” หลูเซิงเซียงพูดอย่างไม่สบายใจ “เขาไม่ทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอัน”
คราวนี้พ่อบ้านไม่พูด นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดได้
หลูเซิงเซียนมักเอ็นดูน้องชายของเขาตั้งแต่เล็ก เขาแตกต่างจากหลูเซิงเซียงที่เป็นคนหัวโบราณหลูเทียนเหวินมักจะดื้อด้านและป่าเถื่อนมาตั้งแต่เด็ก เขามักมีพฤติกรรมเหลวไหลอยู่เสมอ ชอบสู้ก่อนที่จะพูดจบประโยคเสมอซึ่งก่อให้เกิดเรื่องตามมามากมาย
แต่แม้ว่าเขาจะมีความคิดแนวต่อต้านดื้อด้าน แต่อัจฉริยภาพของเขาหลูเทียนเหวินก็สูงล้ำมาก หลูเซิงเซียงไม่พูดอะไรทันที แต่ถ้าไม่เพราะหลูเทียนเหวินรู้แจ้งช้าไปนิด เขาอาจไม่ใช่หยุดอยู่ที่ลำดับผู้ทรงพลังอำนาจที่ 39 แน่
แต่ถึงกระนั้นก็นับว่าเพียงพอให้ตระกูลหลูแสดงความหยิ่งลำพองต่อคนอื่นได้ เนื่องจากพวกเขามีนักสู้ที่แข็งแกร่งในทำเนียบนักสู้ผู้ทรงพลังอำนาจถึงสองคน
หลูเซิงเซียงไม่เคยกังวลเรื่องความปลอดภัยของหลูเทียนเหวิน และไม่กังวลว่าจะไม่สามารถรับตระกูลเซวียมาดูแลด้วย
แม้ว่าหลูเทียนเหวินจะคลั่งไคล้การต่อสู้และฆ่ามากเกินไปหน่อย แต่ไม่ว่าที่ไหนก็ตามจำนวนคนที่สามารถฆ่าเขาได้นับจำนวนแล้วไม่กี่คน และนอกจากนี้เขายังได้รับการปกป้องจากตระกูลหลู ตระกูลในเมืองจื่อจวนอาจกล้าบุกตระกูลฉิน แต่พวกเขาจะกล้าทำอะไรตระกูลหลู?
นี่เรียกว่าความแตกต่างในเงื่อนไขแฝง และเป็นเหตุให้หลูเซิงเซียงไม่เห็นฉินเจิ้นอยู่ในสายตา เขารู้สึกว่าความทะเยอทะยานของฉินเจิ้นมากเกินกว่ากำลังของเขาเอง
หลูเซิงเซียงส่ายศีรษะ และจากนั้นทิ้งเรื่องทั้งหมดไว้เบื้องหลัง
**************
ภายในปราสาทเขาสะท้อนไม่มีการเฉลิมฉลองชัยชนะ ทุกคนคร่ำเคร่งและไม่ว่าง หลังจากฆ่าหลูเทียนเหวิน ความรู้สึกถึงชัยชนะยังห่างไกลเกินไป กับฉินเจิ้นและหลูเซิงเซียง สองนักสู้ผู้แข็งแกร่งในทำเนียบนักสู้ สร้างแรงกดดันที่หนักหน่วงให้กับทุกคน
ความจริงการฆ่าหลูเทียนเหวินได้นับว่าเป็นโชค และหลายๆ อย่างไม่สามารถทำซ้ำได้อีก ถ้าพวกเขาต้องมาทำซ้ำอีกครั้งโอกาสที่พวกเขาจะล้มเหลวมีมากกว่าโอกาสชนะ
ขณะนั้นเหมือนกับว่าทุกคนกินยากระตุ้นบางอย่าง พวกเขาทุกคนฝึกฝนอย่างกระตือรือร้น
การสู้รบทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์การต่อสู้ที่โหดร้าย และยังคงแสดงให้เขาเห็นความหวัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับหลูเทียนเหวิน แต่การโจมตีของพวกเขาก็ยังส่งผลอย่างมากและพวกเขาไม่ใช่มด
ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าของพวกเขาเองชัดเจน ซึ่งทำให้พวกเขาตื่นเต้นมาก
ในสนามฝึกสมาชิกของหน่วยสุญญตาทุกคนนั่งขัดสมาธิ ร่างของพวกเขาเปล่งเพลิงสุญญตาน้อย
ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็คือเนี่ยชิว ภายในดวงตาที่ว่างเปล่าของเขา มีเส้นสีเทาบางๆและจุดสว่างหลายจุด เส้นสีเทาบางเป็นตัวแทนหยิน ขณะที่จุดสว่างเป็นตัวแทนหยาง
ยิ่งมันเข้าใกล้เขาก็ยิ่งมีความมั่นคงและเห็นจุดสว่างและเส้นสายสีเทา
จุดสว่างที่ใกล้ที่สุดจะมีเป็นสมาชิกหน่วยสุญญตานั่งขัดสมาธิ เขาเผชิญหน้ากับคลื่นพลังที่นำโดยเส้นสีเทาอย่างระมัดระวัง เส้นสีเทาเหล่านั้นก็คือระลอกปั่นป่วนของกฎธรรมชาติ และเนี่ยชิวตระหนักได้ว่าเส้นสีเทามีสัมผัสที่อ่อนไหวต่อระลอกกฎธรรมชาติ สำหรับสมาชิกหน่วยสุญญตา เนื่องจากพวกเขามีเพลิงสุญญาตาน้อย พวกเขาจึงเข้าใจสายใยกฎธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว
ในฐานะผู้บัญชาการทหารจากสวรรค์วิถี รังสีควบคุมของเนี่ยชิวโดดเด่นมาก แม้ว่าเขาจะตาบอด แต่เขามีประสาทสัมผัสที่ไวต่อความผันผวนของพลังงาน และนี่ทำให้รังสีควบคุมของเขามีความพิถีพิถันมาก
แนวเส้นผันผวนสีเทาทำให้เขาคิดถึงรังสีควบคุมทันที
เขาเริ่มทดสอบดู
สำหรับสมาชิกหน่วยสุญญตา พวกเขาทุกคนกำลังผ่านกฎธรรมชาติปรับเปลี่ยนของร่างกายตราบใดที่พลังร่างกายของพวกเขามีเพียงพอ พวกเขาสามารถเรียนรู้ดาบมารพิฆาตท่าที่สองได้ หลังจากได้มีประสบการณ์จากท่าที่หนึ่งแล้ว ทุกคนมีท่าทีดีใจมุ่งมั่นฝึกต่อท่าที่สอง
เมื่อจับคู่กับเนี่ยชิวก็ไม่ส่งผลต่อการฝึกฝนของพวกเขาและพวกเขาปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวรอบตัวพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
อาโมรี่ที่สามารถจุดไฟต้นกำเนิดได้ก็หมายความว่าเขามีระดับพลังที่สูงขึ้น แต่ก็มีปัญหาอยู่เช่นกัน เขาจำเป็นต้องปรับร่างกายให้สบายขึ้นการใช้พลังต้นกำเนิดแตกต่างไปมากเมื่อเทียบกับการใช้พลังร่างกาย
นอกจากนี้เขาจำเป็นต้องต้องดูดซับแก่นต้นกำเนิดชีวิตมากเป็นประจำ เรื่องการดูดซับพลังงานนั้นทำได้ง่าย แต่จะย่อยพลังงานนั้นทำไม่ง่ายเลยในการที่เขาต้องฟันและควงดาบยักษ์ต่อเนื่องกันเพื่อฝึกดาบมารพิฆาต
นอกจากนั้นเขาจำเป็นต้องฝึกการใช้แผ่นสุญญากาศ
วิชานี้บัญญัติขึ้นโดยถังเทียนไม่จำเป็นต้องใช้กฎธรรมชาติหรือพลังงานจำเป็นแค่ต้องใช้พลังงานร่างกายที่แข็งแกร่งพอขอเพียงเรียนการสร้างแผ่นสุญญากาศได้ พวกเขาจะสามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับพวกเขา เนื่องจากจะช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วว่องไวให้กับพวกเขา
ไม่ใช่เพียงอาโมรี่เท่านั้นที่จำเป็นต้องเรียน สมาชิกหน่วยสุญญตาทุกคนก็ต้องเรียนด้วยเช่นกัน
ดาบมารพิฆาตและการสร้างแผ่นสุญญากาศมีความเข้ากันได้เป็นอย่างดี
หานปิงหนิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเงียบห้องมีความเย็นจัด พื้นและกำแพงรอบๆ ตัวปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง รอบๆ ตัวหานปิงหนิงมีแสงเรื่อเรืองของสำนึกกระบี่ซึ่งก่อตัวเป็นลมหมุนอยู่รอบตัวนาง
พายุหมุนกระบี่หิมะน้ำแข็ง
เมื่อสำนึกกระบี่ของนางถูกปลดปล่อยออกมา มันยากจะควบคุมได้ และนางใช้สำนึกกระบี่ของนางขัดเกลาร่างของนาง
รังสีกระบี่โปร่งใสหลายชิ้นเป็นประกายวาววับอยู่ในอากาศเยือกเย็นซึ่งสั่นสะเทือนอยู่ในห้องรัศมีกระบี่เริ่มแตกกระจาย ชิ้นรัศมีกระบี่ขนาดใหญ่กลายเป็นรังสีกระบี่ขนาดเล็กลง และจากนั้นเหลือขนาดเพียงเท่าเล็บนิ้วมือรังสีกระบี่แตกสลายจนมีขนาดเป็นเม็ดเล็ก
เม็ดน้ำแข็งที่หน้าแน่นรวมตัวรายรอบหานปิงหนิงและหมุนเป็นเกลียวช้าๆ
ความเย็นเสียดกระดูกและสำนึกกระบี่เย็นยะเยือกเหมือนกับมีดาบน้อยนับไม่ถ้วนบินอยู่รอบตัว
หานปิงหนิงแบกรับความเจ็บปวดโดยไม่ส่งเสียงตลอดการปรับขัดเกลาร่างมักจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสมอ ไม่เพียงแต่นางไม่หยุดเท่านั้น แต่ยังคงปล่อยสำนึกกระบี่อย่างต่อเนื่องแตกกระจายและเพิ่มเม็ดน้ำแข็งที่คมขึ้นอีก
น้ำแข็งเริ่มทวีจำนวนหนามากขึ้นความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เหมือนกับถูกทรมาน
หานปิงหนิงไม่ส่งเสียงแต่อย่างใดนางสั่นสะท้านทั้งตัวต่อเนื่องไม่มีหยุด แต่นางยังคงปิดปากแน่น และไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย หลังจากสู้กับหลูเทียนเหวินนางเพิ่งฟื้นจากการขังตัวฝึกฝน และนางไม่รีบออกมาให้ทันเวลา ทำให้นางรู้สึกเสียใจ
แต่นางรู้ว่าพลังของนางยังไม่เพียงพอและถ้านางร่วมต่อสู้ด้วย นางจะเป็นแค่ตัวถ่วง เมื่อนางคิดว่าคนที่ฆ่าหลูเทียนเหวินได้ความจริงก็คืออาโมรี่ นางมิอาจยอมรับได้
‘ขอเพียงข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะสามารถต่อสู้เคียงข้างถังเทียน’
นางต้องการจุดไฟต้นกำเนิด!
ความเย็นที่กัดกร่อนและสำนึกกระบี่ค่อยขัดเกลาเลือดเนื้อและพลังใจของนาง นางไม่มีความหวาดกลัว
สำหรับถังเทียนเขามักจะมีวิธีการฝึกฝนต่างจากคนอื่นอยู่เสมอ เขาพบกับปัญหาหลายอย่าง
นับว่าเป็นเรื่องสมเหตุผลหากจะบอกว่าเขาได้รับประสบการณ์จากการต่อสู้มากมาย แม้ว่าหมัดเทพเจ้าจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ระยะห่างจากความสมบูรณ์ยังอยู่ไม่ไกล ที่สำคัญมากกว่า เขารับรู้เข้าใจร่างเทพอสูรจากท่าเสียสละพิฆาต
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้แจ้งร่างเทพอสูร หมัดของถังเทียนคงไม่มีความคืบหน้า
รูปเทพอสูรมีพลังมากมายอย่างมิต้องสงสัยและถังเทียนคาดว่าท่าสุดท้ายของวิชาดาบมารพิฆาตก็คือมารพิฆาตเดียวดายควรจะปลดปล่อยเงาเทพอสูรออกมาได้ หลังจากมีประสบการณ์ครั้งล่าสุด ถังเทียนเข้าใจได้โดยเร็วร่างเงาเทพอสูรปรากฏออกมาได้ยังไง แต่ร่างเงาเทพอสูรจะเลือนรางมากจากนั้นก็สลายหายไป
ถังเทียนคิดว่าเขาพลาดอะไรบางอย่างไป และหลังจากคิดชั่วขณะ เขาพยายามทำอีกครั้ง
ร่างเงาเทพอสูรปรากฏอีกครั้งแต่ก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ถังเทียนที่ไม่เชื่ออิทธิพลภายนอกลองครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรวดเร็ว แต่ทุกครั้งร่างเงาเทพอสูรจะแตกสลายหายไป
ถังเทียนรู้สึกว่าเขาทำบางอย่างผิด ดังนั้นเขาจึงสงบใจและทดสอบสองสามครั้ง และในที่สุดเขาพบสาเหตุ สาเหตุให้ร่างเงาเทพอสูรแตกกระจายหายไปมาจากจุดสีน้ำเงินเข้มในหัวใจของเขา
จากนั้นเขาคิดตรองดูนี่คือธนูของฉินจื่อเจินที่ยิงใส่เขาเมื่อเขาตะลุยออกนอกประตูเมือง
ประทับกฎสีน้ำเงินเข้มสามารถเข้าไปในร่างของเขาผ่านหมัดของเขา เพราะมันไม่เคยขัดขวางเขามาก่อนนอกจากเพิ่มรอยประทับสีน้ำเงินเข้มให้เขา มันไม่ส่งผลต่อเขาจึงทำให้ถังเทียนไม่ใส่ใจ
จนกระทั่งตอนนี้
พลังของเงาร่างเทพอสูรมีความน่ากลัวมาก แต่เพราะได้รับผลกระทบจึงทำให้ถังเทียนเห็นรอยประทับสีน้ำเงินเข้ม ว่าเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถปล่อยผ่าน
ร่างเงาเทพอสูรคือวิชาสำคัญจะช่วยให้ความสามารถต่อสู้ของถังเทียนเพิ่มขึ้น และถังทียนไม่สามารถทนให้อันตรายที่น่ากลัวนั้นแฝงอยู่ในตัวเขา
‘ประทับสีน้ำเงินเข้มนี้คือกฎแบบไหนกันแน่?’ ถังเทียนสงสัย สามารถทำลายกฎของร่างเงาเทพอสูรได้ต้องไม่ใช่สิ่งที่อ่อนแอแน่นอน
ถังเทียนแสดงร่างเงาเทพอสูรอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเพ่งความสนใจที่จุดน้ำเงินเข้ม และเห็นว่ามันปล่อยแสงสีน้ำเงินประหลาดทำให้ร่างเงาเทพอสูรแตกสลาย
‘แต่ทำไมมันไม่ทำลายร่างเงาเทพอสูรให้สลายไปในตอนนั้นเล่า?’
ถังเทียนคิดข้อสงสัยนั้น แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ และเขาตัดสินใจใช้วิธีทดสอบที่ง่ายที่สุด
เขาดึงพลังต้นกำเนิดออกมาและโจมตีใส่ประทับสีน้ำเงิน ในตอนแรก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่จุด เหมือนกับว่าไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย แต่เมื่อถังเทียนยังคงถ่ายพลังต้นกำเนิดอย่างต่อเนื่อง จุดน้ำเงินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
มันเปล่งแสงสว่างเลือนรางทำให้หัวใจของเขามีจุดแสงสีน้ำเงินมันสว่างมากขึ้นทุกที
ถังเทียนไม่ต้องการปล่อยให้ขึ้นอยู่กับโชค เป็นเรื่องอันตรายแน่นอน และถ้าเขาไม่กำจัดออกไปมันอาจจะโจมตีเขาเมื่อใดก็ได้ เขาสูดหายใจลึกและเริ่มกระตุ้นพลังต้นกำเนิดใส่จุดน้ำเงิน
จุดน้ำเงินสว่างขึ้นทุกทีถังเทียนครางและหน้าซีดทันที
ถังเทียนรู้สึกถึงสายใยแห่งรังสีที่อันตรายพุ่งออกมาจากจุดน้ำเงินในหัวใจของเขา ทำให้เขาเผชิญกับการโจมตีอย่างหนัก เป็นเหตุให้พลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขาปั่นป่วน เป็นเวลานาน 10 นาทีก่อนที่ถังเทียนจะฟื้นตัว
ตาของเขาเป็นประกายดุร้าย ต่อให้เขาต้องตัดชิ้นจุดน้ำเงินออกจากหัวใจของเขา เขาจำเป็นต้องกำจัดมัน
เขาเริ่มพักฟื้นและปล่อยให้ตัวเองฟื้นกำลังอยู่ในระดับสุดยอดอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เขาลืมตาและสูดหายใจลึกเขากระตุ้นพลังต้นกำเนิดทั้งหมด แต่ไม่ได้โจมตีจุดนั้นก่อน และปล่อยให้มันโคจรอยู่ในร่างของเขาพลังต้นกำเนิดเริ่มเข้าไปแทนที่และสะสมมากขึ้นจนกระทั่งเขาควบพลังต้นกำเนิดได้เกิน80%
ตอนนี้เลย!
คลื่นพลังต้นกำเนิดทะลักใส่เหมือนกระแสน้ำบ่าปะทะใส่ตรงจุดนั้น
ปัง! แสงสีน้ำเงินแพรวพราวถูกขับออกมาจากร่างของเขาทำให้ถังเทียนใจสั่นสะท้าน