ตอนที่ 737 ตัวต่อตัว สู้จนเฮือกสุดท้าย
บึ้ม!
ซุ่นเทียนจำไม่ได้แล้วว่าซัดเจ้าอ้วนไห่ลงไปนอนกับพื้นกี่ครั้ง 100 ครั้ง? 200 ครั้ง?
เขาทุบตีเจ้าอ้วนไห่จนกระทั่งบอบช้ำไปทั้งตัว แต่ทุกครั้งที่ล้มเจ้าสัตว์ประหลาดลงไปนอนกับพื้นได้ เจ้าอ้วนก็จะลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง แม้หลังแปลงร่างเป็นเบเฮมอธและได้รับบาดเจ็บหนักจนเลือดกระเซ็นเต็มหน้า แต่ตาสีแดงของเจ้าอ้วนไห่ก็ยังฉายประกายเต็มไปด้วยวิญญาณนักสู้ นี่ทำให้ซุ่นเทียนชักกังวลขึ้นมาเล็กน้อย และชักจะกลัวขึ้นมาบ้าง แม้ว่าเขาจะทุบตีเจ้าสัตว์ประหลาดนี้เป็นร้อยครั้ง แต่เขายังไม่สามารถทำลายเจตจำนงนักสู้ของเจ้าอ้วนไห่ลงได้
“ถ้าเจ้าคิดจะพึ่งพาอาศัยร่างของสัตว์ประหลาดนี้เพื่อจะเอาชนะให้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเอาชนะข้าได้!” ซุ่นเทียนแค่นเสียงเยาะเย้ย เขาโกรธแค้นขณะที่รู้ว่าเจ้าอ้วนไห่ไม่สามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างพลังพวกเขา แม้จะแปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดร่างกำยำก็ตาม
ซุ่นเทียนเหนือกว่าเจ้าอ้วนไห่ ไม่เพียงแต่พลังเท่านั้น แต่ยังเหนือกว่าทุกอย่างทุกทาง รวมทั้งฝีมือต่อสู้ ประสบการณ์สู้ ระดับพลัง สมบัติและอสูรศักดิ์
ถ้าเจ้าอ้วนไห่รอดตายในวันนี้ได้ เขาคงต้องล้างมือจากตำแหน่งเขาแน่ ที่สำคัญ เขาได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้มาก ถ้าเขาไม่สามารถฆ่าเจ้าอ้วนไห่ได้ภายใต้เงื่อนไขอย่างนี้แล้ว เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะไปท้าทายเย่ว์หยางผู้มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นทุกวันๆ? เพื่อจะทวงคืนสถานะที่โดดเด่นและความรู้สึกที่เหนือกว่าในฐานะคนรุ่นบรรพบุรุษของเขา หลังจากคิดอย่างหนักแล้ว เขาตัดสินใจเข้าร่วมในศึกนี้ ในความเป็นจริงไม่สำคัญว่าใครจะเป็นผู้ชนะในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นจ้าวปีศาจโบราณหรือเย่ว์หยาง เพราะการตัดสินครั้งสุดท้ายว่าใครจะเป็นผู้ครองหอทงเทียนไม่อยู่ในมือของเขาอีกต่อไป
ในฐานะนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสูงคนหนึ่ง ซุ่นเทียนไม่ยินดีให้คนรุ่นหลังเอาชนะผ่านเขาไปได้ เขาจะฉวยโอกาสนี้พิสูจน์คุณค่าตนเองในฐานะนักรบ
“หมัดฮิปโปดาวตก!” คำตอบของเจ้าอ้วนไห่ จะเป็นคำตอบเดิมๆ เสมอ
ในการเผชิญกับซุ่นเทียน เขาต้องใช้วิชาต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เนื่องจากวิชาอื่นถูกขัดขวางป้องกันได้ง่าย เขารู้ว่าเขาไม่สามารถปล่อยพลังได้เต็มที่ในทักษะวิชาอื่น บางครั้งวิชาเหล่านั้นก็เป็นเหตุให้เขาเจ็บหนัก
เขาไม่เคยคาดหวังเลยว่าจะเอาชนะซุ่นเทียนได้
ระหว่างสู้กับซุ่นเทียนเขาแค่ต้องการโจมตีใส่เป้าหมายของเขาเท่านั้น อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ยังดี เพียงต่อยให้ได้หมัดเดียวใส่ร่างซุ่นเทียนก็นับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ถ้าเขาสามารถโจมตีถูกซุ่นเทียนได้สักครั้ง เขาก็คงไม่เสียหน้า ถ้าเขาสามารถโจมตีซุ่นเทียนได้สักวินาทีเดียว ก็คงเท่ากับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาได้รับมาอย่างหนักนั้น ก็น่าสนใจเลยทีเดียว
แน่นอนว่าซุ่นเทียนเป็นคนฉลาด ดังนั้นเขาเข้าใจความคิดที่ไร้สาระของเจ้าอ้วนไห่ได้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่มีนิสัยระมัดระวังตัวดีอยู่แล้ว ดังนั้นทุกครั้งที่เขาโจมตีเจ้าอ้วนไห่ เขาจะใช้พลังเพียงส่วนน้อยโจมตีเจ้าอ้วนไห่ในร่างสัตว์ประหลาดแต่ไกล ด้วยเหตุนี้แม้ร่างกายของเจ้าอ้วนไห่จะใหญ่โต แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอจะสู้ได้ทัดเทียมกับซุ่นเทียน เป็นการต่อสู้ที่ไม่ทัดเทียม แต่กลับมีลักษณะยันกันอย่างแปลกประหลาด และดำเนินต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด
บึ้ม!
เจ้าอ้วนไห่ถูกทุบลงไปกับพื้นอีกครั้ง! แต่นาทีต่อมา เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง ท่าทางของเขาดูทุลักทุเลเป็นอย่างมาก หน้าของเขาเต็มไปด้วยโลหิตและสิ่งสกปรก แต่เขาก็ยังแสดงความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ตั้งใจจะสู้จนถึงที่สุด
“วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้” ซุ่นเทียนซึ่งได้เปรียบอย่างชัดเจนร้องตวาดขึ้น เขาไม่พอใจ ในสายตาของเขานี่เป็นหนึ่งในความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาไม่สามารถขู่ขวัญเจ้าอ้วนไห่ได้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะอยู่ในสภาพดีที่สุดพร้อมกับการต่อสู้ แต่ความเหนื่อยล้า ความอ่อนเพลียทำให้จิตใจของเขาขุ่นมัว และความมั่นใจของเขาลดลงเรื่อยๆ นี่ข้าแก่เกินไปสำหรับการต่อสู้นี้หรือนี่? ข้ายังไม่สามารถเอาชนะเจ้าอ้วนไห่ที่เป็นเหมือนมดแมลงนี้ได้ยังไง? ข้าเป็นนักรบระดับสูงจริงๆ หรือเปล่า? แน่นอนว่าความคิดในเชิงลบแค่ผ่านเข้ามาในใจของเขาเพียงชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาฟื้นความมั่นใจตนเองและคำราม “บางทีก่อนนั้นข้าอาจจะดูถูกเจ้าเกินไปก็ได้ แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีศักยภาพพอจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสูงได้ อย่างไรก็ตามเจ้าก็ควรรอหาประสบการณ์อีกหลายปี แล้วจึงค่อยมาท้าทายข้า ความห่างชั้นระหว่างฝีมือของเราเจ้ามิอาจลบล้างได้ ตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า แม้แต่เย่ว์หยางก็ไม่มีโอกาสได้เห็น ด้วยวิธีนี้เจ้าจะได้ตายอย่างยิ่งใหญ่และมีเกียรติ”
“หมัดฮิปโปดาวตก!” คำตอบของเจ้าอ้วนไห่ยังคงเหมือนเดิม
ครั้งหนึ่งเย่ว์หยางเคยพูดหยอกล้อว่าตราบใดที่ผู้ฝึกสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหมัดได้ อย่างนั้นเขาจะสามารถใช้พลังได้เพิ่มมากกว่าเดิมถึงร้อยเท่า
ครั้งนั้นทุกคนสงสัยและถามว่าจะทำแบบนั้นได้ยังไง? เย่ว์หยางทำหน้าเครียดเล็กน้อย จากนั้นทำสมาธิอยู่นานกว่าจะตอบได้ “ให้ลืมเรื่องการผสานหมัดซะ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูของเจ้า ให้ปล่อยหมัดออกไปด้วยความมั่นใจไม่คลอนแคลนว่าเจ้าสามารถล้มศัตรูได้ด้วยหมัดนี้เพียงหมัดเดียว นั่นคือหลักการที่แท้จริงที่ทำให้เจ้าเข้าถึงระดับนี้ได้”
เจ้าอ้วนไห่ยังไม่ถึงระดับที่เย่ว์หยางพูดถึง แม้แต่เสวี่ยทันหลางบุรุษผู้มีความฉลาดสามารถเป็นพิเศษ ก็ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แล้วเขาจะทำได้อย่างไร?
อย่างก็ตาม วันนี้ระหว่างการต่อสู้ถึงขนาดที่เขาถูกกำหนดว่าต้องตาย เจ้าอ้วนไห่เริ่มเข้าใจคำพูดของเย่ว์หยางในวิถีที่แตกต่าง
แม้ว่าพลังโจมตีของเขายังไม่ถึงในระดับสุดท้าย แต่เจ้าอ้วนไห่ลืมตนเองและลืมหมัดของเขา เขาปล่อยหมัดออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ความรู้สึกถึงอันตรายฉับพลันกระทบสำนึกซุ่นเทียนซึ่งเตรียมจะใช้พลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเพื่อฆ่าเจ้าอ้วนไห่ เขามองดูดวงตาสัตว์ประหลาดของเจ้าอ้วนไห่เห็นว่าไม่มีความกระหายเลือดหรือเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง กลับมีแต่ความสงบเยือกเย็น ตาของเขาเปล่งประกายสีส้มและแรงกระตุ้นของเขาไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นสูงมากกว่าระดับที่เคยมีมาก่อน
เพราะเหตุผลบางอย่าง ซุ่นเทียนรู้สึกความหนาวเหน็บแล่นไปตามไขสันหลัง
นี่มัน...
หรือว่าข้าจะพ่ายแพ้เจ้าอ้วนโง่นี่?
เป็นครั้งแรกที่ความคิดแปลกประหลาดหยั่งรากลงในใจของเขาและงอกงามเหมือนวัชพืช
เมืองซือว่าง
คิ้วขององค์ชายดำขมวดจนแทบติดกัน
ตามแผนการของพวกเขาซุ่นเทียนควรจะมาถึงที่นี่ภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากเริ่มสู้กับเจ้าอ้วนไห่ หรือว่าซุ่นเทียนไม่สามารถเอาชนะเจ้าอ้วนไห่ในเวลาขนาดนั้น? หรือว่าซุ่นเทียนเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากกว่า?
หากซุ่นเทียนเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งจนเป็นเหตุให้เขาล่าช้า อย่างนั้นสถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายเท่าใด สิ่งที่องค์ชายดำกลัวก็คือกับดัก หากปรากฏว่าเย่ว์หยางที่มีทั้งความฉลาดและความแข็งแกร่ง ได้เตรียมกับดักไว้ตั้งแต่ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น พวกเขาอาจตกอยู่ในภาวะคับขันได้ หากปราศจากความช่วยเหลือของเย่ว์หยาง เจ้าอ้วนไห่จะไม่มีทางกล้าลุกขึ้นเดินจากแถวหลังมาอยู่แนวหน้า ถ้าเจ้าอ้วนไห่ทำตัวแปลกๆ ในเวลานั้นผลที่ตามมาจะทำให้เขาสับสนจริงๆ เย่คงรั้งอยู่เพื่อขัดขวางพวกเขา และห่างออกไปหลายกิโลเมตรองค์ชายเทียนหลัวกำลังต่อสู้กับประมุขนิกายพันปีศาจ ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนการของเย่ว์หยางไม่ใช่หรือ?
“หือ?” องค์ชายดำประหลาดใจ เย่คงแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่แน่วแน่ แม้ว่าเขาจะถูกเล่นงานจนร่วงเป็นร้อยครั้งก็ตาม แต่เขาก็ยังตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน
“เพลิงภูตผีของเจ้าไม่มีอะไรเลย!” เย่คงตะโกนขณะที่เขาฉีกเนื้อที่ถูกไฟเพลิงสีเขียวเผา หน้าของเขาซีดขาวเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส
เย่คงเสริมพลังตนเองด้วยจ้าวคิงคองปีศาจ จากนั้นเรียกด้วงจอมพลังและมังกรแผ่นดินไหวน้อยออกมา แต่เขายังไม่สามารถต้านรับพลังโจมตีที่หนักหน่วงของขององค์ชายดำได้ ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะแฝงเร้นยืนหยัดและอสูรพิทักษ์ประเภทวิญญาณ ‘อดทน’ ของเขา ด้วยอาการอย่างนั้นแม้จะเจ็บปวดเป็นสองเท่าของอสูรพิทักษ์ของเขา แต่ก็ยังสามารถสู้ต่อไปได้ตราบเท่าที่เย่คงยังยืนหยัดสู้
องค์ชายดำเห็นเย่คงยืนหยัดได้อีกครั้ง! คิ้วของเขาขมวดเป็นร่องลึก ดูเหมือนว่าเขาเลือกคู่ต่อสู้ผิดคน
ถ้าข้าสู้กับเจ้าอ้วนไห่ที่มีการกระทำบุ่มบ่าม การต่อสู้คงจบไปแล้ว ยังคงง่ายกว่าถ้าได้สู้กับองค์ชายเทียนหลัวหรือเสวี่ยทันหลาง แต่เขากลับเลือกสู้กับเย่คงผู้มีทักษะแฝงเร้นยืนหยัดและอสูรพิทักษ์วิญญาณของเขา วิญญาณอดทน
ขณะที่เขาคิดหาวิธีฆ่าเย่คงให้ได้อย่างเด็ดขาด ประมุขนิกายพันปีศาจปรากฏอยู่ข้างหน้เขา เขาตะโกนมาตลอดทางตั้งแต่ท้ายหุบเขา “เปลี่ยนคู่ต่อสู้กับข้า!”
“อะไรนะ?” องค์ชายดำตกใจ เป็นไปได้หรือว่าประมุขนิกายพันปีศาจไม่สามารถเอาชนะองค์ชายเทียนหลัวด้วยตนเองได้? แม้ว่าองค์ชายเทียนหลัวจะเป็นผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในกลุ่มของเย่ว์หยาง และเป็นเจ้าของอสูรศึกระดับปราณฟ้า แต่เขาเพิ่งจะรู้วิธีหลอมรวมกับมัน ดังนั้นการหลอมรวมจะคงอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ พลังของเขาก็ยังห่างจากระดับนักรบปราณฟ้า ด้วยความได้เปรียบในเรื่องพลัง ประมุขนิกายพันปีศาจน่าจะเอาชนะเขาได้ง่ายๆ ไปแล้ว
“เขามีสมบัติลับทำให้คำนวณการเคลื่อนไหวของข้าได้ และเขาสวมเกราะอักษรรูนโลหิตพิเศษซึ่งต่อต้านพลังโจมตีของข้าได้” ถ้าเขารู้ว่าจัดการกับองค์ชายเทียนหลัวยากแค่ไหน เขาคงไม่ทำอย่างนี้ เพราะทำให้เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
“ไม่มีปัญหา” องค์ชายดำตอบ ตอนนี้เขาต้องการเปลี่ยนคู่ต่อสู้อยู่พอดี แต่เขารู้ว่าถ้าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สำคัญอย่างยิ่ง เขาคงไม่มีทางเห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น มีแต่จะแค่นเสียงเยาะเย้ยกับความล้มเหลวของประมุขนิกายพันปีศาจ
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เป็นสถานการณ์วิกฤติ ถ้าพวกเขาไม่ร่วมมือกันทำงาน กระแสของการต่อสู้จะถูกศัตรูเปลี่ยนและย้อนกลับมาเล่นงานพวกเขาในไม่ช้า เขารู้ว่าเย่ว์หยางสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ทั้งที่เมื่อกลุ่มของเขาคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือพวกเขาแล้วแท้ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากนี้เย่ว์หยางไม่เคยแพ้ ดังนั้นเขารีบออกจากค่ายทหารเมืองซือว่างลงไปที่ก้นเหวสิ้นหวัง
องค์ชายเทียนหลัวที่เริ่มจะอยู่ในสภาพทุลักทุเลทีละนิดและถือโอกาสฟื้นฟูสภาพตัวเองจากการต่อสู้ โชคดีที่ประมุขนิกายพันปีศาจไม่ได้ฆ่าเขาหรืออสูรศึกปราณฟ้าระดับสองปีศาจปีกเพลิงฟ้า แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ช่วงระหว่างเวลาที่ประมุขนิกายพันปีศาจสลับตำแหน่งกับองค์ชายดำ เขารีบฟื้นฟูตัวเองจากการต่อสู้ เขากลืนยาเม็ดพลังยุทธคุณภาพสูงสุดเพื่อเพิ่มพลังชั่วคราว บางทีอาจจะไม่เพียงพอเต็มที่ แต่เขารู้ว่าเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่อาจแพ้ได้ ถ้าเขาถูกฆ่าก็จะส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม และจะกลายเป็นหายนะแน่นอน ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาชนะ เขาจะสามารถนำคนอื่นให้ช่วยกันต้านทานได้
“เอาเลย! มาดูกันว่าไฟของเราคนไหนจะแข็งแกร่งที่สุด ไฟเขียวภูตพรายของเจ้า หรือไฟดาวตกสวรรค์ของข้า ในอนาค จะมีเพียงนักรบระดับสูงในหอทงเทียนที่มีคำว่าองค์ชายนำหน้าเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้า..องค์ชายดำ หรือว่าข้า องค์ชายเทียนหลัว!”
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีอสูรศึกระดับปราณฟ้า แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเพียงแค่นั้นจะสามารถต่อกรกับข้าได้?” องค์ชายดำแค่นเสียงเยาะเย้ย “พลังของอสูรปราณฟ้าของเจ้ายังไม่เทียบเท่ากับพลังของเจ้าเอง!”
*** ***
หุบเหวสิ้นหวัง ทะเลสาบน้ำดำ
เสวี่ยทันหลางและสื่อจินโหวยังคงเผชิญหน้ากัน ทั้งสองคนยังคงมองหาจุดอ่อนในการป้องกันของแต่ละฝ่าย
นี่เป็นการต่อสู้ที่ต่างจากคนอื่น พลังของพวกเขาอยู่ในระดับสูงแล้ว ดังนั้นพวกสเขารู้ว่าการต่อสู้จะจบลงหลังจากโจมตีเพียงสองสามครั้งเป็นอย่างมาก
เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การต่อสู้จะต้องจบลงด้วยความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สื่อจินโหวมีพลังและระดับนักสู้เหนือกว่าเสวี่ยทันหลางมากมาย แต่เขาไม่กล้าตัดสินคู่ต่อสู้ของเขาอย่างผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนเวลาต่อสู้ เสวี่ยทันหลางให้รายละเอียดและทักษะการต่อสู้ของอสูรศึกของเขา นี่ทำให้เขายิ่งสับสนมากขึ้น
เป็นไปได้หรือว่าเจ้าหนุ่มน้ำแข็งนี้มั่นใจมากว่าเขาจะสามารถเอาชนะขีดจำกัดตัวเองได้หลังจากบอกรายละเอียดทุกอย่างของเขาแก่ศัตรู? เขาไม่มีความสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเสวี่ยทันหลางไม่ใช่คนพูดมากเหมือนเจ้าอ้วนไห่ที่เอาแต่โอ้อวดความแข็งแกร่งของเขาเอง
สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายการกระทำของเสวี่ยทันหลางได้ก็คือเขาต้องมีไม้ตายลับ บางทีทักษะพรสวรรค์ซ่อนเร้นอาจจะถูกเผยระหว่างการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็ได้
“วันนี้ระหว่างเราจะมีผู้รอดเพียงคนเดียว! ไม่เจ้าก็ข้า!” สื่อจินโหวส่งเสียงดังขึ้น จากนั้นเขาเรียกคัมภีร์อัญเชิญและอสูรพิทักษ์ทันที และใช้งานสนามพลัง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเกราะพลังป้องกันเมื่อไม่นานมานี้เอง
หลังจากเสวี่ยทันหลางได้แนะนำทักษะและความสามารถในการรบของอสูรศึกของเขา เขาก็เงียบอีกครั้ง แต่ใต้เท้าของเขา ทะเลสาบน้ำดำกลายเป็นทะเลสาบน้ำแข็ง
สายฟ้าสีเงินแปลบปลาบอยู่ในอากาศ
ทั้งสองฝ่ายเริ่มโจมตีพร้อมกัน ไม่มีใครต่างยั้งมือไว้!
หลังจากปะทะฝีมือกันแล้ว หนึ่งในสองฝ่ายถูกกำหนดว่าต้องตาย มีเพียงหนึ่งเดียวที่จะยืนหยัดจนจบสิ้นการต่อสู้! ขณะนั้นเอง แม้แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าผู้ใดจะอยู่รอด!