SN-ตอนที่ 47 รังวาแลน
อัลดิช รวบรวมคนทั้งหมดให้มากับเขาเพื่อที่จะเคลียร์รังวาแลน มี วาเลร่า ไดนาไมท์เกิร์ล แฟลร์กาน และ อัลลอยด์อีเกิ้ล เขาอยากจะเอา กีสต์ ไปด้วย แต่เขาวางแผนที่จะขับรถลงไปที่รังของมัน และ กีสต์ ก็ตัวใหญ่เกินกว่าจะยัดเข้าไปในรถได้
หลังจากปลอบ กีสต์ ว่าไม่จำเป็นจะต้องลดน้ำหนัก อัลดิช ก็ออกเดินทางไปตอน ตี 3 เขาโดยขับรถในขณะที่มี วาเลร่า นั่งอยู่ เบาะหน้า ส่วน แฟลร์กาน ไดนาไมท์เกิร์ล และ อัลลอยด์อีเกิ้ล ก็นั่งอยู่ข้างหลัง
“สิ่งนี้คือ?” แฟลร์กาน รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งของภายในรถขณะที่ อัลดิช ขับ เขาเสมือนเด็กที่รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งของแปลกใหม่ ดังนั้น ดวงตาทั้ง 3 ของเขาจึงได้หันไปทั่วทุกทิศทาง และ เอาหน้าไปใกล้ ๆ เพื่อตรวจสอบทุกสิ่งอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขารู้สึกทึ่งกับหน้าจอด้านหลังคอนโซลที่แสดงภาพ GPS ว่ารถอยู่ที่ไหน รวมถึงบางเมนูที่ระบุสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ สภาพอากาศ อีกทั้งรถยังสามารถเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย แต่ อัลดิช สั่งให้ ฟีสก์ ปิดการใช้งานตัวเลือกนั้นบนรถเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ติดตามได้
“อย่าได้แตะต้องอะไรมั่วซั่วล่ะ!” อัลดิช กล่าวพูดขณะที่มองผ่านกระจกหลัง
“ข้าจะควบคุมตัวเอง ผู้อาวุโส” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ “แต่ข้าค้นพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการรังสรรค์ของเทคโนโลยีที่สร้างมาจากพวก เหล็ก แร่ และ วัสดุต่าง ๆ ไม่คิดเลยว่า สิ่งของเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวบนหน้าจอเหล่านี้…”
“ใช่ มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างแท้จริง” วาเลร่า ได้ตอบกลับ “เดิมข้าก็สงสัยว่าหากมนุษย์ที่อ่อนแอและไร้เวทย์มนตร์ พวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร แต่ลองดูสิ พวกเขามาไกลแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องกลัวพวกมอนสเตอร์อีกต่อไปเพียงเพราะมีเจ้าสัตว์ร้ายเหล็กคันนี้”
“นอกจากนี้พวกเขายังมีเทคโนโลยีจับภาพแบบนี้ด้วย”
วาเลร่า ได้แสดงภาพที่ เธอและอัลดิช ถ่ายรูปคู่กัน ซึ่งร่างของเธอเปียกโชกไปด้วยเลือดของพวกแก๊งโอดินสัน
“เป็นภาพที่ดีจริงๆ!” ไดนาไมท์เกิร์ล ได้กล่าวชื่นชมเล็กน้อย
“คุณภาพของภาพนี้ยอดเยี่ยมมาก” แฟลร์กานได้ตรวจสอบอย่างตั้งใจ “ข้าสามารถแยกได้ว่ามันเป็นการสลักสีลงไปในกระดาษแข็งบางอย่าง ถึงกระนั้นคุณภาพของมันก็เทียบเท่าภาพที่ฝังอยู่ในคริสตัลเวทย์มนตร์หรือลูกโลกแห่งความทรงจำ”
“ใช่แล้ว และ ตอนนี้ข้าก็สามารถชื่นชมภาพที่ข้าถ่ายคู่กับนายท่านได้ตลอดเวลาที่ต้องการ!” วาเลร่า ได้เอารูปกลับมาดูแล้วกอดเอาไว้เหมือนเด็กทารก
แฟลร์กาน ได้มองไปรอบ ๆ และพึมพัมออกมา “ข้าล่ะอยากจะแยกส่วนชิ้นเหล็กพวกนี้ออกมาศึกษาจริงๆ!”
“เงียบได้แล้ว ไอ้หน้าปลาหมึก ก่อนที่ฉันจะเผานายตายคารถคันนี้!” ไดนาไมท์เกิร์ล ที่ฟัง แฟลร์กาน บ่นมาตลอดทางได้พูดขึ้น
“ข้าก็แค่บ่นพึมพัมไปเรื่อยเท่านั้น!” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ
“เอาล่ะ หยุดโต้เถียงกันได้แล้ว” อัลดิช ได้ห้ามปรามทันที “แต่ดูจากที่นายยกประเด็นเรื่องสำคัญขึ้นมา นายใช่พวกกลุ่มนักวิชาการหรือพวกนักปราชญ์ของเผ่างั้นหรือไม่?”
“เอ่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะโอ้อวด แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยเป็นสมาชิกของ หอคอยเวทย์มนตร์” แฟลร์กานได้ตอบกลับ “แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ขับไล่ข้าออกไปเพราะข้าหันไปไล่ตามไขว่คว้าในศาสตร์มืด”
อัลดิช พยักหน้ายอมรับ
หอคอยเวทย์มนตร์ เป็นสังคมของนักวิชาการที่ยืนหยัดในฐานะองค์กรวิจจัยอิสระใน เอลเดนเวิลด์ ที่มีนักวิชาการจากทุกเชื้อชาติและทุกกลุ่มมารวมตัวกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพราะพวกเขามีจุดประสงค์ในการแสวงหาความรู้เท่านั้น รวมถึงศึกษาประวัติศาสตร์ด้วย
การได้เข้าร่วมหอคอยเวทย์มนตร์นี่ก็หมายความว่า คนผู้นั้นมีสติปัญญาและความทุ่มเทในระดับที่ยอดเยี่ยม อย่างน้อยที่สุด แฟลร์กาน ก็ได้ฝึกฝนมาอย่างดีในด้านเวทย์มนตร์หลายแขนง บางส่วนของสิ่งเหล่านี้รวมถึง ศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้น แฟลร์กาน จึงมีแนวคิดและรู้จักพวกอุปกรณ์เทคโนโลยีที่พวกคนแคระนั้นถนัด
“ดูเหมือนว่าความอยากรู้อยากเห็นของนายจะไม่ใช่น้อย” อัลดิช ได้ตอบกลับ “เมื่อเรากลับไปฉันจะให้ ฟิสก์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีของโลกนี้ และ ให้เขาแนะนำให้นายรู้จักพวกมันมากขึ้น”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสซึมซับความรู้ดังกล่าว” แฟลร์กาน ได้ก้มศีรษะลง
อัลดิช พยักหน้าให้กับแฟลร์กานในขณะที่เขากำลังขับรถออกจากป่าวาแลน ด้านนอกผืนป่าเป็นเพียงผืนดินที่แห้งกร้าน เดิมก่อนหน้านี้มีสีเขียวและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีส้มและสีแดงที่แผ่กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกมา
นี่เป็นผลมาจากการปรากฏตัวของคลื่นวาแลน ที่มีวาแลนระดับไททันส์ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอุตุนิยมวิทยาและสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่ทั่วโลก ราวกับว่าธรรมชาติตัดสินใจที่จะทำสงครามกับมนุษยชาติ
แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น ได้เขย่าไปทั่วทุกทวีป กระทั่งระดับน้ำยังเพิ่มขึ้นสูงมากในบางพื้นที่ หรือ แห้งจนไม่มีน้ำหลงเหลือเลยในพื้นที่อื่น
ผืนดินขนาดใหญ่ได้กลายเป็นดินที่ตายไปแล้วโดยตรงและสิ่งมีชีวิตไม่สามารถใช้อยู่อาศัยได้
พื้นที่เหล่านี้ถูกเรียกว่า เดธโซน
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ไททันส์ ถูกขับไล่กลับไปสู่การพักฟื้นหรือถูกทำลาย ดาวเคราะห์ก็เริ่มทรงตัวมากยิ่งขึ้น ทว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นก็ร้ายแรงเกินกว่าที่จะกู้กลับมาได้
พวกเขาได้ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งในการขับรถผ่าน เดธโซน เพื่อไปยัง โซนที่แตกสลายที่ ฟิสก์ทำเครื่องหมายรังวาแลนทั้ง 2 เอาไว้
“ต้องยอมรับเลยว่าวิวที่นี่ค่อนข้างสวยเป็นอย่างมาก” ไดนาไมท์เกิร์ล ได้กล่าวพูดขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง มีหุบเขาสูงหลายร้อยเมตรสลักอยู่ในเดธโซน นี่คือพลังของ แวนการ์ด ชายผู้ซึ่งใช้กำปั้นเปลี่ยนภูมิประเทศได้
แน่นอนว่า เมกาโลดอน คู่ต่อสู้ของ แวนการ์ด ก็เป็นสัตว์ร้ายที่สูงร้อยเมตรที่สามารถสร้างหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์ได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ
“ภูมิทัศน์เหล่านี้ไม่ได้ถูกแกะสลักตามกาลเวลาที่มีลมและน้ำกัดเซาะไปเรื่อยๆ” แฟลร์กาน ได้พึมพัมออกมา “มันถูกแกะสลักจากการต่อสู้”
“นี่เป็นสิ่งที่ ผู้วิวัฒที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่ทำได้!” อัลดิช ได้ตอบกลับ
“พลังของพวกเขาใกล้เคียงกับพลังของเทพเจ้า” วาเลร่า ได้กล่าวพูดอย่างกังวล “เทือกเขาทั้งหมดก่อตัวขึ้นจากการพังทลาย และ หากไม่ใช่เวทย์มนตร์ขั้น 9 หรือ 10 ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายพวกมัน”
“ถูกต้อง แน่นอนว่าเรายังห่างไกลจากระดับนั้น” อัลดิช ได้พูดต่อ “แต่นี่ก็สามารถเป็นสิ่งเตือนใจให้เราต้องเดินหน้าต่อไป”
หลังจากลงจากรถ เขาก็มองไปที่ อาย-โฟน ของเขา โดยเฉพาะ โทรศัพท์ของฟิสก์ ฟิสก์ได้มอบข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับรังวาแลนทั้ง 2 ให้ อัลดิช มันไม่เพียงแต่ระบุตำแหน่งและรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเภทของวาแลนข้างในอีกด้วย
อัลดิช ได้ก้าวไปที่ขอบสุดของหุบเขาและมองลงไปที่ความสูงชันกว่าร้อยเมตร เขามองเห็นกิ่งก้านสีดำที่คดเคี้ยวและก้อนหินที่ยื่นออกมาเหมือนกับเนื้องอกอยู่ด้านล่างประมาณครึ่งทาง
นั่นคือรังแรกจากทั้ง 2 ส่วนอีกอันก็อยู่ใกล้มาก แต่ อัลดิช ไม่สามารถมองเห็นได้ แม้ว่าเขาจะสแกนมันด้วย AC อย่างละเอียดโดยการซูมเข้าออกโดยใช้กระบังหน้าของ ฟิสก์ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับรังนี้ก็ได้รับการอัปเดตจากฐานข้อมูลของ AA เมื่อ หกเดือนก่อน
มันมีเวลามากเกินพอสำหรับรังที่จะจางหายไปด้วยเหตุผลหลายประการ เพราะ บางครั้ง วาแลน ก็ทิ้งรังของมันไป และ บางครั้งแผ่นดินก็สั่นไหวและแยกพวกมันออกจากกัน บางครั้งพายุอาจจะพัดมันจนหายไป หรือสายฟ้าฟาดผ่า อะไรก็ตาม
แน่นอนว่า อัลดิช ไม่ได้รู้กังวลว่า 1 ในนั้นจะหายไปหรือไม่ เพราะอันที่จริงมันก็ค่อนข้างง่ายต่อการตัดสินใจว่าจะเข้ารังไหน
อัลดิช ได้โบกมือและร่าย [สร้างอันเดด] เขาเลือกที่จะสร้าง ดวงตายมโลกอีกตัว
[-10 HP]
[-10 มานา]
[พลังชีวิต : 99/99 > 89/99]
[มานา : 183/183 > 173/183]
[ยูนิติที่ควบคุม : 18/22 > 19/22]
เมื่ออันเดดลูกตาสามดวงปรากฏขึ้น อัลดิช ก็ส่งมันลงไปสำรวจรังเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
เขาได้หักนิ้วของเขาและเรียก อัลลอยด์อีเกิ้ล ลงมา ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไป
“วาเลร่า ตามมา” อัลดิช กล่าวพูดก่อนที่จะชี้ไปที่ ไดนาไมท์เกิร์ล และ แฟลร์กาน “พวกนายทั้ง 2 ค่อยบินตามลงมา เพราะ อัลลอยด์อีเกิ้ลไม่สามารถรับน้ำหนักได้มากเกินไป”
“เข้าใจแล้ว หัวหน้า” ไดนาไมท์เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“ขอรับ ผู้อาวุโส” แฟลร์กาน ได้ลอยขึ้นไปในอากาศเพราะเขารู้คาถา [บิน]
อัลดิช เฝ้าดูแฟลร์กาน ลอยตัวขึ้น และ สงสัยว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ที่นักวิชาการของไมน์อีสเตอร์ที่เป็นคนของหอคอยเวทย์มนตร์จะสามารถสอนคาถาให้กับเขาได้ เพราะท้ายที่สุด ตามตำนานของเกมก็เป็น นักวิชาการของหอคอยเวทย์มนตร์ที่ได้บันทึกและสร้างคาถาเวทย์มนตร์ขึ้นมา
วาเลร่า ได้พยายามปีนขึ้นไปบน อัลลอยด์อีเกิ้ล
สิ่งนี้ทำให้ อัลลอยด์อีเกิ้ล ส่งเสียงร้องออกมาราวกับประท้วงถึงความหนักที่มาจากชุดเกราะเหล็กของ วาเลร่า
“นี่เจ้านก เจ้ากำลังบ่นถึงข้าอยู่งั้นหรือไม่?” วาเลร่า ได้เงยหน้ามองไปที่ อัลลอยด์อีเกิ้ล ด้วยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือก
สิ่งนี้ทำให้ อัลลอยด์อีเกิ้ล ตัวสั่นและก้มศีรษะลง เมื่อเห็นอย่างนั้น วาเลร่า ก็พยักหน้า ก่อนที่จะมองไปที่ อัลดิช อย่างประหม่า
“หืม?” อัลดิช มองดูด้วยความสงสัย
“เอ่อ…ข้าขอยืมมือหน่อยจะได้หรือไม่นายท่าน นี่ก็เพื่อขึ้นไปบนนกตัวนี้อย่างปลอดภัย!” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
“เดี๋ยวจะให้มันลงไปรับข้าง…” หลังจาก อัลดิช มองดูสายตาอ้อนวอนของ วาเลร่า เขาก็ถอนหายใจออกมา “ช่างมันเถอะ”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อรับ วาเลร่า ในขณะที่ วาเลร่า ได้ตอบรับแน่นและพยายามโอบรอบแขนของ อัลดิช เอาไว้