ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 168 ศิษย์นิกายม่อจื้อ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 168 ศิษย์นิกายม่อจื้อ
แปลโดย iPAT
ทุกคนหันกลับไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาเห็นคนผู้นั้น พวกเขาก็รีบทำความเคารพ “ผู้บัญชาการเหล่า ท่านออกจากการปิดประตูบ่มเพาะแล้ว!”
“ท่านทะลวงเข้าสู่ขั้นหกแล้ว!”
คนผู้นี้เป็นรองผู้บัญชาการของเมืองเจียเผิง เหล่าซีซาน เขาดูเหมือนชายอายุประมาณสี่สิบปีและมีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อเห็นทุกคนตกตะลึง เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย เขาปิดประตูบ่มเพาะมานานเพื่อวันนี้ เขาถามอย่างจริงจัง “พวกเจ้ากล่าวว่าผู้ใดจบสิ้นแล้ว?”
ไม่มีใครกล้าตอบ แท้จริงแล้วเหล่าซีซานก็ไม่ต้องการคำตอบจากพวกเขา ในฐานะรองผู้บัญชาการ เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
“ข้าจะไปช่วยผู้บัญชาการจ้าว” เขาพุ่งออกไปในทิศทางเดียวกับจ้าวจื่อป๋อ เขาร่อนลงจากภูเขาเหมือนนกยักษ์และหายตัวไปในสายหมอกของรุ่งเช้า
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่เหลือต่างมองหน้ากัน หลี่ฉิงซานสามารถสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่แม้เขาจะพึ่งเข้าหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ได้เพียงสามเดือน ผู้บัญชาการจ้าวและรองผู้บัญชาการเหล่าต่อต้านกันมาตลอด ตอนนี้เขาบรรลุเป็นจอมยุทธ์ขั้นหก เมืองเจียเผิงจะต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน
…..
หลี่ฉิงซานลดโล่ลงและส่งดาบสายลมพุ่งเข้าโจมตีศัตรูที่อยู่ใกล้ที่สุด
คนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่เคยคิดว่าหลี่ฉิงซานจะยังสามารถเคลื่อนไหวภายใต้สถานการณ์นี้ อย่างไรก็ตามเขายังสามารถเรียกหุ่นเชิดออกมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตี
“ปัง!” หุ่นเชิดถูกผ่า ร่างกายของมันกระจัดกระจายไปทั่ว
ทุกคนต่างตกตะลึง “เขายังขยับได้! ทุกคนระวัง!”
หลี่ฉิงซานมองเห็นศัตรูของเขาอย่างชัดเจน ทุกคนเป็นชายวัยประมาณยี่สิบและสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มที่คล้ายกัน พวกเขาทั้งหมดถือหน้าไม้ที่เรืองแสงซึ่งสามารถปล่อยลูกดอกจำนวนมากออกมา
หลี่ฉิงซานก้าวไปข้างหน้า ภายใต้แรงโน้มถ่วงมหาศาล เท้าของเขาจมลงไปในดินจนถึงต้นขา เดิมทีสัญลักษณ์เรืองแสงปรากฏขึ้นบนพื้น แต่หลังจากนั้นมันก็ลอยขึ้นสู่อากาศ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกทำลาย
“ปล่อยข้า!” ชายร่างกำยำที่มีเคราเต็มหน้าบุกเข้ามาในห้องเก็บศพ เขาถือปืนใหญ่ทองแดงเอาไว้ในอ้อมแขน บนพื้นผิวของปืนใหญ่มีสัญลักษณ์เรืองแสงเช่นกัน มันคือสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลางที่แท้จริง ตอนนี้ปากปืนใหญ่ที่ถูกแกะสลักเป็นรูปศีรษะมังกรเริ่มรวบรวมจุดแสง
แม้เขาจะเคยอยู่บนเกาะบุปผาภายใต้การระดมยิงของปืนใหญ่ แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงอันตรายมากนัก อย่างไรก็ตามตอนนี้หลี่ฉิงซานกลับรู้สึกถึงอันตราย โดยเฉพาะเมื่อชายผู้ถือปืนใหญ่ปลดปล่อยกลิ่นอายของจอมยุทธ์ขั้นหกออกมา
“เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงซุ่มโจมตีข้า?” เดิมทีหลี่ฉิงซานคิดว่านี่คือนักพรตผีดิบที่ร่วมมือกับจ้าวจื่อป๋อวางกับดักเขา แต่ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร คนผู้นี้ก็ดูไม่เหมือนนักพรตผีดิบ ยิ่งไปกว่านั้นทักษะที่ชายร่างกำยำใช้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถของนักพรตผีดิบเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถระงับความสงสัยและต้องเปิดปากถามออกไป หากคนเหล่านี้ยังไม่หยุด เขาก็ทำได้เพียงเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจและสังหารหมู่พวกเขาเท่านั้น
“หือ เหตุใดนักพรตผีดิบถึงดูเยาว์วัยนัก?” ชายหนุ่มชุดน้ำเงินเข้มเห็นรูปลักษณ์ของหลี่ฉิงซานและรู้สึกสับสน
“พี่ใหญ่ หยุด! นั่นเป็นเครื่องแบบของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์!” อีกคนจำชุดผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ได้และรีบตะโกนเตือน
อย่างไรก็ตามปืนใหญ่รวบรวมพลังงานเรียบร้อยแล้ว ลำแสงสีขาวพุ่งออกจากปากมังกร มันเจาะทะลวงเพดานและทิ้งริ้วแสงไว้เป็นทางยาวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสี่ยวอันคลายมือจากลูกประคำหัวกะโหลก แสงสีแดงในดวงตาของหลี่ฉิงซานจางหายไปเช่นกัน เขามองรูขนาดใหญ่บนเพดานและรู้สึกประหลาดใจ แม้เขาจะอยู่ในร่างปีศาจ แต่เขาก็จะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนี้
เขาก้มศีรษะลงและถาม “พวกเจ้าเป็นผู้ใด?” เขาเก็บดาบวายุกลับเข้าฝัก
การกระทำของเขาลดความเป็นปรปักษ์ของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาวางหน้าไม้ลง ชายที่จำชุดเครื่องแบบของหลี่ฉิงซานได้กล่าว “เราเป็นศิษย์นิกายม่อจื้อ เรามาที่นี่เพื่อทำภารกิจ เจ้าต้องเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ถูกต้องหรือไม่?”
“ถูกต้อง ข้ากำลังปฏิบัติภารกิจเช่นกัน”
“โปรดให้เราดูป้ายประจำตัวด้วย!”
ศิษย์นิกายม่อจื้อ! หลี่ฉิงซานเข้าใจแล้ว เขาโยนป้ายหมาป่าเหล็กดำออกไปและทำให้พวกเขาผ่อนคลายลง พวกเขากล่าวเสียงดัง “ยกเลิกค่ายกลทั้งหมด นี่เป็นความเข้าใจผิด!”
“เห้อ...เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”
“เจ้าไม่ได้บอกว่านักพรตผีดิบจะมาที่นี่งั้นหรือ? เหตุใดมันจึงกลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์?”
ศิษย์นิกายม่อจื้อบ่นพึมพำ หนึ่งในนั้นเก็บม้วนกระดาษที่มีสัญลักษณเหมือนสัญลักษณ์ที่เคยอยู่บนพื้น
หลี่ฉิงซานรู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาขึ้นทันที เขาหยิบโล่ขึ้นมาจากพื้นแต่พบว่าโล่ไหม้เกรียมจากแรงระเบิดก่อนหน้า เมื่อไม่กี่วันก่อนมันรับมังกรเพลิงของจ้าวจื่อป๋อและตอนนี้มันก็ถูกโจมตีอีกครั้ง ทั้งหมดทำให้ปราณจิตวิญญาณของมันกระจายหายไป
ทันใดนั้นชายร่างกำยำที่มีเคราเต็มหน้าก็พุ่งเข้ามา เสี่ยวอันยกดาบขึ้นแต่นางก็หยุดอย่างกะทันหันเมื่อตระหนักว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีเจตนาสังหาร
ชายผู้นั้นคว้าคอเสื้อของหลี่ฉิงซานและคำราม “เจ้าหนู เจ้าทำให้แผนการของข้ายุ่งเหยิง!” เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับศิษย์นิกายม่อจื้อคนอื่นๆแต่เปลือยอกโดยที่แขนเสื้อข้างขวาพันอยู่รอบเอว
หลี่ฉิงซานปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีจากน้ำลาย เขามองฝ่ายตรงข้ามอย่างสงบแต่ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวสิ่งใด ศิษย์นิกายม่อจื้อคนอื่นๆก็เขามาดึงชายร่างกำยำออกไป “พี่ใหญ่ โปรดสงบอารมณ์!”
“ลูกศรอีกาเพลิงของเราไม่ได้งอกขึ้นมาจากต้นไม้!”
หลี่ฉิงซานจัดเสื้อผ้าของเขาก่อนกล่าว “ข้าคิดว่าพวกเจ้าควรคิดถึงสิ่งที่พึ่งทำลงไป พวกเจ้าโจมตีบางคนโดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบ หากข้าไม่แข็งแกร่งพอ ข้าคงตายไปแล้ว”
ชายร่างกำยำมองหลี่ฉิงซานด้วยความโกรธ เขาแทบจะนำปืนใหญ่แสงออกมาอีกครั้งแต่ศิษย์น้องของเขาหยุดเขาเอาไว้ “มันเป็นเพียงความเข้าใจผิด!” อย่างไรก็ตามพวกเขาคิดในใจว่า ‘เขากล้าพอที่จะกล่าวเช่นนี้กับจอมยุทธ์ขั้นหก ดูเหมือนผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะหยิ่งยโสทุกคนจริงๆ’
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด หากเราทำให้เจ้าขุ่นเคือง โปรดอภัยให้เราด้วย ข้า จางหลานฉิง นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ของข้า ห่าวปิงหยาง และนี่คือศิษย์น้องสามคนของเรา เหออี้ซื่อ จินหยวน และจินเป่า” จางหลานฉิงแนะนำพวกเขาทีละคน แม้เขาจะอายุเพียงยี่สิบ แต่เขาดูเหมือนผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ ท่ามกลางพวกเขา เขาเป็นรองเพียงชายร่างกำยำ ห่าวปิงหยาง ในแง่ของความแข็งแกร่ง เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้า
สำหรับอีกสามคน เหออี้ซื่อเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ เขาค่อนข้างสูง ใบหน้ายาว และเปลือกตาบวมเล็กน้อย เขาตอบรับศิษย์พี่ของเขาด้วยท่าทางสบายๆว่า “อืม” ก่อนที่จะมองหลี่ฉิงซานและทักทายด้วยคำว่า “อืม” เช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงซ่อมแซมหุ่นเชิดที่หลี่ฉิงซานทำลายไป
จินหยวนและจินเป่าเป็นพี่น้องกัน จินหยวนเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ขณะที่จินเป่าเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม พวกเขาเห็นว่าหลี่ฉิงซานเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสองและยังทำลายกับดักของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจเขามากนัก
จินเป่ากล่าวกับห่าวปิงหยาง “พี่ใหญ่ ภาพวาดเรือนจำของท่านเป็นของปลอมหรือไม่? มันไม่แม้แต่จะสามารถจับกุมจอมยุทธ์ขั้นสอง หากนักพรตผีดิบมาจริงๆ เขาจะไม่หลบหนีออกมาได้ทันทีงั้นหรือ?”
“บัดซบ! ข้าใช้เงินมหาสาลเพื่อซื้อสิ่งนี้ แต่เด็กนี่ค่อนข้างแปลก” ห่าวปิงหยางสงบอารมณ์และตรวจสอบหลี่ฉิงซานด้วยความรู้สึกสับสน เด็กหนุ่มถูกจับกุมด้วยภาพวาดเรือนจำและยังถูกโจมตีด้วยหน้าไม้พันศร ภายใต้การรุมล้อมโจมตีของจอมยุทธ์ห้าคนที่แข็งแกร่งกว่าเขา แต่เขายังสามารถรอดมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่ามันผิดปกติ
ม้วนภาพวาดเรือนจำถูกเตรียมไว้สำหรับจอมยุทธ์ขั้นหกนักพรตผีดิบ หากคนธรรมดาตกลงสู่กับดัก พวกเขาจะถูกบดขยี้จนอวัยวะแตกเป็นเสี่ยงๆ กระทั่งจอมยุทธ์พลังปราณก็จะถูกตรึงเอาไว้
สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ข้างกายหลี่ฉิงซานซึ่งไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ว่าเป็นจอมยุทธ์พลังปราณกลับสามารถอยู่รอดปลอดภัยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าม้วนภาพวาดเรือนจำอาจเป็นของปลอม
อีกด้านหนึ่งความรู้สึกภาคภูมิใจของหลี่ฉิงซานที่พัฒนาขึ้นจากชัยชนะอย่างถล่มทลายบนเกาะบุปผาก็ถูกทำลายเช่นกัน บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ที่เขายังไม่รู้อยู่อีกมาก
“พวกเจ้าพยายามซุ่มโจมตีนักพรตผีดิบที่นี่งั้นหรือ?”
จางหลานฉิงตอบ “ถูกต้อง เจ้าก็คิดเช่นเดียวกันใช่หรือไม่?”
ห่าวปิงหยางมองหลี่ฉิงซานและเย้ยหยัน “เพียงเขางั้นหรือ?” จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วออกไป “เจ้าหนู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าอีกต่อไป ข้าขอแนะนำให้เจ้าออกไปซะ!”
หลี่ฉิงซานชี้นิ้วโป้งไปข้างหลัง “ข้าเพียงมาตรวจสอบ ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้า แต่ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ข้างนอกงั้นหรือ?” แม้นักพรตผีดิบจะซ่อนกลิ่นอายเอาไว้เป็นอย่างดี แต่กลิ่นศพจางๆของเขาไม่สามารถเล็ดลอดจากจมูกของหลี่ฉิงซาน
“กระไรนะ!?” คนทั้งห้ามองออกไปนอกประตู ห่าวปิงหยางรวบรวมสมาธิเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมและค้นพบบางสิ่งอย่างรวดเร็ว “ไป!”
คนทั้งห้ารีบบรรจุลูกศรจำนวนมากใส่หน้าไม้และเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที พวกฝ่ายตรงข้ามไม่มีโล่จิตวิญญาณเช่นหลี่ฉิงซาน แม้พวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์พลังปราณ พวกเขาก็สามารถเสียชีวิตด้วยการระดมยิงของหน้าไม้พันศร
“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่” เสียงหัวเราะแหลมสูงดังขึ้นจากด้านนอก นักพรตผีดิบในชุดคลุมสีเหลืองพร้อมหน้ากากสีขาวซีดปรากฏตัวขึ้นและกล่าวว่า “พวกเจ้ากล้าวางกับดักนักพรตผีดิบผู้นี้จริงๆ เด็กพวกนี้ช่างกล้าหาญนัก” เขามองหลี่ฉิงซาน “เจ้าต้องเป็นหลี่ฉิงซาน เจ้าเป็นวัตถุดิบที่ดีในการสร้างผีดิบจริงๆ ครั้งนี้จ้าวจื่อป๋อไม่ได้โกหกข้า”