ตอนที่ 738 การพบกันของคนแซ่ซือหม่า
ถังเทียนไม่มีเวลาดีใจกับชัยชนะ เขามีความคิดหลายอย่างที่จำเป็นต้องจัดเรียงลำดับ การรู้แจ้งเคล็ดท่าเสียสละพิฆาตในช่วงเวลาที่วิกฤติทำให้เกิดภาพเทพอสูรขึ้นเป็นเหตุให้พลังหมัดของเขาเพิ่มพลังขึ้น ถังเทียนมักจะมีสัญชาตญาณแหลมคมเกี่ยวกับสิ่งที่ปลดปล่อยออกมาจากการต่อสู้ เขามีความรู้สึกว่าเทพอสูรนั้นสร้างขึ้นมาจากดาบมารพิฆาตจะมีคุณค่ามากกว่าวิชาดาบมารพิฆาตเองเสียอีก
และเขาจำเป็นต้องได้เวลาเพื่อทำความเข้าใจทุกอย่างเงียบๆ
ไม่ใช่แค่เพียงเขาเท่านั้น ทุกคนในหน่วยสุญญตาก็ได้รับผลประโยชน์จากการสู้รบ
เลือดในร่างของอาโมรี่ซึมออกมาจากผิวของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาต้องอดทนมากมายเพียงไหน ร่างกายของเขาแข็งแกร่งทรงพลังมากอยู่แล้ว และสามารถรองรับเพลิงที่เข้มข้นรุนแรงและผ่านการปรับแต่งกล้ามเนื้อในร่างกาย เพลิงสุญญตาน้อยของเขาเปลี่ยนสภาพไปเป็นเพลิงสุญญตาได้อย่างสิ้นเชิงและเขาสามารถจุดไฟต้นกำเนิดได้
เรื่องที่น่ายินดียิ่งกว่าก็คือสภาพใจของเขาบรรลุความก้าวหน้า รัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวของเขามั่นคงและหนักแน่น ความรู้สึกเสี่ยงในตอนแรกกลับกลายเป็นพลังสำรอง เพราะการบรรลุระดับก้าวหน้านี้ เขาจึงสำเร็จท่าดาบที่สามของดาบมารพิฆาตข้าคือมารพิฆาต
และอีกคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเนี่ยชิว ประสาทสัมผัสรู้ของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าทุกคนมากมาย และภายใต้พลังกดดันที่รุนแรงของหลูเทียนเหวิน เขาแผ่ความรู้สึกสัมผัสรู้ไปทั่วพื้นที่เหมือนแมงมุมชักใยคอยสังเกตดูทุกอย่าง เมื่อเขาตวาดในการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายอย่างเด็ดขาด ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บภายใน แต่เพราะสภาพใจของเขาถูกปรับเปลี่ยน สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดมาก่อนก็คือกฎธรรมชาติที่เขารู้แจ้งก็คือกฎธรรมชาติเฉพาะรูปแบบพยุหะหยินหยาง
กฎเฉพาะแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาใช้พลังร่างกายแต่อย่างใด แต่มันไม่สามารถสร้างกฎเปิดเผยได้และไม่สามารถสร้างพลังให้เขา เมื่อรู้แจ้งมันคือกฎธรรมชาติผิวเผินตอนแรกและเป็นเหมือนตาข่ายที่ไร้ลักษณ์ซึ่งลอยอยู่รอบตัวเนี่ยชิว
สัมผัสความรู้สึกในตอนแรกของเนี่ยชิวและความรอบรู้เพิ่มขึ้นมากในระดับที่น่ากลัว
ที่สำคัญที่สุด เนี่ยชิวเห็นความหวังในเส้นทางรูปแบบการรบของเขาและการเป็นขุนทัพทหาร ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้มาก
หานปิงหนิงต้องการเวลาดึงแนวคิดสำนึกกระบี่ที่นางปลดปล่อยออกมา ปัจจุบันของนางแม้ว่านางจะแสดงความสามารถออกมาได้ แต่นางยังไม่สามารถควบคุมได้ดี
และขณะที่สมาชิกหน่วยสุญญตาทุกคนได้รับการขัดเกลาปรับแต่งแตกต่างกันไป ไม่มีใครในพวกเขาท้อถอย แต่พวกเขาลุยเข้าชนกับแสงสีขาว ทุ่มเทด้วยทุกอย่างที่พวกเขามีไม่กลัวตายแม้แต่ในชั่วครู่ จึงทำให้พวกเขาก้าวหน้าครั้งใหญ่ หน่วยสุญญตาเก่าก็เป็นกลุ่มสำหรับทดลองอยู่แล้ว พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์จากการสู้รบจริง
ทหารผู้มีประสบการณ์และทหารใหม่มักจะมีความแตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้หลังจากผ่านชีวิตที่ตึงเครียดยากลำบากและการสู้รบเสี่ยงตายแล้ว พวกเขาทุกคนจึงผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ฟ้ายังต้องตะลึง
ช่วงเวลาหลังจากการสู้รบเป็นเวลาสำคัญมากสำหรับพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาสามารถย่อยซึมซับทุกอย่างได้ดี พลังโดยรวมของพวกเขาจะมีคุณภาพในระดับที่ก้าวกระโดด
ดังนั้นสิ่งแรกที่ถังเทียนทำเมื่อเขาตื่นขึ้นก็คือสั่งให้ปิดปราสาทเขาสะท้อน
ผิงเสี่ยวซานที่น่าสงสารเริ่มบทฝึกพิเศษขนาดใหญ่ของเขา ครั้งนี้เป็นการฝึกขนาดใหญ่พิเศษจริงๆ นอกจากถังเทียนแล้ว สมาชิกหน่วยสุญญตาทุกคนจะร้องขออาหารอย่างน่าเวทนา
พวกเขาทุกคนรู้ว่าเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีค่าดังนั้นจึงไม่มีใครเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหมือนกับการเข้าสู้รบ ขณะที่สู้ เขาจะต้องสู้เพื่อตัวเอง สู้กับศัตรูและสู้กับตนเอง บางทีไม่มีทางที่ชนะตนเองได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าทุกคนไม่เคยผ่านสงครามใดๆ มาก่อน เขาจะไม่มีคุณสมบัติเรียกตัวเองว่าล้มเหลว เพราะมีแต่คนที่แพ้ในการสู้รบจริงๆ เท่านั้น จึงจะเรียกว่าล้มเหลว
พวกเขาเป็นกลุ่มนักสู้หัวรุนแรงกันทุกคน
*************
ณ.เมืองแสงฉาย
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเราจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้” ซือหม่าเซี่ยวเต็มไปด้วยอารมณ์มีสีหน้าหม่นหมอง “ถ้าข้าจำได้ถูกเจ้าเรียกว่าซือหม่าเซียงซานใช่ไหม?”
ทั้งสองคนมีตำแหน่งที่ต่างกันห่างไกล ถ้าไม่ใช่เพราะซือหม่าเซียงซานมีแซ่เดียวกับเขาเขาคงไม่มีทางจดจำคนตำแหน่งเล็กน้อยนี่แน่นอน
ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ “ข้าเป็นราชาแมงป่องได้ยังกัน? เราทุกคนกลายเป็นนักโทษต่ำต้อย ข้าสงสัยจริงๆ เจ้าได้รับความเชื่อถือจากตระกูลม่อได้ยังไง?”
“ไม่มีอะไรมาก” ซือหม่าเซียงซานพูดอย่างเย็นชาและน่ากลัว “คนฉลาดยอมรับสถานการณ์”
ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ “อย่าพยายามสอบสวนข้าเลย ข้ารู้จักเจ้า เจ้า, อาโมรี่, หานปิงหนิงและเหลียงชิวพวกเจ้าทุกคนอยู่เมืองซิงฟงกับถังเทียน คนอื่นอาจหักหลังถังเทียนได้ แต่พวกเจ้าไม่มีทางทำเช่นนั้น”
คนที่จะกลายเป็นราชาแมลงป่องจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไง? เขาได้รับข้อมูลทั้งหมดของซือหม่าเซียงซานโดยเร็ว
ซือหม่าเซียงซานหรี่ตา ใจของเขาสั่นเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่าซือหม่าเซี่ยวจะรู้ทุกอย่างกับคนระดับรองเล็กน้อยอย่างเขา แต่เขายังคงไม่สะทกสะท้าน “นี่ไม่ใช่การหักหลังใครจะรู้ว่าเขาตายแล้ว ข้าไม่อาจตามเขาลงสุสานได้”
ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ “เจ้าคิดว่าถังเทียนจะตายหรือ?”
“ใครบ้างจะไม่ตาย?” ซือหม่าเซียงซานปฏิเสธจะพูดต่อ
“ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าทำอย่างนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวกังวลมากเกินไป” ซือหม่าเซี่ยวพูดแฝงแววหยอกล้อเล็กน้อยและถามทันที “เจ้าได้ยินข่าวลืออะไรมาบ้าง?”
ซือหม่าเซียงซานสะท้านใจ แต่เขาเป็นคนฉลาดมากและยิ้มอย่างจริงใจ “ราชาแมงป่องรับฟังข่าวลือด้วยหรือ?”
ซือหม่าเซี่ยวอดประเมินคนเจ้าเล่ห์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาอีกไม่ได้อีกครั้ง สามารถพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาและไม่เปิดเผยอะไรด้วย แม้ว่าเขาจะไม่รู้แต่เขาไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้ ‘ข้าไม่เคยคิดว่าถังเทียนจะมีบริวารอย่างนี้อยู่ด้วย พวกเขาทุกคนมีจุดแข็งเป็นของตนเอง’
ซือหม่าเซี่ยวรู้ว่าเขาไม่มีทางเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ และการต้องการจะได้รับความไว้วางใจเป็นเรื่องยากลำบากมาก และยิ่งเขาเอาชนะกับการเสียดสีกับอีกฝ่าย ก็ยากจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อถือเขา เขาตัดสินใจพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเป็นราชาแมงป่องและข้าไม่ได้วางแผนจะอยู่พักร้อนที่นี่ ข้าเชื่อว่าเราทั้งสองเห็นตรงกันในจุดนี้ ข้าไม่เชื่อว่าลำพังข้าคนเดียวจะฝ่าออกไปจากแดนบาปได้ และเมื่อไม่มีถังเทียน คงไม่มีใครในพวกเราที่จะฝ่าออกไปได้ และตอนนี้ข้าสูญเสียพลัง ข้าจะคุกคามพวกเจ้าได้ยังไง?”
“อันตรายเกี่ยวกับเจ้าไม่เกี่ยวกับวิทยายุทธของเจ้าเลย” ซือหม่าเซียงซานหัวเราะอย่างน่ากลัว ซือหม่าเซียงซานรู้ความแตกต่างระหว่างพวกเขา แผนและกลอุบายที่จะใช้ ซือหม่าเซี่ยวสามารถชิงตำแหน่งราชาแมงป่องได้ด้วยความช่วยเหลือของพลังสมาคมรวมตระกูล
ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ เขารู้ว่าคำพูดของเขามีประโยชน์อยู่บ้าง
“ถังห้าวยังไม่ตาย”ซือหม่าเซียงซานพูดขึ้นทันที
ซือหม่าเซี่ยวให้ความสนใจเพิ่มขึ้นทันที “นั่นก็แน่อยู่แล้ว ข้าไม่เคยมีความคิดเลยว่าเขาจะตายง่ายดายที่นี่ ว่าแต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเล่า?”
ซือหม่าเซียงซานมองดูเขา “เรื่องนี้ข้าบอกไม่ได้”
ซือหม่าเซี่ยวไม่โกรธแต่ยังชวนคุยต่อ “เจ้ามีแผนอะไรบ้างไหม?”
“ช่วยพวกเรากันเองก่อน” ซือหม่าเซียงซานโบกมือเขาให้ซือหม่าเซี่ยวและพูดอย่างลับๆล่อๆ “พวกเราทุกคนเป็นคนหยาบกร้าน และไม่มีใครในพวกเราที่มีแผนที่ดีเลย ข้าไม่คาดว่าจะได้พบเจ้าที่เชี่ยวชาญในที่นี้ ดังนั้นช่วยวางแผนสักอย่างให้เราด้วย”
ซือหม่าเซี่ยวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่พบใครที่กล้าพูดกับเขาอย่างไม่สุภาพมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่เขาเป็นบุรุษที่อยู่กับความเป็นจริง เขารู้ว่าการถือสาขัดเคืองเรื่องเล็กน้อยและไม่คิดถึงภาพรวมย่อมเป็นหนทางตายแน่ในฐานะบุรุษผู้มีความทะเยอทะยานและอำมหิต เขารู้วิธีตัดสินเวลาและประเมินสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี และเขามักทำได้โดดเด่นมากกว่าคนอื่น
เขารู้ว่าเป็นเวลาที่เขาจะต้องแสดงฝีมือ ถ้าเขาไม่แสดงประโยชน์ของเขา เขาคงไม่มีค่าอะไรเลย และสงสัยว่าซือหม่าเซียงซานอาจฆ่าเขาได้
เนื่องจากช่วงเวลาที่ถูกจองจำ เขาได้รับความเชื่อถือจากตระกูลหลี่ และค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานการณ์ของเมืองแสงฉายเพื่อแสวงหาโอกาสจากวิกฤติและการได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวนี่คือสิ่งที่เขาทำเป็นประจำและเป็นผู้เชี่ยวชาญ ถ้ามีแต่เพียงเขา ก็คงยากจะทำให้สำเร็จได้มากเท่าที่ต้องการ แต่พอร่วมกับซือหม่าเซียงซาน สถานการณ์อาจกล่าวได้ว่าแตกต่างออกไป ตระกูลหลี่ที่สนับสนุนเขารวมทั้งตระกูลม่อคอยสนับสนุนซือหม่าเซียงซานเป็นตระกูลหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองของของเมืองแสงฉาย
“ในเมื่อเจ้าต้องการเล่นเราน่าจะเล่นใหญ่ๆ ไปเลย” ซือหม่าเซี่ยวยิ้ม ยิ้มของเขาดูไร้อันตราย และเขาเริ่มเปิดเผยแผนของเขา
ยิ่งซือหม่าเซียงซานได้ยินก็ยิ่งทึ่งมากขึ้น ‘คนผู้นี้เจ้าเล่ห์จริงๆ’
เขาต้องยอมรับว่านี่เป็นแผนการที่แยบยลไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย ซือหม่าเซี่ยวคุ้นเคยกับการยืมกำลังเอาชนะคนอื่น ตอกลิ่มความสัมพันธ์และใช้เครื่องมือของเขาต่อพวกเขาให้มากที่สุด ซือหม่าเซียงซานเชื่อว่าตราบใดที่แผนการถูกใช้งาน ทั่วทั้งเมืองแสงฉายจะตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่มีใครคิดว่ามือที่ชักใยอยู่หลังม่านจะเป็นพวกเขาสองคน
‘ขณะนั้นเอง...’
ซือหม่าเซียงซานหรี่ตา ‘เมืองแสงฉายมีสมาชิกหน่วยสุญญตาอยู่700’
เขาเลียริมฝีปาก
*******************
ฉินเจิ้นส่งอาคันตุกะออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขามีร่างที่ใหญ่ หน้าตอบตาคม แม้ว่าเขากำลังยิ้ม แต่ก็ยังทำให้คนอื่นสั่นสะท้าน
หลังจากเขากลับแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป บ่าวและสาวรับใช้ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าส่งเสียง
ฉินจื่อเจินตาย, หน่วยพลธนูถูกทำลายทั้งหมดเว่ยหานและมู่เจ๋อตาย ตระกูลเซวียเลือกอิงอาศัยบุรุษหน้ากากผีและหลบหนีไปปราสาทเขาสะท้อน ข่าวที่ออกมาติดต่อกันเหล่านี้ประดังประเดเข้ามาจนเขาหน้ามืดพลังของบุรุษหน้ากากผีเกินไปกว่าที่เขาคาดไปมาก
ตระกูลฉินประสบความสูญเสียใหญ่ ถ้าเขาไม่รู้ว่าตระกูลหลูได้ส่งหลูเทียนเหวินออกไป ฉินเจิ้นคงกลับไปยังเมืองจื่อจวนทันที
เขาใจเย็นได้เมื่อรู้ว่าหลูเทียนเหวินเคลื่อนไหวแล้วและพุ่งเป้าไปที่การสร้างความสัมพันธ์และมีส่วนร่วมกับคนอื่น ตระกูลหลูดูเหมือนจะไม่สนใจเขาที่กำลังไล่ตามซื้อนักโทษหน่วยสุญญตาจากพวกเขา ถ้าไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางจะได้โอกาส เขารู้ว่าความสนใจของตระกูลหลูอยู่ที่ตระกูลเซวีย และรู้ว่าพวกเขาเห็นอะไรบางอย่างในตระกูลเซวีย แต่หลังจากผ่านมาหลายปีแล้ว เขาไม่เคยพบความลับตระกูลเซวียดังนั้นจึงตัดสินใจขายพวกนางออกไป
‘ราคานี้ไม่นับว่าเลว สามารถดึงดูดความสนใจของตระกูลหลูได้’
เขาต้องเข้าใจเวลา ทันทีที่ตระกูลหลูรับพิจารณา เขาเองคงไม่สามารถได้รับนักโทษหน่วยสุญญตาจากตระกูลอื่น และนั่นคือเหตุผลที่เขายังไม่กลับไปตระกูลฉิน
แต่อีกตระกูลหนึ่งไม่ใช่คนโง่ พวกเขาทุกคนรู้จักคุณค่านักโทษหน่วยสุญญตาอย่างชัดเจน และก่อนที่เขาจะมีเหตุผลสนับสนุน ไม่มีใครยินยอมขายพวกเขา นั่นทำให้การเจรจาพูดคุยยากมาก แต่ฉินเจิ้นยังได้การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ดี
เขาเจรจากับสามตระกูล แม้ว่าราคาที่เขาต้องจ่ายจะทำให้ตระกูลฉินกระเป๋ากลวง แต่สำหรับฉินเจิ้นแล้ว นั่นก็คุ้มแล้ว
หลายคนลอบเยาะเย้ยเขาและเห็นว่าการซื้อหาสมาชิกหน่วยสุญญตาเปล่าประโยชน์ เขาไม่สามารถดูดกลืนพวกเขาไว้ได้ทั้งหมด
สมาชิกของหน่วยสุญญตาเป็นที่รู้ดีกันว่าพวกเขาฝึกไม่ได้และชอบอาละวาด และนอกจากเป็นคนกลุ่มน้อยที่เลือกมั่นใจตนเองไม่มีใครอื่นสามารถข่มพวกเขาได้
ทุกคนคิดว่าตระกูลฉินไม่มีความสามารถดูดซับสมาชิกหน่วยสุญญตาและมีแต่จะระเบิดใส่หน้าเขาเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้วหน้าของฉินเจิ้นแค่นเสียงเย้ย
ไม่มีใครรู้ว่าเขามีวิธีเฉพาะที่ทำให้นักโทษฟังเขาอย่างว่าง่าย และเขาไม่กังวลว่าพวกเขาจะอาละวาด เขาไม่แตะต้องนักโทษหน่วยสุญญตาคนใดเลย เพราะเขาต้องการสลัดทิ้งความรู้สึกผิดๆว่าเขาเป็นนักพนันคนหนึ่งและไม่สนใจผลที่ตามมา จากที่คนอื่นคิดว่าเขาบ้าระห่ำ และขายนักโทษให้เขา
ขณะนั้นเองมีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก
จงเจิ้งเยียนเหม่ยพาร่างบอบช้ำบาดเจ็บของตนเองพรวดพราดเข้ามา “นายท่าน สี่ตระกูลใหญ่สุมหัวกันและลอบโจมตีเรา....”
ก่อนที่เขาจะสามารถพูดจบประโยค หน้าซีดของเขาก็ล้มลงกับพื้นและไม่หายใจอีกต่อไป
เพล้ง หน้าของฉินเจิ้นซีดขาวว่างเปล่าขณะที่ทำถ้วยชาหลุดจากมือ