ตอนที่ 733 ความฝันร้ายของสวี่อันจง
สวี่เย่ยังคงเงียบ
“นั่นคือสิ่งที่ข้าเห็น”
สวี่อันจงนั่งลงและกินอาหารบนโต๊ะอย่างมูมมาม หลังจากยืนสังเกตการณ์นอกเมืองในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาซ่อนตัวอยู่ในภูเขาในร่มเงาของปราสาทเขาสะท้อน เขากินและนอนอยู่นอกบ้าน และถ้าไม่ใช่เพราะเขาเคยฝึกฝนอย่างยากลำบากมาก่อน เขาคงทนอยู่ไม่ได้เป็นแน่
หลังจากผ่านไปนานชั่วขณะสวี่เย่จึงเอ่ยปาก “เจ้ากำลังบอกว่าเป็นหลูเทียนเหวินงั้นหรือ?”
ข้อมูลที่บอกเขานี้สำคัญมากจนยากจะกลืนน้ำลายลงคอได้
“ใช่แล้ว”สวี่อันตอบเสียงอู้อี้ เขาดีใจเนื่องจากได้รับการชื่นชมจากพี่ชายของเขา กระทั่งวันนี้พี่ชายของเขามักจะฉลาดที่สุดเสมอราวกับว่าเขาสามารถคาดเหตุที่เกิดขึ้นในอนาคตได้เสมอ และเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะได้เห็นพี่ชายของเขาทำหน้าตาประหลาดและตกใจ พี่ชายของเขามักจะยิ้มน้อยๆ และยากจะหยั่งถึง
สวี่อันจงเองสลายความตกใจในใจของได้นานแล้ว
เขาซดน้ำในแก้วและหยุดชั่วขณะหนึ่งจากนั้นกล่าว “นั่นคือหอกพายุสายฟ้าหลูเทียนเหวิน ข้าเห็นมาแน่นอน! เพียงแต่หอกพายุสายฟ้ามีพลังทำลายล้างมากถึงขนาดข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ อันดับ 39 ในทำเนียบผู้ยิ่งใหญ่ช่างร้ายกาจจริงๆ!”
เมื่อสวี่อันจงพูดคำนี้ว่า ‘ร้ายกาจจริงๆ’ เขาถึงกับต้องกัดฟันพูด
การต่อสู้ส่งผลต่อเขาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหลูเทียนเหวินหรือบุรุษหน้ากากผี พลังของทั้งสองคนเหนือกว่าพลังของเขาทั้งนั้น
หลังจากขังตัวฝึกฝนเมื่อเร็วนี้ พลังของเขามีคุณภาพแบบก้าวกระโดด แม้ว่าโดยผิวเผินเขาจะยังสงบอยู่ได้โดยไม่แสดงอะไรออกมา แต่ในใจของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในอดีต เขามักจะคิดว่าเขาไม่สามารถตามพี่ชายได้ทัน แต่ปัจจุบันนี้ เขาสามารถเห็นหลังพี่ชายได้แล้ว
หลังจากที่เขาเห็นการต่อสู้ที่ทรงพลังระหว่างทั้งสองคนแล้วความมั่นใจทั้งหมดของเขาสูญหายไปเหมือนควัน เขาคิดว่าหัวใจกระบี่ของเขาแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า แต่ตอนนี้เขาได้แต่ฝืนใจหัวเราะ และเมื่อเขาเห็นใบหน้าที่ตกใจของพี่ชายแล้ว เขารู้สึกว่าหัวใจกระบี่ที่แตกสลายของเขาได้รับการฟื้นฟูเล็กน้อย
เป็นไปตามคาด ความสุขมาจากการเปรียบเทียบ
“เล่ารายละเอียดทุกอย่างให้ข้าฟัง” สีหน้าของสวี่เย่จริงจังมากเหมือนกับว่าเตรียมรับมือภัยพิบัติ
สวี่อันจงกลับคิดไปอีกอย่าง ถ้าหลูเทียนเหวินบุกเข้ามาที่ประตูเมืองเขา เมืองจื่อจวน นอกจากตระกูลฉินแล้วไม่มีใครหนีพ้นเงื้อมมือเขาได้
“เมื่อหลูเทียนเหวินปรากฎตัว เขาไม่คิดจะซ่อนตัวแต่อย่างใดกลับบุกโจมตีปราสาทเขาสะท้อนโดยตรง คนแรกที่เข้ามาหยุดเขาก็คือหานปิงหนิง หานปิงหนิงปะทะกับเขาสิบกระบวนท่าก่อนจะได้รับบาดเจ็บ
เมื่อคิดถึงหานปิงหนิงแล้ว สวี่อันจงรู้สึกนับถือนางทันที ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงขนาดนั้นแต่นางยังต้านรับได้นานมาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสตรี แต่นางมีหัวใจของมือกระบี่
“นางปะทะฝีมือกับหลูเทียนเหวินถึงสิบกระบวนท่าเชียวหรือ?” สีหน้าของสวี่เย่ประหลาด
“ถูกแล้ว” สวี่อันจงหรี่ตาและคิดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยืนยัน “16 กระบวนท่า”
“16?เจ้าแน่ใจนะว่าเขาคือหลูเทียนเหวิน?”
“ใช่แน่!”
สีหน้าของสวี่เย่ไม่สามารถใช้คำว่าแปลกอีกต่อไป
ขณะนั้นสวี่อันจงเข้าใจว่าพี่ชายของเขารู้สึกอย่างไร ใช่แล้ว ใครที่ไหนก็ไม่รู้กระโดดลงไปต่อสู้รับพลังโจมตีจากหลูเทียนเหวินได้16 ท่า นั่นคือสิ่งที่ใครๆ พบว่ายากจะยอมรับได้
หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่งสวี่เย่ถามอีกครั้งอย่างยากลำบาก “หลังจากนั้นเล่า?”
“หลังจากนั้นก็เป็นบุรุษหน้ากากผีเข้ามาเปลี่ยน”สวี่อันจงนึกถึงฉากภาพในวันนั้น และเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “เขาควงดาบเล่มหนึ่ง ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะบุรุษหน้ากากผีไม่เคยใช้ดาบ เขาปรากฏด้านข้างหานปิงหนิงทันทีและรับนางไว้จากนั้นฟันใส่หอกของหลูเทียนเหวิน พลังโจมตีมีความสมดุลและจากนั้นบุรุษหน้ากากผีก็โยนหานปิงหนิงไปไว้ในที่ปลอดภัย เขาหมุนตัวและมาปรากฏอยู่ต่อหน้าหลูเทียนเหวินทันทีและฟันใส่อีกหนึ่งดาบดาบนั้นแปลกประหลาดมากเหมือนกับว่ามันถูกเงื้อขึ้นจากนั้นสับลงอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่เพิ่มพลังอะไรเหมือนกับเหมือนกับเครื่องบั่นคอ (กิลโยติน)”
นิ้วของสวี่อันจงซึ่งพักอยู่ที่เข่าสั่นเล็กน้อยแม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
สวี่เย่ตั้งใจฟังเต็มที่ เขาสามารถจินตนาการถึงฉากภาพการต่อสู้ และในน้ำเสียงที่สั่นของสวี่อันจงเขารู้สึกได้ถึงความกลัวและกังวลอย่างบอกมิถูก
สวี่อันจงหยุด เขายังคงเงียบและเส้นเลือดที่หน้าผากและมือของเขาปูดโปนอยู่ชั่วขณะทุกคนสามารถบอกได้เลยว่าหัวใจของเขาเต้นแรง เขาพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองเป็นอย่างดี แต่เขาไม่สามารถเป็นอิสระจากผลกระทบที่ดูการต่อสู้นั้น
สวี่เย่ไม่ส่งเสียง,เขาสามารถเห็นความพยายามของสวี่อันจงได้ และเขาเองก็ถูกความตกใจครอบงำ
หลังจากเงียบอยู่ห้านาที เสียงแหบแห้งของสวี่อันจงจึงค่อยดังออกมา “หลูเทียนเหวินปลิวกระเด็น”
สวี่เย่สะดุ้ง จากนั้นเบิกตากว้าง “หลูเทียนเหวินปลิวกระเด็น?”
“ถูกแล้ว”สวี่อันจงสูดหายใจลึกและพูดต่อ “เขาปลิวไปตลอดทาง ร่างของบุรุษหน้ากากผีปรากฏหลังจากถอยไปหนึ่งก้าว แต่เขาก็พุ่งเข้าหาอีกทันที ไม่ใช่บิน ข้าจำได้แต่เป็นพุ่งเข้าหา! ท่าเท้าของเขาแปลกประหลาด อากาศใต้เท้าของเขาถูกอัดแน่นจะมีรูปคล้ายกับชาม และเมื่อเขาก้าวไปบนนั้นเขายืมแรงเหวี่ยงสำหรับพุ่งไปข้างหน้า มันไวมาก! ตรงจุดนั้นข้ามองไม่เห็นเขา! เขาพุ่งเข้าหาหลูเทียนเหวินและฟันออกเป็นครั้งที่สอง”
ครั้งนี้เสียงของสวี่อันจงไม่สั่นอีกต่อไป เขายืนขึ้น หน้าของเขาแดงเล็กน้อยเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ดาบฟันจากด้านล่างขึ้น เหมือนกับว่าจะสามารถตัดท้องฟ้าได้ ปฏิกิริยาของหลูเทียนเหวินรวดเร็วมากหอกที่สองของเขาดุร้ายรุนแรงประกอบกับมีพลังวังวน ดาบกับหอกปะทะกัน ครั้งนี้บุรุษหน้ากากผีไม่ได้เปรียบและเป็นฝ่ายกระเด็นออกไปบ้าง หลูเทียนเหวินน่าอนาถยิ่งกว่า เขาทะลุเข้าไปในภูเขา
สวี่เย่ตะลึง ‘ทะลุเข้าไปในภูเขา…’
“ถึงตอนนี้หลูเทียนเหวินถึงกับคลั่งเขาวิ่งออกมาและมีสายลมและสายฟ้าอยู่รอบตัวเขาและที่ปลายหอกของเขา เขาปลดปล่อยระลอกพลังทำให้ลมและสายฟ้าทั้งหมดควบแน่นจากนั้นจึงแทงหอกออกไป บุรุษหน้ากากผีเพียงแต่เงื้อดาบ แต่รัศมีรอบตัวเขาประหลาดมาก...”
สวี่อันจงพูดโดยเร็วพร้อมกับสีหน้าแดงและโบกมือพัลวัลเหมือนกับคนบ้า
“หอกของหลูเทียนเหวินดูเหมือนจะพุ่งตรงเข้าหาดาบของบุรุษหน้ากากผี ดาบแตกกระจาย แต่รังสีหอกของหลูเทียนเหวินบวมเป่งเหมือนกับลูกโป่ง ปัง มันระเบิดออก! หลูเทียนเหวินถึงตัวไหม้เกรียมทันที ขณะที่ร่างกายครึ่งหนึ่งของบุรุษหน้ากากผีก็แทบถูกทำลาย จากนั้นท่านรู้ไหมว่าข้าเห็นอะไร? ข้าเห็นบาดแผลของบุรุษหน้ากากผีสมานตัวและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว...”
“กฎเป็น!” ครั้งนี้สวี่เย่ถึงกับตกใจหนัก หน้าของเขาบิดเบี้ยวเหยเกจนน่ากลัวว่าอาจพิการได้ถ้าทำนานไปกว่านี้ เขาเองฝึกกฎเป็นตายมาด้วย ดังนั้นเขาไม่ใช่ว่าจะไม่คุ้นเคยกับกฎเป็น
‘เป็นแบบนั้นไปได้ยังไง...’
‘ใช่แล้ว เขาใช้กฎธรรมชาติ กฎเป็น... ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”
สวี่อันจงหัวเราะเหมือนคนบ้า หน้าของเขาแดงไปทั้งหมด ทันใดนั้นเขากระอักโลหิตและล้มลงกับพื้น หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ
สวี่เย่หน้าเปลี่ยนเขาวางมือบนหน้าผากของสวี่อันจงและถ่ายกฎเป็นเข้าไปในตัวของสวี่อันจง หลังจากนั้น เขาจึงระบายลมหายใจโล่งอก สวี่อันจงปลอดภัยแล้ว และเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เขากระอักโลหิตออกมา
‘แต่การต่อสู้ทำให้ยอดฝีมืออย่างสวี่อันจงทรมานใจ...’
สวี่เย่ตกใจเหมือนกัน
หลังจากเวลาผ่านไปอาการตกใจค่อยๆ หายไป และเขาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
‘ดูเหมือนว่าหลายอย่างจะต้องวางแผนกันใหม่อีกครั้ง’
**************
ปราสาทเขาสะท้อนกำลังร้อนแรง
เหล็กหลอมสีแดงไหลออกจากเตาและไหลไปตามรางระบายเข้าสู่แม่พิมพ์
ชี่.....น้ำที่ประพรมรดทำให้ตัวดาบหลอมสีแดงเย็นลง และน้ำก็ร้อนขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องขัดมันหรือลับคม เราจำเป็นต้องรีบ ไปอีกเตาหนึ่ง”
หมิงจูม้วนแขนเสื้อของนาง หน้าของนางเปื้อนเขม่า ตระกูลเซวียทั้งหมดล้วนแต่เป็นสตรีและนางไม่มีตัวเลือกอื่น แต่พากันไปหลอมอาวุธ ทุกคนรู้ว่าพวกนางอยู่ในสถานการณ์ที่บ่นหรืออิดออดไม่ได้ สตรีที่บอบบางทุกคนนี้ก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานของนาง
โชคดีสำหรับพวกนางนี่เป็นวิธีการหลอมที่ง่ายที่สุด มิฉะนั้นหมิงจูและสาวๆคงไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้
แม้ว่าจะเป็นงานที่ยากลำบาก แต่โชคดีที่กลุ่มสตรีผู้บอบบางใช้รถใหญ่ขนดาบใหญ่ไปที่สนามฝึกฝนและสามารถพูดด้วยความมั่นใจ “ดาบเหล่านี้พวกเราต้องทำงานหนักและเจ็บปวดจึงจะได้มา พวกเจ้ามิอาจแพ้เด็ดขาด เข้าใจนะ”
เมื่อกลุ่มของบุรุษผู้แข็งแรงได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นคำพูดที่แฝงนัยยะเกี้ยวของสาวๆ ทำให้หนุ่มๆ ขนลุกเกลียวและกำลังใจต่อสู้ของเขาทะยานทันที เหมือนกับเปลวไฟ ทุกคนคว้าดาบหัวตัดขนาดเท่าบานประตูและทาบไว้ที่หน้าอกพวกเขา เสียงเหมือนโลหะกระทบการควบคุมและความภูมิใจที่แปลกประหลาดเริ่มปรากฏให้เห็น การทำท่าลงโทษที่แปลกประหลาดทั้งหมด การฟันการหั่น การทุบศัตรูให้เละ กำลังใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นมากมาย
แน่นอนว่าถังเทียนไม่ได้สนุกตามไปด้วย ในใจของเขามีเพียงเชียนฮุ่ยเท่านั้น
เขากำลังคิดหาวิธีนำวิชาดาบมารพิฆาตมาใช้เป็นวิชามือดาบ
แม้ว่าจะเสียเปรียบอาวุธ แต่ท่าหมัดและฝ่ามือก็ยังคุ้นเคยและไหลลื่นมากกว่า และถังเทียนรู้สึกว่าร่างของเขาแข็งแกร่งมากกว่าอาวุธทั่วไป
ขณะที่ใช้ฝ่ามือของเขาเลียนแบบมีด ถังเทียนคุ้นเคยกับมันมาก ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีคนแก่คนหนึ่งบอกว่าเขาเหมาะกับการเป็นยอดฝีมือระยะประชิด แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ตระหนัก แต่ฝีมือสู้ระยะประชิดของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นจริงๆ
วิชาดรรชนีฝ่ามือ ท่าเตะมีความติดต่อเชื่อมโยงกัน สิ่งเหล่านี้คือวิทยายุทธที่เขาทำได้ดีที่สุด
หลังจากลองดูอยู่สองสามครั้ง ถังเทียนก็พบเคล็ดในการใช้
แต่ยังมีความแตกต่างกันมากระหว่างดาบจริงกับวิชาฝ่ามือมีด หลังจากทดสอบหลายครั้งแล้ว เขาสามารถใช้มือเหมือนดาบได้ แต่ถังเทียนยังคงรู้สึกว่ามีความรู้สึกอึดอัด
‘ทำไมข้าถึงรู้สึกอย่างนี้?’
ถังเทียนไตร่ตรองอย่างหนัก เขาพบปัญหาอย่างรวดเร็ว เป็นรูปแบบสุดท้ายนั่นเอง
ท่าดาบสุดท้ายจะตรึงกับข้อมือ ขณะที่ท่าสุดท้ายของฝ่ามือมีดจะเป็นที่นิ้วมือ นั่นหมายความว่าการใช้ดาบมารพิฆาตสมบูรณ์แบบ แต่การใช้มือแทนดาบมารพิฆาตยังมีช่องว่างระหว่างรูปแบบ
เป็นครั้งแรกที่ถังเทียนเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นเพิ่มพื้นที่ท่าทางจะทำให้คนพ่ายแพ้ได้
เป็นปัญหาที่ชามใหญ่เกินไปจะไม่ทางเติมข้าวให้เต็มได้
แต่ถังเทียนไม่ต้องการเสียพื้นที่เพิ่มรูปแบบกระบวนท่า เพราะหมายความว่ายังคงมีการค้างคาอยู่ การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือขึ้นกับเส้นแบ่งข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียว
ดาบมือข้างเดียวเหมาะสมที่จะปล่อยพลังดาบมารพิฆาตมากกว่าดาบที่แท้จริง เพียงแต่ถังเทียนสามารถทำได้ เพราะร่างกายของเขาแข็งแกร่งมาก มือของเขาสามารถใช้งานพลังต้นกำเนิดในตัวของเขาได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นใช้มือปล่อยพลังวิชานี้มือของเขาอาจขยายเหมือนลูกโป่งและระเบิดได้
ถังเทียนหมกมุ่นอยู่กับวิชานี้
เขายังไม่เข้าใจท่าเสียสละพิฆาตและมารฟ้าสังหารเขาตระหนักจากท่าข้าคือมารพิฆาตแล้วว่าทุกการฟัน ไม่ใช่แค่วิชาอีกต่อไป แต่จำเป็นต้องสอดคล้องไปกับวิชา
เขาสามารถใช้ท่าข้าคือมาพิฆาตได้ซึ่งเป็นประสบการณ์จากสภาพใจที่ว่างเปล่า ว่างเปล่าจากการพยายามและกีดขวางโดยสอดคล้องไปกับสภาพใจที่มีต่อวิชา เขาสามารถปล่อยให้พลังต้นกำเนิดในร่างของเขาอยู่ในสภาวะสมดุลที่แปลกประหลาด เหมือนกับแสงอาทิตย์สาดส่องไล่ความมืดผ่านก้อนเมฆหลังฝนฟ้าคะนองเผยให้เห็นความสงบหลังพายุผ่านพ้น
นั่นคือสาเหตุที่พลังของดาบเขาสามารถผ่านรัศมีเข้าไปในหอกของหลูเทียนเหวินก่อนที่จะระเบิด
ถังเทียนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่เขาสามารถมีประสบการณ์ที่พลังต้นกำเนิดมีความสอดคล้องกับสภาพใจของเขา ทำให้ดาบมารพิฆาตประสบความสำเร็จ
วิชาดาบมารพิฆาตไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด แม้แต่ลูกหลานของตระกูลเซวียก็ยังสูญเสียวิธีใช้ ถังเทียนแค่มองง่ายๆสามารถคาดเดาได้เพียงสองท่าล่าสุด เขารู้ว่าพลังของมันไม่ใช่เล็กน้อย และเป็นพลังที่เขาสามารถปล่อยได้เรื่อยๆ เมื่อเทียบอีกสองท่า
‘เสียสละพิฆาตคืออะไร? มารฟ้าพิฆาตคืออะไร? ข้าไม่เข้าใจเลย’
ถังเทียนเชื่อในการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับเขา พวกอัจฉริยะจะฝึกความคิดและใจของพวกเขา แต่หนุ่มชาวฟ้ามักใช้กล้ามเนื้อเพื่อเรียนรู้
‘หยาดเหงื่อไม่เคยโกหก ใช่แล้ว ร่างกายมักจะบอกความจริง’