ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 167 กับดักในห้องเก็บศพ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 167 กับดักในห้องเก็บศพ
แปลโดย iPAT
“เจ็ดสิบห้ากิโลเมตรทางทิศตะวันออก มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อหมู่บ้านถ้ำ เมื่อเร็วๆนี้ชายฉกรรจ์หลายคนตายอย่างแปลกประหลาด มีคนเห็นศพเดินออกมาจากห้องเก็บศพ ข้าสงสัยว่ามันเป็นฝีมือของจอมยุทธ์พลังปราณ ดังนั้นจงไปตรวจสอบเรื่องนี้” จ้าวจื่อป๋อกล่าวอย่างเย็นชาและโยนเอกสารให้หลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานอ่านเอกสารก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ศพเดินได้? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนักพรตผีดิบหรือไม่?” หลี่ฉิงซานนึกถึงอาชญากรอันดับต้นๆในบัญชีดำของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิง คนผู้นี้สามารถหลบหนีจากการไล่ล่าของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มาเป็นเวลานานซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา
จ้าวจื่อป๋อกล่าว “อันใด? เจ้ามีข้อโต้แย้งงั้นหรือ? นี่เป็นเพียงการตรวจสอบ...”
หลี่ฉิงซานขัดจังหวะ “แน่นอน ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง นี่เป็นเพียงการตรวจสอบ มันไม่อันตราย ไม่จำเป็นต้องกังวล ผู้บัญชาการจ้าว ข้าจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แม้ข้าจะพบนักพรตผีดิบ ข้าก็มีวิธีเอาชีวิตรอด” ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว เหตุใดเขาต้องปฏิเสธ? เขายังบอกจ้าวจื่อป๋อเป็นนัยว่าหากเจ้าไม่ลงมือด้วยตนเอง เจ้าจะไม่มีวันฆ่าข้าได้
ในที่สุดจ้าวจื่อป๋อก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ หลี่ฉิงซานดูเหมือนจะไม่กลัวว่ามันจะเป็นแผนการของเขา จ้าวจื่อป๋อไม่ใช่คนโง่ เขาเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะแข็งแกร่งจริงๆ
“เด็กที่เจ้าพากลับมาไม่สามารถร่วมภารกิจ นางสามารถพักอยู่ที่นี่” เขายังไม่ลืมเม็ดยาเมฆาพิรุณที่จะได้รับจากนิกายเมฆาพิรุณ
“นางจะไม่แยกกับข้า หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้” หลี่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจังและจากไปทันที
…..
เจ็ดสิบห้ากิโลเมตรไม่ถือว่าไกลสำหรับหลี่ฉิงซาน เขามาถึงหมู่บ้านถ้ำก่อนเที่ยงคืนพร้อมกับเสี่ยวอัน
หลี่ฉิงซานเดินบนเส้นทางที่ว่างเปล่ากระทั่งไปถึงอาคารที่ดูมืดมนและมีป้ายที่มีคำว่า ห้องเก็บศพ สลักไว้
ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตในต่างแดนไม่ว่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย ห้องเก็บศพมีไว้เพื่อเก็บศพของคนไร้ญาติเผื่อในกรณีที่วันหนึ่งญาติของพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นและต้องการนำร่างของพวกเขากลับไปฝังที่บ้านเกิด
นี่เป็นการแสดงความเอื้ออาทรของผู้คนบนโลกใบนี้ อย่างไรก็ตามศพจำนวนมากถูกเก็บไว้นานหลายปีโดยไม่มีผู้ใดมารับกลับ เมื่อพลังหยินควบแน่นมากขึ้น มันจึงให้กำเนิดผีดิบขึ้นมา ชาวบ้านต้องขอเชิญนักบวชมาช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณของคนตายเหล่านี้เสมอ
อย่างไรก็ตามห้องเก็บศพแห่งนี้ถูกทิ้งร้างและใกล้จะพังทลายลงแล้ว หากหลี่ฉิงซานต้องการตรวจสอบ ที่นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
เพื่อให้หลี่ฉิงซานตกลงสู่หลุมพราง จ้าวจื่อป๋อเสนอแต้มผลงานจำนวนมากสำหรับภารกิจนี้
เมื่อถึงทางเข้าห้องเก็บศพ หลี่ฉิงซานก็หยิบดาบวายุออกมา จากนั้นก็เป็นโล่จิตวิญญาณ นอกจากนี้เขายังเตรียมยันต์อีกมากกว่ายี่สิบแผ่นไว้ใช้ในเวลาฉุกเฉิน
แม้เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตน แต่เขาไม่ได้งี่เง่า เป็นไปได้มากที่เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ขั้นหก นักพรตผีดิบ และจอมยุทธ์ขั้นหกอีกคนที่ชื่อ จ้าวจื่อป๋อ อาจมาถึงแล้วและเฝ้ามองอยู่ในความมืด เขาไม่สามารถประมาท
หลังจากเตรียมพร้อม เขาก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องเก็บศพ
มีโลงศพหลายสิบโลงอยู่ภายใน บางโลงเก่ามาก แต่บางโลงก็ยังใหม่ พื้นเต็มไปด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง ผ้าม่านที่พังลงมาทำให้มันดูน่าขนลุกมากขึ้น
สภาพแวดล้อมเช่นนี้อาจทำให้คนทั่วไปหวาดกลัว แต่หลี่ฉิงซานผ่านการเข่นฆ่ามามาก จิตสังหารของเขาแม้แต่ผียังต้องหลบ
เสี่ยวอันที่อยู่ด้านข้างเบิกตากว้างโดยปราศจากความกลัวใดๆ ตรงข้าม นางดูกระตือรือร้นมาก ความรู้สึกที่นางมีต่อศพอาจเหมือนกับความรู้สึกของหลี่ฉิงซานที่มีต่อเม็ดยารวบรวมพลังปราณ
หลี่ฉิงซานเดินไปที่โลงศพสีดำสนิทและใช้ดาบวายุแทงเข้าไปในรอยแยกระหว่างฝาโลง ด้วยการบิดข้อมือ ฝาโลงถูกโยนขึ้นสู่อากาศและตกลงบนพื้น ชายวัยกลางคนนอนอยู่ในโลงด้วยร่างกายสีม่วง
หลี่ฉิงซานสงสัยว่าชายผู้นี้ตายอย่างไร
เขาไม่มีความสามารถในการชันสูตรศพ เขาทำได้เพียงเปิดโลงศพไปเรื่อยๆด้วยความเบื่อหน่าย สิ่งที่เขารออยู่มีเพียงจ้าวจื่อป๋อ
ห้องเก็บศพอยู่ในพื้นที่รกร้างและห่างไกลจากหมู่บ้าน ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับจ้าวจื่อป๋อ
ขณะที่หลี่ฉิงซานกำลังคิดว่าเขาควรวางกับดับจ้าวจื่อป๋อหรือไม่ ศพในโลงก็เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมกับเขี้ยวคู่หนึ่งที่ยื่นออกมาจากปาก เมื่อผีดิบตนนี้กำลังจะโจมตีหลี่ฉิงซาน เขาก็เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กปีนขึ้นไปบนโลงศพและชี้นิ้วไปที่หน้าผากของศพ
หลี่ฉิงซานเร่งกล่าว “อย่าพึ่งกินมัน ผู้ใดจะรู้ว่ามันอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว”
เสี่ยวอันแลบลิ้นออกมา โลงศพกลายเป็นว่างเปล่าเมื่อนางดับไฟ ในจังหวะนี้นางพลันรู้สึกถึงกลิ่นอายของมนุษย์ที่มีชีวิต นางปิดเปลือกตาลงและเป็นไปตามคาด มีมนุษย์ที่มีชีวิตซ่อนตัวอยู่ในโลงศพสองสามโลงที่อยู่รอบๆ
ทันทีที่หลี่ฉิงซานเดินไปตรงกลาง สัญลักษณ์บางอย่างก็ส่องสว่างขึ้นใต้เท้าของเขาพร้อมกับแรงดึงดูดมหาศาล เขารู้สึกเหมือนร่างกายหนักขึ้นหลายตัน ขณะเดียวกันพลังปราณของเขาก็ดูเหมือนจะเคลื่อนที่ช้าลง
ฝาโลงศพเปิดออก ร่างสี่ร่างกระโจนออกมา พวกเขายกมือขึ้นและเล็งไปที่หลี่ฉิงซาน
ลูกดอกจำนวนมากถูกยิงออกจากหน้าไม้
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว...”
โล่จิตวิญญาณบนมือซ้ายของหลี่ฉิงซานขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังเป็นชุด “บึม บึม บึม บึม...”
เสียงระเบิดดังขึ้นด้านหลังหลี่ฉิงซานเช่นกัน แต่เขาไม่ได้หันกลับไป เสียวอันชักดาบที่ซ่อนอยู่ออกมา ดาบกลายเป็นภาพติดตาขณะที่มันปะทะลูกดอกทุกลูกอย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์ที่อยู่บนพื้นยิ่งกดดันคนทั้งสองมากขึ้นเรื่อยๆ
โล่จิตวิญญาณตกลงกระแทกพื้น
“พี่ใหญ่ เราได้ตัวเขาแล้ว!” เสียงโห่ร้องดีใจดังขึ้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตอบกลับเขากลับเป็นคมดาบ
…..
หลังจากหลี่ฉิงซานออกเดินทาง จ้าวจื่อป๋อก็เอนกายนั่งพักผ่อนสายตาอยู่บนเก้าอี้ของเขาโดยมีเก้อเจี้ยนยืนอยู่ด้านข้าง
ไม่นานจ้าวจื่อป๋อก็เปิดเปลือกตาขึ้น “เก้อเจี้ยน ไปเรียกทุกคนมารวมตัวกัน เราต้องไปเสริมกำลังให้หลี่ฉิงซาน”
เก้อเจี้นรู้สึกยินดีแต่เขายังไม่เข้าใจ “ผู้บัญชาการ เราต้องใช้ทุกคนจริงๆงั้นหรือ?” เขาคิดว่าเพียงจ้าวจื่อป๋อคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการหลี่ฉิงซานและปกปิดเรื่องทั้งหมดแล้ว
“ข้าบอกให้ไปก็ไป!” จ้าวจื่อป๋อกล่าวด้วยความไม่พอใจ เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาเริ่มคิดว่าหลี่ฉิงซานอาจไม่ใช่เหยื่อที่สามารถจัดการได้ง่ายดังที่เขาจินตนาการไว้
“ผู้บัญชาการ!”
ไม่นานหลังจากนั้นเก้อเจี้ยนก็กลับมาหาจ้าวจื่อป๋อพร้อมกับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์หกคน คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของจ้าวจื่อป๋อทั้งสิ้น
เมื่อมองไปที่คนเหล่านี้ ความไม่สบายใจของจ้าวจื่อป๋อก็ค่อยๆหายไป ขณะที่ความเกลียดชังที่มีต่อหลี่ฉิงซานทวีความรุนแรงมากขึ้น พวกเขาไม่สามารถเจรจากันได้อีกต่อไป เขาต้องฆ่าหลี่ฉิงซานเท่านั้น
จ้าวจื่อป๋อกล่าว “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่”
“เป็นเพราะหลี่ฉิงซานเช่นนั้นหรือ?”
จ้าวจื่อป๋อตอบ “แน่นอน เด็กนั่นล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว หากข้าไม่ฆ่าเขา ข้าจะไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุข!”
“ขออภัยกับสิ่งที่ข้ากำลังจะกล่าว หลี่ฉิงซานอาจมีทักษะบางอย่าง แต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสอง เหตุใดพวกเราทั้งหมดต้องเคลื่อนไหวพร้อมกัน?” ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์หัวโล้นอายุมากกว่าหกสิบปีกล่าว
ชื่อของเขาคือเซี่ยหนานเต๋อ เขาเป็นสมาชิกที่มีประสบการณ์มากที่สุดคนหนึ่งของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิงและเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มซึ่งเป็นสาเหตุที่เขากล้าตั้งคำถามต่อคำสั่งของจ้าวจื่อป๋อ
คนอื่นๆรู้สึกเช่นเดียวกัน
จ้าวจื่อป๋อเข้าใจความคิดของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงต้องให้เหตุผลที่น่าพอใจกับคนเหล่านี้ “ตาแก่เซี่ย ข้าบอกนักพรตผีดิบเกี่ยวกับหลี่ฉิงซานแล้ว ข้าบอกเขาว่าข้าจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขา ร่างกายของจอมยุทธ์ยอดเยี่ยมกว่าคนทั่วไปมาก ข้าปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเขาจะไม่สนใจเด็กนั่น”
ผู้บัญชาการหมาป่าอินทรีย์ที่ยิ่งใหญ่กำลังร่วมมือกับอาชญากรเพื่อเป้าหมายของตน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหักหลังผู้ใต้บังคับบัญชาและขายเขาให้ศัตรู
อย่างไรก็ตามไม่มีผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์คนใดแปลกใจ เซี่ยหนานเต๋อกล่าว “เช่นนั้นพวกเราก็ยิ่งไม่มีความจำเป็น นักพรตผีดิบมีทักษะในการควบคุมศพที่น่าตกใจ กระทั่งจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หลี่ฉิงซานต้องตายอย่างแน่นอน”
จ้าวจื่อป๋อกล่าว “นักพรตผีดิบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำผีดิบตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถแตะต้องเขา หากเราสามารถล่อเขาออกมาและฆ่าเขาได้ในครั้งนี้ มันจะเป็นผลงานใหญ่ นอกจากนั้นนักพรตผีดิบยังซ่อนสมบัติล้ำค่ามากมายเอาไว้ การฆ่าหลี่ฉิงซานเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น”
เซี่ยนหนานเต๋อป้องหมัดขึ้น “ผู้บัญชาการ แผนการของท่านช่างลึกซึ้งนัก ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ข้ายินดีรับใช้ท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่!” ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์คนอื่นๆเร่งตอบสนองเช่นเดียวกัน หัวของนักพรตผีดิบมีค่ามากกว่าหนึ่งหมื่นแต้มผลงาน พวกเขาจะได้รับแต้มผลงานคนละมากกว่าหนึ่งพันแต้มเป็นอย่างน้อยและรวมถึงสมบัติอีกมากมาย
ทันทีที่ฟ้าสาง ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แปดคนก็ออกจากเมืองเจียเผิงโดยมีจ้าวจื่อป๋อเป็นผู้นำกลุ่ม นี่เป็นกองกำลังที่สามารถทำลายล้างนิกายและกองกำลังขนาดเล็กทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์สองสามคนเฝ้ามองพวกเขาจากไปและพูดคุยกันอยู่ที่ลานกว้างใต้รูปปั้นอินทรีย์ยักษ์
“หลี่ฉิงซานอาจจบสิ้นในครั้งนี้” ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จมูกโตส่ายศีรษะและถอนหายใจ
“จุ๊ๆ เงียบหน่วย เราไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้” ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ด้านข้างเตือน
“จะกลัวสิ่งใด? ลูกสมุนคนสนิทของผู้บัญชาการจ้าวออกไปทั้งหมด” ชายจมูกโตกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เจ้ากำลังกล่าวสิ่งใด?” ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นด้านหลังพวกเขา