ตอนที่ 723 แมงป่องดาว
หลังจากเลื่อนเป็นอสูรในตำนาน พลังอาหงจากเมื่อก่อนต่างกันกับเดี๋ยวนี้ราวฟ้ากับดิน
นางตระหนักว่าตัวนางเองมีคัมภีร์อัญเชิญชั้นเงินเล่มหนึ่ง เมื่อนางอัญเชิญคัมภีร์ออกมา
เมื่ออู๋เหินและเย่ว์หวี่ตรวจดูทักษะแฝงเร้นและอสูรพิทักษ์ที่อาหงได้มาด้วยความสงสัย อาหมันชื่นชมยินดีกับอาหงที่สุด ทั้งยังหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นอสูรในตำนานอย่างอาหงให้ได้สักวัน และจะช่วยเจ้านายเอาชนะศัตรูที่ทรงพลังได้ในการต่อสู้ที่จะมีมาในอนาคต แม้ว่าพลังของนางเองจะเอาชนะอสูรปราณฟ้าได้แล้วก็ตาม
ทักษะแฝงเร้น – ปีกศึก เปลี่ยนปีกศึกให้อยู่ในสภาพพร้อมรบ ขนปีกจะปล่อยพลังที่มีคุณสมบัติต่างๆ กัน อย่างสั้นที่สุดอยู่ได้หนึ่งชั่วโมง นานที่สุดอยู่ได้หนึ่งวัน ระดับทักษะแฝงเร้นในปัจจุบันนี้อยู่ที่ระดับหนึ่ง
“ปีกของข้าเล่า?” อาหงพบว่าปีกของนางหายไป
“นี่เจ้าเพิ่งมารู้เอาป่านนี้หรือ?” อู๋เหินและเย่ว์หวี่หยอกล้อกับความไร้เดียงสาของนาง
“เพ่งสมาธิ” เย่ว์หยางให้คำแนะนำอาหง
เมื่ออาหงตั้งสติได้ตามปกติ ปรากฏมีประกายแสงสดใสอยู่รอบตัวนางและพลังงานหนาแน่นอยู่ภายในร่างกายนางก่อตัวเป็นปีกนกพลังงานสีขาวบริสุทธิ์อยู่ที่หลังของนาง ภายในขนปีกพลังงานสีขาวนั้น มีขนปีกเงินนุ่มนวลอยู่ที่ปีกซ้าย และขนปีกทองอยู่ที่ปีกขวา
ปีกนกทั้งสองควรจะเป็นรูปแบบของขนปีกศึกที่นางสามารถแปลงพลังได้ตอนนี้
แม้ว่าอาหงจะยังไม่รู้วิธีสลับปีกศึกสำหรับใช้งานในตอนนี้ แต่ญาณทิพย์ของเย่ว์หยางมองเห็นความจริงนี้ได้
พลังปีกขาวบริสุทธิ์มีคุณลักษณะของแสง มันช่วยให้นางสามารถต่อต้านคำสาปชั่วร้ายและบินได้เร็ว
ขนปีกพลังงานสีเงินเพิ่มความสามารถทางจิตให้นาง ถ้าพลังงานขนนกเปลี่ยนเป็นขนนกศึกสีเงิน อาหงจะมีพลังคลื่นเสียงหวีด แส้ลงทัณฑ์และคำสาปเป็นแพะเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามความปรับปรุงก้าวหน้าเฉพาะเป็นการประเมินสำหรับเย่ว์หยางเท่านั้น เพราะขนปีกศึกสีเงินสามารถเปลี่ยนไปได้หนึ่งชั่วโมง และจะสามารถเลื่อนระดับไปเป็นเทวทูตได้ และพลังคลื่นเสียงกรีด แส้ลงทัณฑ์และพลังสาปเปลี่ยนเป็นแพะก็จะถูกเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ขนปีกสีทองจะช่วยส่งเสริมความสามารถของนางได้โดยตรง
มันช่วยปรับปรุงพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของนางได้อย่างครอบคลุม
ข้อมูลภาพอาหงในคัมภีร์อัญเชิญของเย่ว์หยางเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับในอดีต อาหงเคยเป็นเป็นนางพญากระหายเลือด บัดนี้กลายเป็นเทพธิดาโลหิต (ครึ่งตื่น)
นอกจากคลื่นเสียงกรีด แส้ลงทัณฑ์และคำสาปเปลี่ยนเป็นแพะแล้ว
อาหงพัฒนาความสามารถพิเศษของนางสองอย่างคือ สุดยอดความเร็ว และ ปีกสวรรค์
สุดยอดความเร็ว ตามความหมายของชื่อก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าความเร็วในการบินของอาหงเพิ่มขึ้นมากมายเพียงไหน ขณะที่ปีกสวรรค์ อาหงสามารถเปลี่ยนเป็นขนปีกศึกสำหรับใช้ต่อสู้ได้ นี่เป็นทักษะพิเศษที่สอดคล้องกับความสามารถโดยธรรมชาติของนาง ส่วนที่ลึกลับที่สุดของปีกสวรรค์ก็คือ อาหงสามารถแบ่งปันสถานะเปลี่ยนแปลงของปีกศึกกับเย่ว์หยางได้ ในทักษะพิเศษทั้งหมดของนางในอดีตนั้น อาหงสามารถแค่แบ่งทักษะแส้ลงทัณฑ์ให้เย่ว์หยางเท่านั้น แต่บัดนี้นางมีทักษะที่แบ่งปันกันใช้กับเขามากขึ้น ความแตกต่างอย่างเดียวระหว่างผลของแส้ลงทัณฑ์และปีกสวรรค์ก็คือ เย่ว์หยางไม่สามารถแปลงพลังงานเข้าไปในปีกรบอย่างอาหงได้
การอยู่ในสภาพเทพธิดาครึ่งตื่นทำให้อาหงทรงพลังมากจนทันและแซงอาหมันที่ฝีมือนำหน้าคนอื่นหลายปีแสงไปแล้ว แม้ว่านางจะไม่มีพลังเทพธิดาที่แท้จริง
ทักษะแฝงเร้นพิเศษของนางอย่างเช่นคลื่นเสียงกรีด และแส้ลงทัณฑ์ถึงระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถทำร้ายวิญญาณได้
ถ้าอาหงมีพลังตื่นเต็มที่และกลายเป็นเทพธิดาเต็มที่ พวกนักสู้ระดับปราณฟ้ายกเว้นแต่พวกสุดยอดฝีมือ จะพากันตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นนาง
“อสูรพิทักษ์ของเจ้าคืออะไร?” อู๋เหินและเย่ว์หวี่ถามด้วยความสงสัย อย่าว่าแต่คนอื่นๆ เลย อาหงเองที่กลายเป็นเทพธิดาก็ยังรู้สึกปรารถนาแรงกล้าต้องการดูว่าอสูรพิทักษ์ของนางเป็นยังไง นางเรียกคัมภีร์อัญเชิญออกมา หลังจากพลิกดูคัมภีร์อัญเชิญ ทั้งสามสาวตะลึงกับอสูรพิทักษ์ของอาหง
“อะไรกันนั่น” เย่ว์หยางถามพร้อมกับยิ้ม
“เอ่อ..ดูเหมือนจะไม่ใช่อสูรพิทักษ์ประเภทใช้รบ..” อาหงค่อนข้างอาย นางพบว่าอสูรพิทักษ์นี้เกินไปจากที่นางคาดว่าจะเป็นอสูรรบ
ภูตพิราบ : อสูรศึกชนิดพิเศษชั้นเงินระดับสาม เป็นคู่นกพิราบตัวผู้ตัวเมียที่มีชีวิตสงบสุข ไม่มีพลังรบ เด่นในเรื่องการบิน มันสามารถเดินทางผ่านเวลาในเวลาที่กำหนด และบินไปยังเป้าหมายที่เป็นมิตรและไม่เป็นมิตรได้วันละครั้ง มันมีปีกพิเศษที่มีคุณสมบัติแสง สติปัญญายังอยู่ระดับเริ่มต้น ทักษะ : ส่งข้อความระยะไกล บทเพลงสันติภาพ
เมื่ออาหงเรียกอสูรพิทักษ์ของนางออกมา เย่ว์หยางพบว่าพวกมันเป็นนกพิราบขาวสองตัวที่มีร่างกึ่งโปร่งใส
นิ้วมือสามารถผ่านร่างมันได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเย่ว์หยางทำเช่นนั้นดวงตาน้อยๆ ของพวกมันจะมองดูอย่างไม่พอใจ เหมือนกับว่าจะตำหนิเย่ว์หยางที่ทำตัวเป็นศัตรู อย่างไรก็ตาม เมื่อนิ้วของเย่ว์หยางปล่อยปราณก่อกำเนิด พวกมันรู้สึกได้ถึงประโยชน์ของพลังบริสุทธิ์ทันที และบินขึ้นลงอย่างมีความสุข พวกมันเลียนิ้วของเขาและใช้จะงอยปากสีแดงจิกอย่างมีความสุขและขันคุกคู เสียงขันของพวกมันฟังแล้วรู้สึกสงบสุขอย่างบรรยายไม่ถูก ทำให้ผู้คนอารมณ์ดีและยกระดับอารมณ์ของวิญญาณได้
นี่ต้องเป็นเพลงสันติภาพของภูตพิราบแน่นอน
มันสามารถช่วยให้คนเอาชนะศัตรูได้
แน่นอนว่าสำหรับคนที่ตั้งใจแน่วแน่และมีความยืนกราน เพลงสันติภาพก็คงไม่ส่งผล
แต่อสูรศึกที่ไม่มีสติปัญญาจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก!
“ใช่แล้ว! แม้ว่าภูตพิราบจะไม่ใช่อสูรประเภทรบ แต่ก็เป็นอสูรประเภทพิเศษ ทักษะของมันไม่เลวเลย ในช่วงเวลาสำคัญ พวกมันจะใช้งานได้อย่างน่าทึ่ง พวกมันคือสิ่งที่ไม่ทำให้ท่านแปลกใจหากท่านเป็นเจ้าของ แต่ถ้าท่านไม่ได้เป็นเจ้าของ นั่นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ นอกจากนี้พวกมันสามารถส่งข้อความจากระยะไกลได้ นั่นเป็นทักษะที่ยอดเยี่ยม หลังจากต่อสู้มามากขึ้น การแลกเปลี่ยนข้อมูลกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้น ข้ามีแต่เพียงแผนที่สามสีที่จำกัดข้อความได้สิบคำ!” เย่ว์หยางไม่คิดแน่นอนว่าภูตพิราบจะแย่ ในทางตรงกันข้าม เขาคิดว่าพิราบสองตัวนี้เป็นอสูรศึกที่ใช้ในกลยุทธได้ดีที่สุด
“ไม่ใช่อสูรใช้รบอย่างนั้น แต่ก็ไม่เลวเลย ภูตพิราบยังดีกว่าอสูรพิทักษ์ประเภทเสริมพลังและสายธาตุเฉพาะทั่วไปมากมายนัก เจ้าต้องฝึกฝนมันให้ดี บางทีในอนาคตเราจำเป็นต้องใช้ให้มันช่วยส่งข่าวสารข้อมูลสำคัญจากระยะไกลได้” อู๋เหินให้กำลังใจอาหง
“พยายามเข้านะ!” เย่ว์หวี่ลูบแก้มอาหงอย่างอ่อนโยน จากนี้ไปนางจะไม่ถือว่าอาหงเป็นอสูร แต่จะถือว่านางเป็นคน
“ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุด!” ด้วยความรู้สึกเขินอายเล็กน้อยและมีความสุข ดวงตาอาหงมีแววมุ่งมั่น นางกำหมัดน้อยๆ ให้กำลังใจตนเอง บัดนี้เมื่อนางมีอนาคตสดใส นางจะต้องพยายามอย่างหนัก
“สงครามในอนาคต เจ้าสามารถใช้มีดสังหารเทพ หรือแสงดำสังหารก็ได้” เมื่อพูดถึงแสงสีดำ ใจของเย่ว์หยางปั่นป่ว่น
แสงดำสังหารเป็นแค่หนึ่งในแสงเทพห้าสีของปลอม
ไม่ใช่แสงเทพของแท้
แสงเทพดำที่แท้ คือหนึ่งในแสงเทพห้าสี อาจจะถูกควบคุมโดยจิ่วเซียวก็ได้
ยกเว้นแสงเทพที่จิ่วเซียวควบคุม คงจะมีเทพแสงอีกสามสี แต่มันอยู่ที่ใดกันแน่? มีแต่เทพแสงสีเขียวซึ่งยังถูกผนึกเอาไว้และเย่ว์หยางยังปลดผนึกไม่ออก หรืออาจเป็นเพราะพลังในการควบคุมกฎสวรรค์อาจจะได้รับความเสียหายอย่างคาดเดาไม่ได้ ควรจะรู้ดีว่าเทพแสงสีเขียวเป็นเทพสมบัติหนึ่งในแสงห้าสีและเป็นของชำรุดอย่างหนึ่ง
เจ้าเมืองลมดำและหัวหน้าโจรเหยี่ยหนิวเป็นเจ้าของสมบัติมากมาย แต่สำหรับเย่ว์หยางนักเดินทางท่องเที่ยวมิติเวลาอย่างเขาเชี่ยวชาญกระบี่ดำกุยเจ้าง กระบี่ขาวซวงหัว และกระบี่แดงชี่เสี่ยวเหลียนอยู่แล้ว สมบัติของคนพวกนั้นก็เท่ากับไม่มีอะไร
สิ่งที่เย่ว์หยางต้องการที่สุดก็คือสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็ระดับเทพ
และในสมบัติเหล่านั้น แสงเทพอีกสี่สีที่เหลือคือสิ่งที่เย่ว์หยางต้องการที่สุด ถ้าเขาสามารถรวบรวมแสงเทพได้ครบห้าสี เขาจะไม่กลัวว่าจะพ่ายแพ้ราชาใจสิงห์อีกเลย
“เสี่ยวซาน! ข้าเกรงว่าสถานการณ์ในแดนสวรรค์จะเปลี่ยนไป ตั้งแต่เจ้าไม่อยู่ที่นั่นหลายวัน เจ้าควรจะไปที่นั่นดีกว่า ที่นั่นอาจมีเหตุเปลี่ยนแปลง คนที่รั้งอยู่ที่นั่นรวมทั้งเปากู่และนูเจนกำลังมีปัญหา” เย่ว์หวี่เป็นคนใจดี เมื่อเห็นเย่ว์หยางมัวแต่วุ่นวายอยู่ในปราสาทสายรุ้งอยู่หลายวัน นางเตือนให้เขาใส่ใจทั้งสถานการณ์ในปราสาทสายรุ้งและในที่เมืองลมดำในแดนสวรรค์ใต้
“ข้าจะไปที่นั่นคืนนี้ แต่ข้าอยากจะสื่อสารกับแมงป่องดาวในช่วงกลางวันก่อน” เย่ว์หยางพยักหน้า
“แมงป่องดาวนั้นฉลาดจริงๆ ข้าเชื่อว่ามันมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าอสูรศึกธรรมดา แม้ว่ามันจะพูดไม่ได้ก็ตาม” เย่ว์หวี่รู้ว่าน้องชายนางฉลาดในการใช้แมงป่องดาวเพื่อประโยชน์เขาเอง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เลี้ยงมันไว้
“เจ้ามั่นใจไหมว่าจะสร้างอาวุธเทพร่างอสูร?” สาวงามอู๋เหินรู้ว่าอาวุธเทพร่างอสูรนั้นไม่สามารถผลิตได้ง่ายๆ แม้แต่ดาบเทาเถี้ยก็ต้องอาศัยโอกาสจึงจะสร้างได้
“มาช่วยข้าในตอนบ่ายก็แล้วกัน” เย่ว์หยางพยักหน้า
เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนอสูรศึกอื่นให้เป็นอาวุธเทพร่างอสูรได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม แมงป่องดาวเป็นข้อยกเว้น
มีอสูรมากมายอยู่ในโลกที่เย่ว์หยางสามารถหลอกล่อให้มันต่อสู้เพื่อเขา ทำไมเย่ว์หยางถึงได้ชอบแมงป่องดาวมากนักเล่า?
เป็นเพราะแมงป่องดาวมีศักยภาพที่จำเป็นโดยกำเนิดต่อการเป็นอาวุธเทพร่างอสูร ความฉลาดของมันเป็นหลัก โครงสร้างร่างกายที่เหมาะสม ความสามารถในการหลอมรวมศักยภาพของมันและข้อกำหนดที่จำเป็นอื่นๆที่ทำให้มันเป็นอาวุธเทพร่างอสูรได้ ถ้าเย่ว์หยางสามารถหลอมรวมแมงป่องดาวเข้ากับถุงมือแมงป่องฟ้าที่เย่ว์หยางได้รับจากวิหารแมงป่อง ก็มีโอกาสมากที่เขาจะสร้างอาวุธเทพร่างอสูรระดับสุดยอด
เย่ว์หยางมีอสูรพอสำหรับขับขี่ เขาถนัดในการเทเลพอร์ตและเหาะเหินอยู่แล้ว ถ้าเขาเบื่อการขับขี่หรือบิน เขาสามารถเปลี่ยนดาบเทาเถี้ยให้เป็นร่างอสูร ซึ่งเป็นอสูรขับขี่ของเขาที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ เขายังมีอาวุธอีกมาก อย่างเช่นดาบจันทร์เสี้ยว ดาบเทาเถี้ย ทวนทองฆ่ามังกร มีดทองฆ่ามังกร แสงดำสังหาร และแสงเทพสีเขียว หนึ่งในแสงเทพห้าสี เขายังมีผนึกเทพจักรพรรดิอวี้ สาวมังกรสองพี่น้อง วงจักรล้างโลก วงจักรนิรันดร์กาล ระเบิดดารา กระบี่กุยจ้าง กระบี่ซวงหัว กระบี่ชี่เสี่ยวเหลียนและเพลิงอมฤต เย่ว์หยางแทบจะนับอาวุธตนเองไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องการสร้างอาวุธเทพร่างอสูรขึ้นมาอีกหนึ่ง
แต่เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีถุงมือแมงป่องฟ้าในฐานะที่เป็นอาวุธเทพร่างอสูรเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากหน้ากากเจมินี่
ถ้าเขาหลอมรวมแมงป่องดาวกับถุงมือแมงป่องเข้ากัน
มันสามารถเป็นถุงมือในเวลาปกติ และเป็นอสูรเมื่อจำเป็น
อย่างนั้นเขาคงได้รับประโยชน์เป็นสองเท่า!
“ทำสัญญาน่ะหรือ? เจ้าสามารถมั่นใจได้ว่าคนอย่างข้าจะให้อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เจ้าแน่นอน! ก็เหมือนกับเจ้าฮุยไท่หลาง เจ้าไม่ต้องทำสัญญากับข้า และเจ้าสามารถมีเจตจำนงเป็นของตนเอง แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจเลือกเป็นฝ่ายมาต่อต้านข้า สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ เรียนรู้จากฮุยไท่หลาง อาวุธเทพร่างอสูรคือสภาวะสุดท้ายของเจ้า สุดยอดอาวุธเทพร่างอสูร ซึ่งยังไม่ถึงขีดจำกัดเมื่อมันถูกหลอมรวมกับเจ้า จงมั่นใจเสียเถิด เป็นเพราะประโยชน์ที่ข้าจะทำนั้นยิ่งใหญ่ นั่นเป็นเหตุให้ข้าเก็บอสูรศึกที่มีความสามารถไว้ข้างตัวข้า ดูดาบเทาเถี้ยนี่สิ มันคืออาวุธเทพร่างอสูรที่มีศักยภาพมากที่สุด มันสามารถเปลี่ยนร่างเป็นอสูรก็ได้ ร่างอาวุธก็ได้ เจ้ายังต้องกังวลอะไร? เจ้าคิดว่าข้าต้องการแค่อาวุธชิ้นหนึ่งหรือ? ไม่เลย ข้าแค่ต้องการถุงมือคู่หนึ่ง ในโลกนี้ยังจะมีอะไรที่เหมาะกับเจ้ามากไปกว่าถุงมือแมงป่องฟ้า? ไม่อย่างแน่นอน! หลังจากเจ้าหลอมรวมกับถุงมือแมงป่องฟ้าเป็นเวลาหลายปี ตราบใดที่เจ้าทำได้ดี ข้าจะใช้กระเช้าสมปรารถนาเพิ่มศักยภาพให้เจ้า โอวเจ้าต้องรู้นะว่าข้ามีสมบัติมากมายทรงพลังแค่ไหน! จงมั่นใจเถิด ติดตามข้า แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้น! จากนี้ไปฮุยไท่หลางจะเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ซิมบาจะเป็นพี่รองของเจ้า” เย่ว์หยางเริ่มคุยอวดอีกครั้ง ครั้งนี้เขาหลอกล่อแมงป่องที่ไม่เหมือนใครที่ไหนในโลก มันคือแมงป่องดาว!