ตอนที่ 719 กำจัดพวกมัน
บนอาคารสูงใกล้กับบ้านตระกูลเซวียมู่เจ๋อกับเว่ยหานยืนอารักขา ทั้งสองคนมองดูบ้านตระกูลเซวียเป็นระยะๆ
“เจ้าถังเทียนนั่นคือบุรุษหน้ากากผีจริงๆหรือ?” เว่ยหานคำราม “ข้าต้องบอกไว้ก่อนประมุขตระกูลระวังตัวเกินไป ถ้าเราแค่กำจัดเขาตอนนี้ ใครจะพูดอะไรได้?”
“ท่านประมุขตระกูลก็พิจารณาในฐานะประมุขตระกูลนั่นแหละ” มู่เจ๋อกล่าว “นอกจากนี้ เราแค่ป้องกันเขาไม่ให้หลบหนี ถ้าบางคนยินดีทำก็จะดีกว่านี้ ตั้งแต่เริ่มต้นไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้มาถึงมือเรา และ.. เจ้าเอาชนะเบนสันได้หรือ? พายุดาบนั่นไม่ใช่ธรรมดาเจ้าไม่อาจประมาทพลังของบุรุษหน้ากากผีได้”
“แล้วไงเล่า?” เว่ยหานแค่นเสียง “ตราบใดที่เราทั้งสองร่วมมือกันข้าไม่เชื่อว่าเราจะพลาดท่า”
“หยุดพูดไร้สาระเสียที และคอยคุมเชิงก็พอ” มู่เจ๋อคร้านจะเถียงกับเว่ยหานและเพลิดเพลินกับการดื่มชา
ภายในคลังสินค้า
ถังเทียนค่อยๆ ลืมตาเขารู้สึกเหมือนเหมือนกับเป็นลูกโป่ง แก่นต้นกำเนิดชีวิตซึมซาบเข้าไปในเนื้อของเขาและจากนั้นเปลี่ยนเป็นไฟสุญญตา ถังเทียนสามารถรู้สึกได้ว่าร่างของเขาเหมือนตกอยู่ในเพลิงตราบใดที่มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยจะทำให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงานไหลเวียนทำให้เขากระสับกระส่าย
เขาลอยอยู่ในอากาศทั้งตัวมีเพลิงสีเทาใสคลุมร่างทำให้เขาดูเหมือนกับเทพสงคราม
เถี่ยเซียมองดูถังเทียนด้วยความยำเกรง ใช่แล้วด้วยความยำเกรง
“เจ้าบอกว่านี่คือไฟต้นกำเนิดหรือ?” ถังเทียนมองดูเปลวเพลิงที่คลุมไปทั้งมือของเขา
“ขอรับนายท่าน” เถี่ยเซียตอบด้วยความเคารพ ในแดนบาป ผู้แข็งแกร่งเป็นจ้าวหลังจากสู้กับถังเทียนครั้งล่าสุดแล้วเขายังไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ถังเทียนมองดูคล้ายเทพเจ้าสงครามต่อหน้าเขาทำให้เขารู้สึกไม่อาจต้านทานได้
ในแดนบาปยอดฝีมือทุกคนจะมีเป้าหมายอยู่สองอย่างซึ่งก็คือรู้แจ้งกฎจากสายใยกฎอีกเป้าหมายหนึ่งก็คือจุดไฟต้นกำเนิดให้ได้ การเปลี่ยนพลังงานของร่างกายให้เป็นพลังต้นกำเนิดไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพบนักสู้ที่ไม่เคยจุดไฟต้นกำเนิด แต่เขาไม่เคยพบกับนักสู้ที่มีไฟต้นกำเนิดที่น่ากลัว
ไฟต้นกำเนิดของถังเทียนเหมือนภูเขาไฟที่พ่นลาวาออกมา แม้เมื่อเขาอยู่ห่างสิบเมตร เถี่ยเซียก็ยังรู้สึกได้ถึงรังสีของไฟต้นกำเนิด
‘เปลวไฟต้นกำเนิดปลดปล่อยออกมาในระดับเช่นนั้น และสามารถสร้างไฟต้นกำเนิดที่น่ากลัวอย่างนั้น พลังต้นกำเนิดของนายท่านต้องน่ากลัวมาก’
น่ากลัวมาก!
เขาบอกทุกเรื่องที่เขารู้ให้ถังเทียนทราบ
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเถี่ยเซีย ถังเทียนผงกศีรษะ “พลังต้นกำเนิด? เป็นชื่อที่ดีการใช้สายใยกฎธรรมชาติเพื่อทำความเข้าใจกฎผิวเผินที่น่าสนใจในตอนแรกเป็นไปได้ไหมว่าในขั้นตอนสุดท้าย จะเกี่ยวข้องกับกฎธรรมชาติอวกาศนั้น?”
“ถูกแล้วเมื่อท่านได้รับการรู้แจ้งกฎอวกาศ ท่านสามารถสร้างกฎสนามพลังได้ นักสู้ที่ทรงพลังขนาดนั้นไม่ใช่คนที่ท่านจะเอาชนะได้” เถี่ยเซียอธิบาย
“ไม่มีหรอกคนที่ไร้พ่าย” ถังเทียนพูดคัดค้าน จากนั้นถามด้วยความสงสัย “มีคนที่ได้รู้แจ้งกฎธรรมชาติหลักไหม?”
“ข้าคิดว่ามีแต่นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดระดับสุดยอด” เถี่ยเซียตอบด้วยอาการลังเลเล็กน้อย “ผู้น้อยไม่ทราบชัดในเรื่องนั้น”
“กฎผิวเผิน?ใช่อย่างนี้หรือเปล่า?” หานปิงหนิงที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น ชิ้นแสงสีฟ้าเบาบางปรากฏที่หน้าของนางชิ้นแสงสีฟ้าบางพอๆ กับแผ่นกระดาษ เมื่อปรากฏขึ้น รังสีที่เย็นและคมครอบคลุมไปทั่วสถานที่
สีหน้าของเถี่ยเซียชะงักค้างขณะที่เขากลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ‘อย่างที่พวกเขาคาดพรสวรรค์ใช้กับเพียงพวกผิดปกติเท่านั้น มีแต่คนที่ผิดปกติ จึงจะเป็นสหายกับคนที่ผิดปกติ
จากนั้นเขาอธิบาย “ใช่แล้ว ตราบใดที่กฎผิวเผินถูกสร้างขึ้นท่านสามารถสร้างออกมาเป็นสนามพลังได้”
“สร้างสนามพลัง..” หานปิงหนิงสับสนอยู่บ้าง
ถังเทียนถามด้วยความสงสัย “สนามพลังแบบไหนกันที่กฎผิวเผินของเจ้าแสดงออกมาได้?”
เถี่ยเซียพูดด้วยความเคารพ “กฎผิวเผินของผู้น้อยแสดงออกมาเป็นสนามพลังที่ทำให้ผู้น้อยเป็นเหมือนหมอกยามราตรีและสามารถไหลไปและเปลี่ยนรูปร่างได้ทุกเมื่อ นอกจากนั้นตราบใดที่ผู้น้อยใช้กฎกระแสราตรี ความรู้สึกที่ผู้น้อยมีต่อแรงสั่นสะเทือนในอากาศจะคมชัดมาก”
“มาทดสอบกัน” ถังเทียนข้องใจเรื่องนั้นมาก ไม่ว่าจะเป็นในสวรรค์วิถีหรือแดนบาปการต่อสู้ของพวกเขาใช้ผ่านพลังงาน และไม่แปลกประหลาดและผันผวนเหมือนในแดนบาป
ร่างของเถี่ยเซียวกระพริบและร่างเขาพร่าเลือน และเริ่มกระจายตัวและในพริบตาเขาเปลี่ยนเป็นกลุ่มหมอก หลังจากนั้น เขากลายสภาพเป็นเหมือนของเหลว
ถังเทียนตาเบิกกว้าง เขาตื่นเต้นมากและสนุกมาก
ทันใดนั้น เสียงเบาบางดังเข้าหูของถังเทียน “นายท่าน, มีบางคนกำลังจับตาดูเรา!”
ถังเทียนตกใจและรอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที เขาเคลื่อนไปหาหานปิงหนิงและพูดเบาๆ “ที่ไหน”
“ค่อนข้างไกล”เถี่ยเซียก็ตื่นเต้นเช่นกัน ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสแสดงฝีมือตนเองและเขาต้องการทำให้ดี ‘ข้าต้องให้เจ้านายเห็นพลังและคุณค่าของข้าและดึงข้าออกมาจากตำแหน่งคนงานสามัญนี้’
เถี่ยเซียผู้ถูกความตั้งใจสู้เร่งเร้ารีบหาเป้าหมายของเขา
“บนอาคารหลังหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้” เถี่ยเซียแจ้ง
ถังเทียนเหินไปที่หน้าต่างและมองผ่านรอยแยก เขามองไปทางตำแหน่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ จริงด้วยบนหลังคามีเงาร่างเลือนรางอยู่สองร่างยืนอยู่ตรงนั้น
“พวกเขาไม่ใช่คนของตระกูลหลู” เถี่ยเซียหน้าเปลี่ยน ถ้าพวกเขาเป็นคนของตระกูลหลู เขาอาจจะรู้สึกว่าปกติ หลูหลิงหนานไม่ใช่คนที่จะรามือง่ายๆหมอกที่เหมือนร่างคนของเถี่ยเซียกระจายออกไปในทุกตำแหน่ง
ในพริบตาหมอกบางก่อตัวเป็นรูปหม้อน้ำและลอยอยู่ในอากาศ
นี่คือสิ่งที่เถี่ยเซียสร้างขึ้นเองเป็นเคล็ดที่ไม่เหมือนใครวิชาถ่ายสัญญาณหม้อน้ำ และมันใช้จับสัญญาณหลายอย่างได้สำเร็จ
เขาเพ่งสมาธิไปที่ยอดรูปหม้อน้ำ นี่จะทำให้เขารวบรวมเสียงที่มาจากทุกตำแหน่งและให้เขาได้ฟังเสียงจากที่ไกลได้ เขาค่อยๆ กำจัดคลื่นรบกวน และเสียงของบุรุษสองคนบนอาคารนั้นค่อยๆ ชัดเจน
“พวกเขาเป็นคนของตระกูลฉิน พวกเขามาสังเกตการณ์นายท่านและมองดู พวกเขาไม่ยอมให้นายท่านหนีไปและพวกที่ลงมือจะเป็นตระกูลหลู
“ตระกูลฉิน,หือ?” ตาของถังเทียนเป็นประกายดูจริงจัง ‘ดูเหมือนตระกูลฉินคงยืนยันสถานะข้าได้แล้ว’
เกี่ยวกับเรื่องนี้เขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาท้าทายเบนสันด้วยความหวังจะแข็งแกร่งมากขึ้นขัดเกลาตนเอง เขาไม่เคยถอยนอกจากเดินหน้า นอกจากสู้รบ เขาไม่รู้ว่าจะก้าวหน้าได้ยังไง
สู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำให้เขาก้าวหน้ามาก และปัจจุบันนี้ถังเทียนมีความมั่นใจและตั้งใจต่อสู้
การสู้รบกับเบนสันเพิ่งรูดม่าน ในแผนของถังเทียนสิ่งที่จะตามมาจากนั้นก็คือการต่อสู้เป็นพรวน เขาจะใช้การสู้รบทั้งหมดเพื่อช่วยทุกคนออกมา
ตอนแรกเขาต้องการใช้เวลาสองสามวันเพื่อเตรียมการซึมซับทุกอย่างจากการสู้รบ แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะหาทางมาหาถึงหน้าประตูบ้านเขา
‘อย่างนั้นก็เริ่มกับพวกเขา’
ถังเทียนไม่กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย และไม่คิดจะถอยอยู่แล้ว เขาไม่เคยพอใจกับกับจำนวนครั้งการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วนที่เขาเองควบคุมไม่ได้ แต่ความมุ่งมั่นและความต้องการสู้ความห้าวหาญและความไม่กลัวเกรงเปรียบเหมือนขวานยักษ์ที่เขายึดถือไว้แน่นตอนเผชิญหน้ากับการต่อสู้เช่นนั้น
ขวานหนักในมือจะฟาดฟันศัตรูให้ขาดกระจุย
“ข้าจะไปกำจัดพวกเขา”
โดยไม่ลังเลรังสีฆ่าฟันของถังเทียนทะยาน เขาดึงหน้ากากผีออกมาสวมไว้
“ให้ข้าช่วย” หานปิงหนิงพูดโดยไม่ลังเล
เถี่ยเซียตกใจกับรังสีฆ่าฟันที่เปล่งออกฉันพลันของทั้งสองคนนี้ ก่อนที่เขาจะทันสนองตอบทั้งสองคนก็หายไปแล้ว เขาตะลึง ‘คนไม่มีชื่อเสียงนี้เป็นใครกัน? ทำไมข้ารู้สึกว่าสองคนนี้ดุร้ายยิ่งกว่าข้าเสียอีก...’
เว่ยหานและมู่เจ๋อไม่มีทางคาดว่าการสนทนาของพวกเขาจะมีคนดักฟังได้จากระยะไกล เพื่อป้องกันไม่ให้ถังเทียนหลบหนี ทั้งสองคนเลือกตำแหน่งนั้นเป็นอาคารที่สูงที่สุดในบริเวณใกล้เคียงสามารถมองเห็นบ้านตระกูลเซวียได้ทั้งหมด
อาคารนี้เรียกว่าอาคารเทียมเมฆซึ่งสร้างขึ้นโดยบ้านตระกูลฉินเพื่อประโยชน์คอยจับตามองบ้านตระกูลเซวีย มองอย่างผิวเผินอาจจะมองว่าตระกูลฉินกำลังปกป้องตระกูลเซวีย แต่ในความเป็นจริงพวกเขามีความตั้งใจอีกอย่างหนึ่ง ตระกูลฉินมีความโลภในความมั่งคั่งของตระกูลเซวียมานานแล้ว แต่เพียงเพราะว่าพวกเขามีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเซวียตั้งแต่รุ่นก่อน และถ้าพวกเขายึดตระกูลเซวียก็คงเป็นการกระทำที่น่าเกลียด
แต่ตระกูลฉินไม่เคยกำจัดความคิดว่าตระกูลเซวียไม่มีความสามารถดึงดูดนักสู้ผู้เก่งกาจ พวกที่มาก็คือนักสู้ผู้ไร้ความสามารถจากตระกูลฉิน ตระกูลฉินมีความแน่นอนว่าตราบเท่าที่ตระกูลเซวียยังกำความลับของการผลิตหนอนไหมทองไว้ พวกเขาจะไม่มีทางขาดแคลนเงิน ตราบใดที่ตระกูลเซวียรับยอดฝีมือเข้ามา นั่นจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลฉิน
ดังนั้นอาคารเทียมเมฆจึงถูกสร้างขึ้นข้างบ้านตระกูลเซวีย ทำให้บ้านตระกูลเซวียไม่สบายใจ แต่จงเจิ้งเยียนเหม่ยควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเองแน่นอนจึงเป็นความไม่สบายใจเงียบๆ
ราตรีที่ยาวนานไม่มีผลต่อพลังกายของมู่เจ๋อและเว่ยหาน แต่มันน่าเบื่อมาก เว่ยหานกระวนกระวายและเริ่มฝึกฝีมือ ขณะที่มู่เจ๋อนั่งจิบชาอย่างสบายใจอยู่ข้างหน้าต่าง
ทั้งสองคนไม่ทันสังเกตเห็นอันตรายที่ใกล้เข้ามา
ถังเทียนพาหานปิงหนิงลัดเลาะไประหว่างชายคาบ้านอย่างเงียบๆ พวกเขาเหมือนกับเงาขณะที่ปลดปล่อยศักยภาพวิชาพรางตัวตระกูลผิงเต็มที่ เขาแนบตัวติดกำแพงและอาศัยเงามืดก้าวหน้าไป
นอกจากกฎธรรมชาติอวกาศแล้ววิชาพรางตัวตระกูลผิงยังมีการเคลื่อนไหวพรางตัวอย่างอื่นซึ่งทั้งหมดผ่านการปรับปรุงอยู่หลายปี ในความเป็นจริงขณะที่เขาใช้วิชาพรางตัวเขาไม่ค่อยใช้กฎธรรมชาติอวกาศ
เพราะเมื่อสายใยกฎธรรมชาติตัดพื้นที่มิติ จะสร้างแสงผันผวนซึ่งทำให้ศัตรูตกใจได้ง่าย
ถังเทียนเป็นเหมือนสัตว์ร้ายย่องเข้าหาเหยื่อเคลื่อนไหวไปหาศัตรูของเขาอย่างเชื่องช้าและอดทน เค้าโครงของอาคารบดบังเขาได้ดี แม้ว่าบ้านตระกูลเซวียจะไม่สามารถห้ามตระกูลฉินไม่ให้สร้างอาคารเทียมเมฆได้ พวกเขาสามารถทำสิ่งเท่าที่ต้องการทำในผืนดินของตัวเองเพื่อบดบังการสังเกตการณ์จากอาคารเทียมเมฆ ตระกูลเซวียสร้างกำแพงสูงสง่าหลายแห่งและขอบกว้างบนกำแพงก็คลุมทางเดินภายในที่พักอาศัย พวกเขายังคงสร้างศาลาโค้งขนาดยักษ์เพื่อบดบังสายตา ดังนั้นบ้านตระกูลเซวียจึงไม่มีพื้นที่เหลือมากนัก
สำหรับถังเทียนมันคือภูมิประเทศที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง
หานปิงหนิงรั้งรังสีกระบี่กลับและติดตามอยู่ด้านหลังถังเทียน
ถังเทียนเคลื่อนไปเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวาใช้ชายคาบังตัว เขาไปถึงสุดทางเดินยาวซึ่งเป็นศาลาใหญ่ศาลาตั้งตระหง่านอยู่ในใจกลางทะเลสาบจำลองและเป็นพื้นที่กว้างที่สุดในบ้าน
ถังเทียนชี้ไปที่ศาลาและพูดเบาๆ “เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่และรอลอบลงมือข้าจะวนอ้อมไปที่ด้านหลังของพวกเขา
หานปิงหนิงพยักหน้าและกำด้ามกระบี่แน่นโดยไม่รู้ตัว
ถังเทียนพยักหน้าให้กำลังใจนางและกลายเป็นเหมือนเงา หายไป
แม้ว่าตระกูลเซวียจะตกต่ำ แต่ที่สำคัญพวกเขาเคยเป็นตระกูลที่คึกคักและร่ำรวย และการก่อสร้างภายในบ้านบ้านยังแสดงถึงความมั่งคั่งและอำนาจในอดีต ถังเทียนเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนตัวเองรู้สึกงงโชคดีสำหรับเขาที่อาคารเทียมเมฆเด่นชัดสามารถกำหนดตำแหน่งได้
ภาพที่อยู่ต่อหน้าต่อตาของถังเทียนทำให้งง หลังจากเข้าไปในบ้านชั้นใน ถังเทียนรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเข้าไปในวัง
เขาไม่ได้ให้ความสนใจตราบเท่าที่เขาพบตำแหน่งที่ถูกต้อง เขาสามารถเดินออกไปได้ ถ้าไม่มีทางก็ต้องมีหน้าต่าง
ทันใดนั้นเสียงตวาดดังมาจากข้างหน้า “ใคร?”
ถังเทียนตกใจก่อนที่เขาจะทันได้ตอบแสงบนกำแพงปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา และทันใดนั้นกระแสปั่นป่วนเบาๆมาจากด้านหลังเขา เขาหันกลับไปมองทันทีและเป็นแสงอีกสายหนึ่งอยู่ที่ด้านหลังเขา
เขาติดกับ
มีร่างหนึ่งปรากฏอยู่ที่ด้านข้างกำแพงแสงสว่าง
เมื่อหมิงจูที่เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันเห็นหน้ากากบนผนังที่สว่างนางตะลึงทันที