ตอนที่ 716 ท่านเปากู่!
เมืองลมดำ จวนเจ้าเมือง การต่อสู้โจมตีดำเนินต่อไปสามชั่วโมง เก้านาที นักสู้ปราณฟ้าถูกกำจัดเรียบ
ปีศาจเฒ่าเว่ยเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับห้า ทรงพลังมากที่สุด
ตาย!
หลังจากถูกหัวหน้าลี่เยี่ยน, ฮุยไท่หลาง นางเซียนหงส์ฟ้า เสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนล้อมกรอบ เขาใช้พลังสุดท้ายไปจนหมดและที่สำคัญเขาไม่สามารถหลบหนีจากสนามพลังสร้างโลกของเย่ว์หยางได้ เย่ว์หยางไม่ได้ใช้ทักษะ ‘เท็จคือจริง’ เหมือนอย่างประตูตาย เขาแค่ใช้ ‘จริงคือเท็จ’ เหมือนอย่างประตูเป็นปล่อยให้ปีศาจเฒ่าเว่ยพังทลาย
ผางหมันตายในเงื้อมมือของมารสัมฤทธิ์ฟ้า
ขุนพลจินฟงตายอย่างเจ็บปวดจากฝีมือการโจมตีของเฟยหวงและฮัวปัน
ชิงซ่งและหวงซ่งสองผู้อาวุโสสำนักนอนอยู่แทบเท้าจักรพรรดิมังกรและจักรพรรดิใต้พิภพ พวกเขาเป็นนักสู้ปราณฟ้าที่ตายเป็นกลุ่มแรก เจ้าสำนักไป๋ซ่งถูกจงกวน ไป๋หม่าและเฮยถูล้อมจนไม่สามารถหลบหนีได้ ทั้งยังทุกข์ทรมานจากความผิดมโนธรรมในอดีต วิญญาณเขาใจสลายและฆ่าตัวตายในที่สุด
ไป๋ซ่งมีใจนักสู้ต่ำเป็นนักสู้ปราณฟ้าที่ฆ่าตัวตายในการสู้รบ
ในวันเดียวกัน ฮ็อคและซาวี่ที่เคยคุมขังลี่เยี่ยนถูกเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนฆ่าตาย
นักสู้ปราณฟ้าที่ทรงอิทธิพลล้มตายทีละคน และปีศาจเฒ่าเว่ยที่แข็งแกร่งที่สุดถูกกลุ่มนักสู้รุมล้อมและพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว พายุสงครามคงอยู่สามชั่วโมงจึงสิ้นสุดอย่างเป็นทางการในที่สุด
แม้ว่าลี่เยี่ยน มารสัมฤทธิ์ฟ้า จักรพรรดิมังกรและคนอื่นทั้งหมดจะสนใจสู้รบต่อ แต่ก็มีความยืดหยุ่นอยู่บ้าง แต่เย่ว์หยางตื่นตัวมาก ถ้าชื่อของสามสำนักใหญ่แขวนยี่ห้อให้ศัตรูรู้ พวกเขาจะพบว่า พวกเขาไม่มีพลังพอต่อสู้กับราชาใจสิงห์และเจ้าแคว้นมรกต สามารถยึดเมืองลมดำได้สาเหตุมาจากศัตรูไม่รู้ความจริง จึงทำให้พวกเขาพลาดความได้เปรียบ และเวลานั้นพวกเขาแค่ฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งภายในของศัตรู ดังนั้นพวกเขาอาจสร้างความสับสนให้ทหารของเจ้าเมืองลมดำได้ มิฉะนั้นก็คงยากที่จะเอาชนะได้
เพื่อป้องกันการตอบโต้จากศัตรู เย่ว์หยางใช้เข็มทิศสามดินแดนพามารสัมฤทธิ์ฟ้า จักรพรรดิมังกร จักรพรรดิใต้พิภพ และลี่เยี่ยนกลับไปหอทงเทียนหลังจากการสู้รบจบลงได้ไม่นาน
ยังไงก็ตาม กำลังหลักระดับปราณฟ้าจะต้องปกป้องรักษาไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ วันนี้ยังเป็นการสู้รบขนาดย่อม
นี่เท่ากับชนะได้สะพานน้อยเชื่อมโยงในแดนสวรรค์ใต้เท่านั้น แต่ความต้องการที่แท้จริงก็คือครอบครองแคว้นมรกต แล้วสู้กับราชาใจสิงห์ จากนั้นท้าทายแดนสวรรค์... นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำเสร็จภายในวันหรือสองวันแน่นอน ดังนั้นการพิชิตแดนสวรรค์เป็นการเดินทางไกล ตอนนี้เป็นแค่เพียงก้าวแรกเท่านั้น
“ทุกท่าน, สงครามแดนสวรรค์มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ขอให้ทุกท่านหลอมรวมประสบการณ์ต่อสู้เอากลับไปฝึกฝนต่อให้เกิดความสำเร็จ การต่อสู้ที่ยากลำบากยังรอเราอยู่ และศัตรูที่ทรงพลังกำลังรอเรา อีกครึ่งปี ข้าหวังว่าทุกท่านจะสร้างความก้าวหน้าได้ ข้าหวังว่าสักวันหนึ่ง นักรบหอทงเทียนของเราจะไม่อยู่ภายใต้การย่ำยีควบคุมของแดนสวรรค์อีกต่อไป ไม่กลายเป็นกบที่อยู่ก้นบ่ออีกต่อไป เราจะต้องกลายเป็นสุดยอดนักสู้ปราณฟ้า เราจะต้องกลายเป็นอินทรีสยายปีกบินในท้องฟ้าที่กว้างไกล!” สุนทรพจน์ของเย่ว์หยางทำให้มารสัมฤทธิ์และคนอื่นถึงกับเลือดลมพลุกพล่าน
“จักรพรรดิมังกร, จักรพรรดิใต้พิภพ มารสัมฤทธิ์ฟ้า ขออำลา” มารสัมฤทธิ์ฟ้าชักชวนจักรพรรดิมังกรและสมาชิกวังมารจากไปก่อน เขาไม่อาจรอที่จะก้าวหน้าได้
“เมื่อมีสงคราม..โปรดเรียกใช้บริการเรา” จอมปีศาจบารุธได้ร่วมเดินทางเข้าแดนสวรรค์ครั้งนี้ นอกจากได้ล้อมฆ่านักสู้ปราณฟ้าสองคนแล้วยังได้รับส่วนแบ่งอาวุธที่ยึดได้ ส่วนผลึกปีศาจพวกเขาปฏิเสธไม่รับ เนื่องจากเย่ว์หยางสัญญากับพวกเขาว่าภายในเวลาครึ่งปีพวกเขาจะได้รับอสูรระดับปราณฟ้าระดับเจ้าปีศาจเพื่อเพิ่มกำลังรบของพวกเขา
“ทวีปกวงหมิง...” จักรพรรดิมังกรและจักรพวรรดิใต้พิภพมองหน้ากันและยิ้มอย่างเข้าใจกันเอง
พวกเขาจะดำเนินการรบและโจมตีทวีปกวงหมิงของพวกเผ่ามนุษย์วิหคต่อไป
พวกเขาอาจไม่สามารถเอาชนะจ้าวปีศาจโบราณได้ทันที แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จ้าวปีศาจโบราณปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเย่ว์หยาง ส่วนพวกเขาจะกำจัดบริวารของจ้าวปีศาจโบราณเอง
จักรพรรดิมังกรและจักรพรรดิใต้พิภพไม่อาจทำนายพลังอนาคตของเย่ว์หยางได้ แต่พวกเขารู้ว่า เขาคงไม่อยู่แต่ในหอทงเทียน อนาคตของเย่ว์หยางอยู่ในแดนสวรรค์แน่นอนหรืออาจเหนือกว่าแดนสวรรค์ ตราบใดที่มีเขาเป็นผู้นำสำนักต่างๆ วันที่เผ่าภูตบูรพาและเผ่าใต้พิภพจะได้กลับไปแดนสวรรค์ก็คงอยู่ไม่ไกล
แม้ว่าการสู้รบครั้งนี้จะเกิดขึ้นล่วงหน้า แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ยังไม่มีพวกแดนสวรรค์สร้างความลำบากให้
ครึ่งปีของการฟื้นตัว สามารถเพิ่มพลังของทุกคนให้เข้าสู่ระดับใหม่ได้ และสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์มากมายในแดนสวรรค์ ที่สำคัญที่สุด เพราะนักสู้ระดับปราณฟ้าทุกคนถอนตัวออกจากแดนสวรรค์ใต้ ตอนนี้เจ้าแคว้นมรกตกับราชาใจสิงห์ แม้ว่าพวกเขาจะกังวล แต่พวกเขาไม่สามารถหาฝ่ายตรงข้ามเจอ เย่ว์หยางเชี่ยวชาญในการเริ่มสงคราม ตราบใดที่ทุกคนยังทำตามปกติต่อไป เจ้าแคว้นมรกตและราชาใจสิงห์ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกพิชิต
เจ้าแคว้นมรกต เป้าหมายหลังจากผ่านไปครึ่งปี
ถ้าได้ความช่วยเหลือจากจื้อจุนและจักรพรรดินีราตรี ต่อให้เป็นราชาใจสิงห์ก็ยังจะเอาชนะได้..
ระหว่างครึ่งปี จักรพรรดิมังกรและจักรพรรดิใต้พิภพเชื่อว่าเย่ว์หยางคงจะไปแดนสวรรค์ตะวันตกตามลำพัง ประการแรกเขาจะต่อสู้กับคนสนิทของปีศาจโบราณ ประการที่สองเขาจะหาอดีตนักสู้จากหอทงเทียนเป็นการหาพันธมิตร ที่สำคัญการพิชิตแดนสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สำคัญคือควรวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือ
แน่นอนว่าการติดตามเย่ว์หยาง พวกเขาจะมีความก้าวหน้ามากมายผ่านการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน
บุรุษทั้งสองยิ้มให้กันและเหาะจากไป
หัวหน้าลี่เยี่ยนเข้าไปฝึกในประตูตายพร้อมกับสาวขี้เมาได้ฝึกฝนและก้าวหน้าต่อไป
เมืองลมดำ จวนเจ้าเมืองลมดำ
ทหารป้องกันเมืองและทหารลาดตระเวนถูกกำจัดราบคาบ ห่างออกไปจากกลุ่มพวกพ่อค้า มีกลุ่มคนเป็นร้อย มีทั้งมนุษย์มังกรแดนสวรรค์และคนแคระแดนสวรรค์ เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังทำความสะอาดสนามรบและสะสางความยุ่งเหยิง
เกือบทั้งหมดเป็นคนมีบุคลิกหน้าตาไม่ซ้ำหน้า
คนผู้นั้น
เป็นเจ้าหัวกลมเปากู่ที่ใครๆ คิดว่าตายไปหลายวันแล้ว
หัวกลมเปากู่อยู่ที่สมาคมทหารรับจ้างและปล่อยข้อมูล : สำนักทงเทียน สำนักมังกรทะยานและวังมาร สามสำนักแห่งแดนสวรรค์ตะวันตก เนื่องจากเจ้าเมืองลมดำและบริวารของเขาข่มเหงปรมาจารย์นักแปรธาตุจวินอู๋เย่ ในระหว่างช่วงสัญญาสงบศึก กลับโจมตีศิษย์ของสามสำนักหลายคน ทัศนคติที่หยิ่งยโสนั่นหมายถึงความน่ากลัว สำนักทงเทียน สำนักมังกรทะยานและวังมารสามสำนักใหญ่ ถูกบังคับให้ต้องสู้ ตาต่อตา ฟันต่อฟันและกวาดล้างเจ้าเมืองและบริวารที่ไร้ยางอาย สงครามข้ามดินแดนนี้ไม่ใช่การพิชิต แต่เป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี สามสำนักใหญ่จะไม่ยึดเมืองลมดำ แต่จะคืนเมืองให้แก่ประชาชนผู้อยู่อาศัยเดิม จากนี้ไปเมืองลมดำจะเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอู๋เย่ เพื่อรำลึกนึกถึงปรมาจารย์จวินอู๋เย่ สถานประกอบการในเมืองจะเก็บภาษีร้อยละหนึ่ง ภายในเวลาสามปีเอาไว้เป็นค่าซ่อม บำรุงรักษาเมือง เอ่อ... อู๋เย่ ตั้งแต่วันนี้ไป นี่จะเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นกับฝ่ายอำนาจใดอีกต่อไป การติดสินบนใดๆ ก็ตามจะถือว่าเป็นการดูหมิ่นปรมาจารย์จวินอู๋เย่ และสามสำนักใหญ่จะปกป้องเกียรติยศชื่อเสียงในครั้งนี้
เมื่อข่าวกระจายออกไป ทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในความตะลึง
ประการแรกสามสำนักใหญ่ละเว้นการตัดสินใจของเจ้าแคว้นมรกต และเปลี่ยนชื่อเมืองลมดำเป็นเมืองอู๋เย่ และเปลี่ยนเมืองอู๋เย่ใหม่เป็นเมืองอิสระ นี่จะต่างอะไรกับการประกาศสงครามกับเจ้าแคว้นมรกต?
ถ้าพวกเขาพิชิตเมืองลมดำ และยึดเมืองลมดำ ทั้งสาบานต่อเจ้าแคว้นมรกต ผลที่ตามมาจะไม่ร้ายแรง
แม้ว่าชัยชนะข้ามพรมแดนจะเป็นเหมือนกันตบหน้า แต่ก็ยากจะยอมรับได้ ที่สำคัญแดนสวรรค์ผู้แข็งแกร่งจึงจะได้ครอบครอง ความจริงการโค่นล้มเจ้าเมืองลมดำและยึดเมืองก็ถือได้ว่าเป็นสิทธิ์ แต่ปัญหาก็คือสามสำนักใหญ่จากแดนสวรรค์ตะวันตกต้องการกู้เกียรติยศและประกาศให้สถานที่นี้เป็นอนุสรณ์สถานถึงท่านจวินอู๋เย่และปลดปล่อยให้เป็นเมืองอิสระ แค่เพียงจุดนี้ อย่าว่าแต่เจ้าแคว้นมรกตเลย ต่อให้เป็นรูปปั้นอิฐปูนก็ยังโกรธได้!
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทัศนคติของสามสำนักใหญ่ในแดนสวรรค์ตะวันตกแข็งกร้าว เมืองอู๋เย่นี้เป็นเมืองรัฐอิสระ ไม่มีกองกำลังคุ้มกันต่อไป ไม่มีการจ่ายค่าคุ้มครองให้กองกำลังชั่วร้ายอันจะเป็นการดูหมิ่นท่านจวินอู๋เย่
การทำเช่นนี้ไม่ให้โอกาสผู้คนได้บิดเบือน พูดให้ถูกก็คือเป็นการปิดประตูเจรจากับเจ้าแคว้นมรกต
ตอนนี้มีคนสองจำพวกที่มีความสุข
หนึ่งคือกองทหารกบฏ
สองก็คือคนที่อยู่อาศัยและพ่อค้าเดิมของเมืองลมดำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อค้าเมืองอู๋เย่ พวกเขามีความสุข! นักสู้ปราณฟ้าจากแดนสวรรค์ตะวันตกที่มาไม่เพียงแต่ไม่ยึดทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังยกเว้นภาษีให้อีกสามปี งดเก็บภาษีสามปีเชียวหรือ? นี่มันแนวคิดอะไรกัน การทำรายได้สามปีของพ่อค้านี่สามารถขุดทองจากเมืองไร้ราตรีได้เลย! เมืองไร้ราตรีที่ไม่มีการเก็บภาษี เชื่อได้ว่าพ่อค้าทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้คงหลั่งไหลกันมาอย่างบ้าคลั่ง ตลาดมืดที่นี่คงจะมีนักธุรกิจผลักดันอย่างมีชีวิตชีวา
ภายใต้การแสวงหาผลประโยชน์ที่จริงจัง ตลาดมืดยังคงทำกำไรได้มหาศาล ถ้าไม่เก็บภาษีเวลานี้ ยังทำกำไรได้เร็วกว่าปล้นเสียอีก
ต่อให้หลังจากผ่านไปสามปีเก็บภาษีร้อยละหนึ่งก็ยังต่ำอยู่ดี นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต้องทราบไว้ก่อนว่าการเก็บภาษีของตลาดมืดเมื่อก่อนนี้สูงถึง 30% บางทียังพุ่งไปถึง 50%
ถ้าไม่ใช่เพราะภาษีที่สูงลิ่ว เจ้าเมืองลมดำจะเป็นที่รู้จักดีในแถบเมืองใกล้เคียงได้ยังไง?
เขาสามารถหานักสู้ปราณฟ้ามากมายมาช่วยได้ยังไง?
“เปากู่! ทำไมเด็กน้อยอย่างเจ้าถึงไม่ตาย?” ใครบางคนที่เคยรู้จักเจ้าหัวกลมเปากู่ผู้นี้ อดส่งเสียงถามมิได้
“เจ้าพูดอะไรกัน? ชื่อเปากู่จะให้เจ้าเรียกหาตรงๆ ได้หรือ? ให้เรียกว่าท่านเปากู่!” บุรุษสองคนในชุดคลุมสีดำที่อยู่ด้านหลังเปากู่โกรธ และระเบิดพลังระดับปราณฟ้า ท่าทางที่โกรธและดุร้าย
“ทะ..ท่านเปากู่เหรอ?” คนที่พูดติดอ่างกลัวจนแทบปัสสาวะราดรดกางเกง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ถูกขับออกจากสำนักจะมีนักสู้ปราณฟ้าสองคนเป็นผู้คุ้มกัน ความแข็งแกร่งของแดนสวรรค์ตะวันตก แข็งแกร่งมากขนาดนี้เชียวหรือ? พวกเขาถึงใช้นักสู้ปราณฟ้ามาเป็นผู้คุ้มกันได้
“ข้า..เปากู่ ไม่ใช่คนแข็งแกร่งหรือมีพรสวรรค์อะไร ต้องขอบคุณอู๋เย่ ข้าทำหน้าที่ผู้จัดการตัวแทนทั่วไปในกิจการต่างแดนของเมืองอู๋เย่” หัวกลมเปากู่ไม่ได้หยิ่งยโส เขายังคงถ่อมตัวตามปกติ ขณะที่อีกฝ่ายแสดงความเคารพ และกล่าว “เปากู่เคยเป็นคนโกง แต่โชคดีข้ายังรอดชีวิตได้หลังจากเจ็บตัวอย่างหนัก แต่อู๋เย่... ข้าไม่สามารถปกป้องสหายข้าได้ และข้ารอดอยู่คนเดียว ข้าละอายจริงๆ!”
หลังจากได้ยินที่เขาพูด ทุกคนเข้าใจ
กลับกลายเป็นว่าสองคนนั้นเป็นผู้คุ้มกันของจวินอู๋เย่ และสามสำนักใหญ่ส่งพวกเขามาคุ้มกันเปากู่โดยเฉพาะ
เปากู่ควรจะถูกฆ่าตายไปพร้อมกับท่านจวินอู๋เย่ แม้ว่าสถานะของเขาจะด้อยกว่า แต่เขาได้รับการยอมรับจากสามสำนักใหญ่แดนสวรรค์ตะวันตกในฐานะสหายของจวินอู๋เย่ และสถานะของเขาในตอนนี้นับว่าสูงส่ง คาดไม่ถึงเลยว่าเปากู่ผู้โชคดีจะไม่ตาย แม้เขาจะถูกหินยักษ์บีบอัดกดทับ และกลายเป็นผู้แทนทั่วไปในกิจการต่างแดนของสามสำนักใหญ่แดนสวรรค์ตะวันตก หลังจากสามสำนักใหญ่แดนสวรรค์ตะวันตกพิชิตเมืองลมดำได้
แม้แต่ผู้ประกอบการผู้เคยดูถูกเปากู่ก็ยังมาที่นี่หลังจากพวกเขาได้ทราบข่าว
ทุกคนทำความเคารพเปากู่อย่างนอบน้อมและแสดงความยินดีกับเขาและเรียกเขาว่าผู้แทนทั่วไป
คนพวกที่เคยรุกรานและเหยียดหยามเปากู่ตอนนี้หมดฤทธิ์เดช ทุกคนกำลังสับสนว่าควรจะขอโทษเปากู่ดีหรือไม่
ปัจจุบันนี้ทุกคนรู้ว่าเปากู่เป็นพ่อค้าเร่ต่ำต้อยน่ารังเกียจ และยังไร้ความสามารถ แต่เปากู่ก็โชคดีพอที่มนุษย์ที่เขาคบหาสมาคมด้วยนั้นเป็นปรมาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุที่หาได้ยากในแดนสวรรค์
ในวันนั้นเปากู่เดิมพันชีวิตปกป้องปรมาจารย์นักแปรธาตุจวินอู๋เย่ จนเขาถูกรองประธานหอการค้าชิโดและหัวหน้าทหารซ้อมจนสะบักสะบอม ทุกคนเห็นเรื่องนี้กันทั้งนั้น
และทุกคนในเวลานั้นแอบเยาะเย้ยพฤติกรรมโง่ๆ ของเปากู่
เพราะเพื่อสหาย เขาถึงกับต้องเสี่ยงชีวิต
มันคุ้มกันหรือ?
เมื่อมองย้อนกลับไปตอนนี้ โชคของเปากู่ เขาสมควรได้รับ อย่างน้อยเขาเสี่ยงชีวิตช่วย ถ้าเขาไม่ช่วยปรมาจารย์นักแปรธาตุจวินอู๋เย่ แดนสวรรค์ตะวันตกจะให้เกียรติพ่อค้าเร่อย่างเขาหรือ เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะจัดยอดฝีมือระดับปราณฟ้าสองคนมาคุ้มครองเขาชั่วคราว? เป็นไปไม่ได้เลย!
“เปากู่..เอ๊ย.. ท่านผู้จัดการเปากู่ มีอยู่เรื่องหนึ่ง.. โปรดบอกที เรื่องข่าวปลอดภาษี 3 ปี น่ะจริงไหม?” ใครบางคนถามขึ้น
“เป็นเรื่องจริง สามสำนักใหญ่แห่งแดนสวรรค์ตะวันตกล้วนเป็นผู้กล้าหาญทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ พวกเขามองเมืองลมดำเหมือนกับเป็นเต้าหู้? สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเกียรติและความนับถือต่อท่านปรมาจารย์! ดังนั้นเมืองลมดำจึงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอู๋เย่และจะกลายเป็นเมืองที่มีอิสรภาพ และปลอดภาษี เมืองอู๋เย่จะมีผลประโยชน์มากขึ้นในอนาคต นี่เป็นเพราะสามสำนักใหญ่ตอนนี้อยู่ในช่วงเศร้าโศก อารมณ์ไม่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลาจัดการ เพราะการข้ามดินแดน ผู้บริหารระดับสูงของสามสำนักใหญ่รู้สึกว่าจะได้รับผลกระทบ พวกที่มาล้วนแต่เป็นรุ่นผู้เยาว์ทั้งหมด มิฉะนั้นเมืองลมดำจะคงอยู่ในตอนนี้ได้ยังไง แคว้นมรกตทั้งหมดจะต้องปั่นป่วนไปด้วย เจ้าเมืองลมดำไม่เคยรู้ว่าเขาก่อบาปกรรมไว้มากเพียงไหนเพราะความหยิ่งผยองของตนเอง ดื้อดึงต่อต้านไม่มีความสำนึกผิด แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีการให้เกียรติอู๋เย่เลย! ถ้าไม่มีคนรายงานและระบุสถานที่ถูกฆ่าของอู๋เย่และหาจนพบ อู๋เย่ก็คงถูกฝังอยู่ใต้หินยักษ์สกปรกและข้าคงไม่ถูกปล่อย..” คำพูดของเปากู่ทำให้บางคนน้ำตาซึม
นั่นเขาพูดเรื่อยเปื่อยหรือเปล่า?
คำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจของเปากู่เผยความลับโดยไม่เจตนา
ใครเป็นคนเป่านกหวีดส่งสัญญาณ? ใครเป็นคนบอกยอดฝีมือในแดนสวรรค์ตะวันตกและทำให้เขาสามารถหาที่จวินอู๋เย่ถูกฆ่าและยืนยันว่าเขาตายหรือ? ถ้าไม่ใช่มีคนแจ้ง อย่างนั้นยอดฝีมือของสามสำนักใหญ่ในแดนสวรรค์ตะวันตกเหล่านี้คงไม่โกรธจนเข่นฆ่าอย่างไร้เหตุผลแน่..
แน่นอนว่าสำหรับข่าวสารที่เป็นประโยชน์นี้ หลายคนจำใส่ใจและสิ่งที่ทุกคนต้องทำในตอนนี้ก็คือประจบเอาใจเปากู่เพื่อให้ได้ความลับเพิ่มเติม
เจ้าหัวกลมเปากู่ได้เลื่อนตำแหน่งจากพ่อค้าเร่ไปเป็นผู้แทนทั่วไปของเมืองอู๋เย่ ดังนั้นการทำดีกับเขาก็คือการทำดีกับสำนักทงเทียน สำนักมังกรทะยานและวังมาร!
“น้องเปากู่, ข้าสงสัยว่าเมื่อไหร่เจ้าจะว่าง กลุ่มธุรกิจเราหลายกลุ่มอยากจะเชื้อเชิญเจ้ามาดื่มเหล้าดีๆ ฟังดนตรีไพเราะได้ไหม?” กลับกลายเป็นว่าท่านโจอี้ซึ่งมีหอการค้าในความดูแล 300 ร้านและมีระดับสูงกว่าท่านบาร์ตันซึ่งไม่อยู่ แต่พ่อบ้านที่ไว้ใจได้ของเขาเข้าร่วมด้วย พ่อบ้านผู้ตอนนี้ยิ้มตลอดเวลาให้กับพ่อค้าเร่ผู้เคยถูกข่มเหงและขับไล่มาก่อนด้วยท่าทีนอบน้อม เหมือนกับว่าเปากู่เป็นน้องชายของเขาตั้งแต่เกิด
“เผียะ!” หลังจากได้ยินข่าว ท่านโจอี้ซึ่งมาจากเมืองใบไม้เขียวตบหน้าพ่อบ้านแล้วด่า “เจ้ามันสุนัขรับใช้ ท่านผู้จัดการทั่วไปเปากู่มีฐานะสูงส่ง เจ้าบังอาจเรียกท่านเป็นน้องได้หรือ? ต้องเรียกว่าท่านเปากู่!”