SN-ตอนที่ 45 วางแผน (1)
ขณะที่ฝูงโฮเวอร์คาร์สีดำที่มีตราสัญลักษณ์ของแบล็ควอเตอร์สลักไว้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อัลดิช ก็โบกมือให้ อันเดด ของเขาเตรียมจากไป
“พวกเราต้องไปแล้ว” อัลดิช กล่าว จากนั้นเขาก็เข้าไปในส่วนลึกของป่า และ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ลบร่องรอยการกระทำของมนุษย์ทั้งหมด เพราะหากกลุ่มค้นหาโกสต์ค้นพบร่องรอยของมนุษย์มันจะเป็นการแจ้งเตือนของพวกเขาและคิดว่าอาจมีอาชญากรรมเกิดขึ้น
แน่นอนว่า อัลดิช ไม่ได้ปกปิดร่องรอยการตายของโกสต์อีกทั้งยังเผยให้เห็นเส้นทางไปสู่ซากศพเหล่านั้น
ทีมค้นหาเหล่านั้น จะสามารถมองเห็นชิ้นส่วนของพวกเข็มฉีดยาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด จากนั้นพวกเขาก็จะคาดเดาเกี่ยวกับร่องรอยบาดแผลที่เป็นการกระทำของพวก วาแลน
ในจุดนี้พวกเขาจะเข้าใจในทันทีว่าเหตุผลที่ โกสต์ ตาย เป็นฝีมือของพวก วาแลน และ เป็นเพราะการใช้ยาเกินขนาดทำให้ โกสต์ไม่มีสติมากพอที่จะป้องกันตัว
หลังจากได้ข้อยุติพวกนี้ ทางแบล็ควอเตอร์ ก็จะสรุปได้ถึงสาเหตุทั้งหมดและยุติการค้นหาไปโดยปริยาย
แต่หากพวกเขาบังเอิญค้นหาสาเหตุหนักกว่าเดิม อัลดิช ก็เต็มใจที่จะหลบหนีออกจากป่าวาแลนเข้าไปในเน็กซัสจนกว่าทุกอย่างจะสงบลง
ดังนั้น อัลดิช และ ปาร์ตี้ของเขาจึงได้เคลื่อนไหวกันอย่างระมัดระวังเท่าที่จะเป็นไปได้ และ ให้ กีสต์ หรือ ปู แบกคนที่มีรอยเท้าเหมือนมนุษย์เพื่อลดการสร้างรอยเท้า
ขณะที่ อัลดิช และ พรรคพวกของเขาเดินเข้าไปในป่า เขาก็กลับมาตรวจสอบ อีวิลอายที่เขาวางเอาไว้
อัลดิช เฝ้าดูโฮเวอร์คาร์อย่างใกล้ชิดโดยใช้ดวงตาของเขามองผ่านดวงตาของอีวิลอาย แน่นอนว่าเขาจะไม่สามารถมองผ่านเช่นนี้ได้หากเขาอยู่ในเน็กซัสหรือมิติอื่น แต่ เขาสามารถทำเช่นนี้ได้หลังจากกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
อีวิลอายดวงนึงได้เฝ้าสังเกตุกลุ่มโฮเวอร์คาร์เอาไว้ในขณะที่อีกดวงนึงได้ตระเวณไปโดยรอบพื้นที่ของแบล็ควอเตอร์
จากการสังเกตุของอีวิลอายทำให้ อัลดิช รู้ว่า เซ็ธ โซลาร์ และ พรรคพวกของเขาไม่ได้อยู่ในหอพักในแบล็ควอเตอร์ แต่พวกเขาอยู่ในโฮเวอร์คาร์คันนึงที่กำลังแล่นเข้ามาในป่าวาแลน
โฮเวอร์คาร์ได้หยุดลงและจอดข้างถนนใหญ่ จากนั้นก็มี คณะอาจารย์หลายคนและผู้ทรงอิทธิพลมากมายออกมา
หน่วยค้นหาประกอบไปด้วยชาย 22 คน ในชุดเกราะพลังงานสีดำและอาวุธปืนไฮเทคพร้อมอุปกรณ์ฉายไฟ อีกทั้งยังมี แล็ปท็อปที่ควบคุมโดรนหลายตัวเพื่อบินสำรวจพื้นที่เหนือป่า
โดยพวกเขาได้จอดรถทิ้งไว้ใกล้กับจุดทิ้งขยะของโกสต์ ซึ่ง อัลดิช สามารถบอกได้เลยว่า เซ็ธ รู้ว่า โกสต์ได้ทิ้งยาของพวกเขาไว้ที่ไหน
โชคดีที่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า 30 นาที อัลดิช จึงสามารถทิ้งห่างกลุ่มค้นหาที่อยู่ตำแหน่งจุดทิ้งยาของโกสต์ได้
อัลดิช ได้หยุดพักโดยการนั่งอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ เขาพูดคุยกับ แฟลร์กาน ขณะที่เขาได้ทำหลายอย่างพร้อมกันและยังคงเชื่อมต่อสายตาของเขากับ อีวิลอาย เพื่อสอดแนมทีมค้นหา
“นายบอกฉันว่ามี 3 ขั้นตอนในการบรรลุ ‘พิธีกรรมนิรันดร์’ เพื่อที่จะกลายเป็นลิช ใช่มั้ย!” อัลดิช ได้กล่าวพูดขึ้น “ตอนนี้ฉันมั่นใจว่าได้ทำเสร็จไป 1 ใน 3 แล้ว นั่นเป็นเพราะลูกแก้วแก่นแท้ ของนายที่ฉันได้รับมา และ แน่นอนว่ายังมี สัญลักษณ์แห่งพลังที่ต้องคว้ามานั่นอีก”
“ท่านต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการตัดพันธะของมนุษย์เพื่อให้บรรลุผลใช่หรือไม่?” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ
“ถูกต้อง” อัลดิช ได้ตอบกลับ “ฉันมั่นใจว่าฉันไม่มีพันธะอะไรเหลืออยู่แล้ว”
“ไม่มี? ท่านแน่ใจงั้นหรือนายท่าน!?” วาเลร่า ได้กล่าวถาม
“คียเวิร์ดของพันธะคือ ‘คนเป็น’” แฟลร์กาน ได้กล่าวพูดเพื่อทำให้ วาเลร่า คลายกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ อัลดิช บอกว่าไม่มีพันธะใด ๆ “พันธะระหว่างผู้อมตะเช่นพวกเรานั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตนี้”
“นั่นแหละ ฉันถึงมั่นใจว่าฉันไม่มีพันธะใดๆเหลืออยู่” อัลดิช มองไปที่ อดัม และ เอเลเน่ ซึ่งพวกเขาก็จ้องมองกลับมาด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า “พวกเขาเคยเป็นเพื่อนสนิทของฉัน แต่นั่นก็แค่เรื่องราวที่ผ่านมา”
“ตอนนี้พวกเขาตายไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นแค่อันเดด”
“สำหรับ พ่อแม่ของฉัน พวกท่านก็เสียชีวิตไปนานแล้ว”
“ฉันไม่มีเพื่อน ไม่เคยมีความรัก ไม่มีอะไรเหลืออยู่ที่มันมากพอจะเรียกว่าพันธะได้”
“ไม่เคยมีความรัก?” วาเลร่า ตัวสั่นไปด้วยความคาดหวังในขณะที่เธอพึมพัมกับตัวเอง “นายท่านยังไม่เคยมีความรัก เช่นนั้น ไม่ใช่ว่า ข้าสามารถเป็นรักแรกของนายท่านได้…”
อัลดิช ไม่ได้สนใจ วาเลร่า และ ปล่อยให้เธอเพ้อฝันขณะที่เขาพูดคุยกับ แฟลร์กาน ต่อไป
“ดังนั้นฉันมั่นใจว่าฉันนั้นสามารถตัดพันธะทุกอย่างได้แต่แล้วทำไมฉันถึงยังไม่ผ่านเงื่อนไขนี้กัน?” อัลดิช พึมพัมออกมา
“โอ้ ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ บางทีท่านอาจจะจินตนาการถึงแนวคิดเรื่องพันธะระหว่างมนุษย์แคบเกินไป” แฟลร์กาน ได้กล่าวออกมา ตอนนี้ความวิกลจริตของเขาได้หายไปแล้ว และ เสียงของเขาก็สงบราวกับปัญญาชนที่ใช้เวลากว่า 1 ศตวรรษในการศึกษาหาความรู้ “ท่านคิดว่าพันธะที่ว่านี้เป็นแค่ความผูกพันที่เรียกว่าความรักและมิตรภาพเท่านั้นหรือ?”
“แน่นอนว่า สายใยแห่งความอบอุ่นก็คือพันธะที่เชื่อมท่านกับผู้อื่น”
“เช่นนั้นแล้วความเกลียดชังล่ะ?นี่คือสายใยที่เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นพอมากที่จะฉุดรั้งใครบางคนไม่ให้พวกเขาก้าวหน้าต่อไปได้ มันถือเป็นโซ่ตรวนที่รัดแน่นยิ่งเสียกว่าสายในแห่งมิตรภาพ”
“ความเกลียดชัง?” อัลดิช ได้พึมพัมออกมา ในขณะที่เขามองดู เซ็ธ โซลาร์ ผ่านอีวิลอายที่ยืนอยู่ในพื้นที่โล่ง พร้อมกับ เพื่อนของเขาที่ยืนกอดอกและสั่นศีรษะ
ในเวลานี้ เขาสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังและความแค้นจำนวนมาก และ เขารู้สึกปราถนาที่อยากจะฆ่าและหั่นคนเหล่านี้เป็นชิ้นๆ
“ฉันเข้าใจแล้ว” อัลดิช ได้กล่าวออกมา “เป็นความเกลียดชัง ที่ทำให้ฉันยังไม่สามารถตัดพันธะทั้งหมดได้”
“ในบรรดาคนทั้งหมดที่ฉันต้องการแก้แค้น เซ็ธ โซลาร์ คือเป้าหมายที่ยากที่สุด”
“หากพวกเราร่วมมือกัน บางทีพวกเราอาจได้รับชัยชนะเหนือคนทั้งหมด” วาเลร่า กล่าวพูดอย่างคาดหวัง
“เดี๋ยวนะ โซลาร์?” ไดนาไมท์เกิร์ล ได้พึมพัมออกมา “ฉันคิดว่าฉันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ โซลาร์ นี่คือ ตระกูลของ โซโลมอน โซลาร์ ใช่หรือไม่?”
“ใช่ แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่ โซโลมอน โซลาร์ ที่เป็นฮีโร่ทอปคลาสของสาธารณะชน เพราะการกำหนดเป้าหมายเป็นเขาก็ไม่ต่างไปจากการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง” อัลดิช ได้ตอบกลับ “สิ่งที่ฉันต้องการก็คือการกำจัด สมาชิกในตระกูลของเขา ที่เป็นเพียงแค่ไอ้สารเลวที่ชอบทำตัวอยู่เหนือกฏหมาย”
“เขาอ่อนแอกว่าพวกสมาชิกหลักของตระกูลโซลาร์เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในสาธารณะชน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกไม่ดี เพราะเขามาจากตระกูลโซลาร์ที่แข็งแกร่ง”
“คนผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?” วาเลร่า พูดขณะที่เธอมองผ่านอีวิลอายของอัลดิช หลังจากสแกนมองดูเขา เธอก็พึมพัมออกมา “ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถบินได้ นอกเหนือจากนี้ข้าก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังใดๆที่เล็ดลอดออกมาจากเขาเลย”
“เพราะพลังของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวทย์มนตร์หรือเลเวล” อัลดิช ได้ตอบกลับ “อีกอย่างเธอจะต้องคุ้นเคยกับวิถีของโลกนี้โดยไม่ประเมินใครบางคนในโลกนี้ต่ำเกินไป เพราะคนที่ทรงพลังในโลกนี้พวกเขาสามารถเก็บซ่อนพลังของตัวเองได้”
“ไม่ เว้นแต่ว่าจะมีเครื่องสแกนแบบผม!” ฟีสก์ ได้ตอบกลับ
“ฉันแค่พูดเตือน ว่าแต่ส่งเครื่องสแกนของนายมา” อัลดิช ได้พูดขึ้น “นายคงไม่ได้ยืนท่ามกลางการต่อสู้หรอก ดังนั้นเครื่องสแกนของนายจะมีประโยชน์กับฉันมากกว่า”
“เอาไปเลยหัวหน้า” ฟิสก์ ได้ยื่น กระบังหน้าสีแดงที่เขาสวมอยู่ให้ อัลดิช
อัลดิช พยายามจับมัน และ พยายามยัดเข้าไปในช่องเก็บของของเขา แต่เขาพบว่าเขาทำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะมีแต่ของวิเศษเท่านั้นที่ยัดเข้าไปได้ ดังนั้นเขาจึงได้สวมมันเข้าที่หน้าและมองดูตัวเลขที่กระพริบบนหน้าจอเล็ก ๆ น้อยๆ
“ไม่ใช่ว่านายสร้างสิ่งนี้มาเพื่อไว้ใช้ดำน้ำหรอกนะ?” อัลดิช ได้กล่าวออกมา ดำน้ำที่ว่านี้ หมายถึงการจมดิ่งเข้าสู่โลกแห่งเกมโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“ไม่ ไม่ ผมแค่สร้างมันขึ้นมาให้เหมาะกับผมเท่านั้น” ฟิสก์ชี้ไปที่ ดวงตากลของเขา “นอกจากนี้ มันยังดูเท่เป็นอย่างมาก เพราะมันคือ ARMA บูล-เกรด ชนิดที่พวกตำรวจ ARMA พวกนั้นใช้กัน”
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” อัลดิช ตอบกลับ เขาค่อนข้างสงสัยว่าเขาจะดูเป็นอย่างไร ในชุดคลุมเนโครแมนเซอร์หลวม ๆ ถือตะเกียงที่ทำมาจากกระดูกที่มีลูกตาสีแดงห้อยอยู่ข้างใน และ เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ เขาสวมกระบังหน้าเหล็กที่เป็นอุปกรณ์ไฮเทค
บางทีสิ่งของเหล่านี้อาจจะดูไม่ค่อยสอดคล้องกันสักเท่าไหร่
“ท่านดูดีมากเลย นายท่าน!” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
อย่างน้อยเขาก็มีผู้สนับสนุนหนึ่งคน
“อืม พลังที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวทย์มนตร์หรือเลเวล…” แฟลร์กาน ได้ถูมือสีม่วงที่ลื่นไหลของเขาเข้าหากัน “ช่างน่าแปลก แต่มันก็น่าสนใจ ข้าอดที่อยากจะหาความรู้เพิ่มเติมไม่ได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปที่ ไดนาไมท์เกิร์ล ด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น
“ข้าสัมผัสได้ถึงประเภทที่ว่ามาจากตัวของเจ้า ดังนั้นเจ้ายินดีกลายเป็นตัวทดลองเพื่อการค้นคว้าของข้าหรือไม่ ข้าให้สัญญาเลยว่าจะไม่ทำให้เจ้าอึดอัดมากนัก”
“หึ่ย ถึงแม้ว่านายจะขอร้องกันแบบนี้ แต่ฉันก็ขอตอบเลยว่าไม่ ไอ้หน้าปลาหมึก แค่คิดว่า ฉันถูกทดลองโดยหนวดปลาหมึกประหลาดของนาย ฉันก็หยะแหยงแล้ว” ไดนาไมท์เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“นายมีแผนทดลองอะไรในใจ?” อัลดิช กล่าวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“หัวหน้า นี่คุณกำลังเข้าข้างเขางั้นเหรอ…” ไดนาไมท์เกิร์ล ได้หรี่ตามองไปที่ อัลดิช “คุณคงไม่ใช่คนวิปริตเหมือนกันใช่มั้ย?”
“หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว ไม่มีใครสูงส่งและซื่อสัตย์ได้เท่านายท่านของข้าแล้ว!” วาเลร่า ได้กล่าวประท้วงและเผยสีหน้าที่แดงออกมาเล็กน้อย “แต่…ถึงแม้ว่าเขาจะมีด้านนั้น…ข้าก็ยังยอบรับเขาอยู่ดี”
“...” อัลดิช ไม่ได้สนใจคำพูดของหญิงสาวทั้งสองแต่หันไปมอง แฟลร์กาน เพื่อขอคำตอบ
“ข้ากำลังคิดถึงวิธีการที่คนเหล่านี้เก็บซ่อนพลังไว้ในร่างกายของพวกเขาว่ามันมีความคล้ายคลึงกับมานาและเวทย์มนตร์ของพวกเราหรือไม่” แฟลร์กาน ได้กล่าวอธิบาย “นอกจากนี้หากตรวจสอบดี ๆ อาจได้ข้อมูลเพิ่มเติม”
“เรื่องนี้ ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน แต่นายต้องปล่อย ไดนาไมท์เกิร์ลไป เพราะฉันยังต้องการความร่วมมือจากเธออยู่ ไว้ผ่านไปสักระยะฉันจะมองหาผู้วิวัฒเหล่านี้มาให้นายทำการทดลองก็แล้วกัน” อัลดิช ได้ตอบกลับ
“ผู้วิวัฒ? นั่นคือสิ่งที่เรียกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่แปลกประหลาดเหล่านี้งั้นหรือไม่?” แฟลร์กาน กระตุกเอ็นปากของมันอย่างหิวโหย “เช่นนั้น ผู้อาวุโส ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เริ่มการทดลอง ข้าเชื่อมั่นเลยว่าการทดลองของข้า…”
“ฉันมั่นใจว่านายจะต้องค้นพบอะไรบางอย่างแน่นอน” อัลดิช ได้ตอบกลับ “ดังนั้นฉันจะจัดเตรียมตัวทดลองที่นายต้องการให้ในภายหลัง สำหรับตอนนี้ มาจัดการปัญหาตรงหน้านี้กันก่อน”
เขาก้มลงมองนาฬิกา ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงค่ำของวันพุธ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเสาร์ เมื่อถึงตอนนั้น เซ็ธ โซลาร์ และ พรรคพวกของเขาจะไปรวมตัวกันที่ เร้ด-เซอร์เคิล
แน่นอนว่ายังมีสิ่งที่ต้องคิดอยู่อีก เพราะสิ่งที่เขาต้องเผชิญอาจจะรวมถึง ทหารรับจ้างและวายร้ายใน เร้ด-เซอร์เคิลด้วย
ทุกอย่างคงไม่ง่ายเว้นแต่ว่า อัลดิช จะกลายเป็นลิช และ ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
แต่ประเด็นคือ เงื่อนไขในการเป็นลิช คือเขาจะต้องฆ่า เซ็ธ โซลาร์ให้ได้
อัลดิช เคยคิดที่จะกลายร่างเป็นลิช ก่อนการเผชิญหน้ากับ เซ็ธ โซลาร์ แต่ดูเหมือนตอนนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ หากไม่กลายเป็นลิช แม้ว่าโชคจะเข้าข้างเขา แต่การต่อสู้กับ เซ็ธ โซลาร์ ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่ดี
ดังนั้นเขาควรมองหาแผนการอย่างไร?