ตอนที่แล้วบทที่ 28 - บำรุงปราณและเลือดลม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 - มือสังหารฉินหยู

บทที่ 29 - หน่วยลาดตระเวน


2/6

บทที่ 29 -  หน่วยลาดตระเวน

สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเฉินซี หยางซือเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ตอนนี้ยังคิดว่าราคา 10 ตำลึงทองแพงอีกหรือไม่?”

“ไม่ ... ไม่อีกแล้ว!”

ปฏิกิริยาของเฉินซีรุนแรงเกินกว่าที่คาด เขาผุดลุกขึ้น ดวงตาจ้องมองหยางซือเล่ย อย่างดุเดือด “นี่มันถูกเกินไปด้วยซ้ำ!!”

แม้ว่าอาชีพของเฉินซีคือนักประเมินสมบัติ แต่เขาก็เป็นนักบู๊ในขอบเขตรวบรวมลมปราณเช่นกัน ดังนั้นเข้าใจดีว่าพลังปราณและเลือดลมหมายถึงอะไร

ในเส้นทางแห่งวรุยทธ นอกจากเรื่องแข็งแกร่งแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการแสวงหาชี

วิตอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งยิ่งระดับบำเพ็ญเพียรสูงขึ้น พลังปราณและเลือดลมก็จะยิ่งแก่กล้า นั่นหมายความว่าอายุจะยืนยาวขึ้นเช่นกัน

กระนั้น มีนักบู๊ไม่น้อยที่มีพรสวรรค์ปานกลาง ฐานบำเพ็ญเพียรไม่ก้าวหน้า สุดท้ายพ่ายแพ้กาลเวลา ปราณและเลือดลมในกายนับวันยิ่งอ่อนแอ

เพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้โอสถที่ช่วยบำรุงพลังปราณและเลือดลมถูกยกเป็นสมบัติสวรรค์ กลายเป็นทรัพยากรที่ถูกผู้คนพากันแย่งชิง

ตามปกติแล้ว โอสถบำรุงเลือดลมธรรมดา มีราคาอย่างน้อย 100 ตำลึงทอง แต่ผัดหมี่ที่เพิ่งกินไป มันช่วยเพิ่มทั้งพลังปราณและเลือดลม มีสรรพคุณไม่ด้อยไปกว่าเม็ดโอสถเลย!

แต่หยางซือเล่ยขายราคาเพียง 10 ตำลึงทองเท่านั้น

นี่มันถูกมากจริงๆ!

เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินซีมองไปยังหยางซือเล่ยด้วยแววตาเหม่อลอย ในใจยิ่งนานยิ่งคิดว่าหยางซือเล่ยยากเกินจะหยั่งถึง

“นายน้อยหยาง ก่อนมาที่นี่ ข้าได้ลาออกจากงานในฐานะนักประเมินสมบัติของสภาหอการค้าจินไห่แล้ว”

เฉินซีเป็นคนใจร้อน กล่าวต่อว่า “ข้าจะไปที่ฝูจิงเสวียนเพื่อจัดการธุรกิจกับมือสังหารของกลุ่มจันทร์สีเลือดให้เสร็จ แล้วรีบหาซื้อร้านค้าสักหลัง เป็นตัวแทนการขายให้ท่านโดยเร็วที่สุด”

หยางซือเล่ยพยักหน้า เผยยิ้มบาง “อืม เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

ต่อมา ภายใต้การนำทางของเฉินซี หยางซือเล่ยพร้อมบุตรสาวมุ่งหน้าไปยังฝูจิงเสวียนที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง

บนถนน หยางซือเล่ยรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้ค่อนข้างผิดปกติ มีกลิ่นอายสังหารจางๆ

และสังเกตได้ว่ายามตรวจตราบนท้องถนนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว คนสัญจรผ่านไปมาไม่เหมือนวันเก่าๆ ไม่มีใครอ้อยอิ่ง รีบพูดรีบเดินผ่านไป

“การตายของเย่หานเมื่อคืน ทำให้คฤหาสน์เจ้าเมืองตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทำเนียบยุทธชางเฉียง วันนี้ส่งทหารสามพันนายกระจายทั่วเมือง เพื่อควานหาตัวฆาตกร”

เฉินซีกระซิบจากด้านข้าง บอกเป็นนัยๆ

ได้ยินประโยคนี้ หยางซือเล่ยยังคงสงบ เดินหน้าต่ออย่างเงียบๆ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องธุรกิจซื้อขายกับทางคฤหาสน์เจ้าเมืองดูท่าคงต้องระงับไว้ก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะศพของพวกนักเลงบ่อนที่ตาย ล้วนมีรูกระสุนอยู่บนร่างกาย หากสำแดงพลังของปืนต่อหน้าเจ้าเมือง นั่นไม่เท่ากับเป็นการมอบตัวหรอกหรือ?

คิดได้แบบนี้ หยางซือเล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย กระซิบบอกเฉินซี “เหล่าเฉิน เรื่องที่ท่านเสนอซื้อขายกับเจ้าเมือง ขอให้ยกเลิกไปก่อน”

เฉินซีไม่เถียง เขาเข้าใจถึงความเสี่ยง ผงกหัวทันที “ตกลง”

ใช้เวลาไม่นาน หยางซือเล่ยกับคนอื่นๆก็มาถึงฝูจิงเสวียนโดยไม่เจอปัญหาใดๆ

ในฐานะร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิงหยาง สถานที่นี้แออัดไปด้วยผู้คน

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หยางซือเล่ยกำลังจะก้าวเข้าประตู ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนดังมาจากข้างหลังเขา “สกุลหยาง หยุดก่อน!”

ทันทีหลังจากนั้น ยามลาดตระเวนนับสิบนายตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ล้อมหยางซือเล่ยเอาไว้

เมื่อครู่นี้เป็นเสียงของหัวหน้ายามลาดตระเวน เขาเอ่ยอีกครั้งว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครคือฆาตกรที่ฆ่าเย่หาน?”

หัวใจของเฉินซีสั่นเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย แสร้งทำเป็นสงบ

หยางซือเล่ยเงยหน้าขึ้น สำรวจมองหัวหน้ายามลาดตระเวนอย่างใจเย็น

“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่มีข้อพิพาทกับบ่อนเทียนเทียนเล่อเมื่อสองวันก่อน” หัวหน้ายามมองตาหยางซือเล่ยกลับอย่างดูแคลน เอ่ยถามเสียงขรึม

ข้อมูลของหยางซือเล่ย เขารู้ทุกอย่าง ส่วนเหตุผลที่ถาม ก็แค่เพราะไม่เจอเบาะแสอะไรในเมืองเลย ดังนั้นตั้งใจหาแพะรับบาป

ถึงยังไงชายหนุ่มฉาวโฉ่ผู้นี้ขี้ขลาดและอ่อนแอ ต่อให้ถูกจับไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เมื่อต้องเผชิญกับการซักไซ้ของหัวหน้ายาม หยางซือเล่ยกล่าวอย่างใจเย็น “แล้วอย่างไร?”

หัวหน้ายามลาดตระเวนหัวเราะ  “ก็ไม่อย่างไร ข้าแค่สงสัยว่าการตายของเย่หานเมื่อคืนเกี่ยวข้องกับเจ้า!”