ตอนที่ 713 ข้าต้องการเอาชนะท่าน
เมื่อผิงเสี่ยวซานรีบกลับมารายงานข้อมูล เขาเห็นว่าเถี่ยเซียกำลังทุบหินอยู่ข้างๆขณะที่ไอเป็นเลือด เถี่ยเซียดูน่าสมเพชมาก ‘คนโฉดชั้นสองทั้งยังได้รับสืบทอดวิชากระแสราตรีตกต่ำถึงเพียงนี้จริงๆ.’
‘คงจะดีกว่าถ้าข้าได้รับข้อมูลมาแล้ว... และวิธีนั้นจะปลอดภัยกว่า..’
ผิงเสี่ยวซานวิ่งกลับไปด้วยสีหน้าแตกตื่นเร็วกว่าตอนมาเสียอีก
หลังจากหาคนเป็นแรงงานทดแทนได้แล้ว ในที่สุดถังเทียนก็รู้สึกเป็นอิสระ
แม้ว่าเขาจะยังไม่สำเร็จวิชาหมัดเทพเจ้าอย่างสมบูรณ์ แต่ก็เป็นแบบอย่างแล้ว ถังเทียนต้องการจะตั้งชื่อ ‘วิชาหมัดที่ข้าสร้างขึ้นเองหนุ่มชาวฟ้าจะต้องเรียกว่าหมัดเทพเจ้าถึงจะถูก’
เมื่อแบบร่างสมบูรณ์แบบ ความมั่นใจของถังเทียนก็ท่วมท้น ‘ถ้าข้าไม่ท้าสู้กับเบนสันตอนนี้ แล้วข้าจะเอาตัวรอดได้ยังไง?’
เขาสวมหน้ากากผีสีดำและถือธงหมีโลหิตด้วยความกระตือรือร้นอย่างสูง
หานปิงหนิงสะพายกระบี่เล่มหนึ่งไว้ที่หลังของนาง เป็นกระบี่ที่นางพบที่คลังสินค้า แม้ว่าคุณภาพจะยังไม่ดีนักแต่ก็ใช้งานได้
ในความมืด หน้ากากผีดูน่ากลัวมากธงโลหิตยังคงเงียบสงบ
แม้ว่าจะไปสู้แต่สภาพใจของถังเทียนยังคงสงบเป็นอย่างดี พลังในร่างของเขาไหลเวียนอย่างสงบ ขณะที่ประกายในม่านตาของเขาร้อนแรง
ความมืดข้างหน้าเขาก็คือสถานการณ์ของเขา แต่สายตาที่คมกริบของเขาสามารถมองเห็นฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศได้ เขาค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมหายใจของตนเองเหมือนกับว่าฟังเสียงหัวใจของเขา
‘ทุกคน, ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าทุกคนต้องรอนาน’
เขาลืมตาและยกธงหมีโลหิตและพูดโดยไม่เหลียวหลัง “ไปกันเถอะ!”
หานปิงหนิงเดินตามด้านหลังเขา
เถี่ยเซียมองดูประตูอย่างว่างเปล่า
ด้วยแสงที่สาดส่องเข้ามาในประตู บุรุษหนุ่มเดินถือธงของเขาไปอย่างเงียบๆ หน้ากากที่น่าเกลียดของเขามีแรงกดดันที่ยากจะหยั่ง ร่างของเขาดูกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาทั้งมีความมุ่งมั่นเป็นพื้นฐาน
เถี่ยเซียตะลึง
********************
ในยามราตรีถนนหลักของเมืองจื่อจวนสว่างไสวราวกับกลางวัน ร้านค้าสองฟากฝั่งถนนมีแสงสว่าง สถานบันเทิงราตรีของเมืองจื่อจวนมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก และความจริงไม่ใช่เพียงแต่เมืองจื่อจวนเท่านั้น สถานบันเทิงทั่วแดนบาปก็มีชีวิตชีวามากเช่นกันตระกูลสูงส่งและตระกูลขุนนางที่ถูกเนรเทศมักจะคุ้นเคยกับสถานบันเทิงยามตรี และชีวิตที่ขมขื่นและโหดร้ายที่พวกเขานำมา ความทรงจำของเกียรติยศและความรุ่งเรืองทำให้พวกเขาเจ็บปวดมากขึ้นคนนับไม่ถ้วนหมกมุ่นอยู่กับเหล้า และใช้มันให้ลืมความยากลำบากของพวกเขา
ตามปกติในเวลานี้ถนนจะคึกคักไปด้วยผู้คน
แต่ความเงียบที่น่าประหลาดปรากฏที่ท้ายถนน หลังจากนั้นเหมือนกับพิษมันลามไปทั้งถนนตลอดสาย
กึก กึก กึก
มีแต่เพียงเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เวลาดูเหมือนจะเดินเฉื่อยช้าสำหรับถนนที่พลุกพล่านเจ้าของร้านที่ตอนแรกตะโกนต่อรองราคาอ้าปากค้างโดยไม่มีเสียงเปล่งออกมาจากลำคอ เมื่อสายตาของเขากวาดดู ลูกค้าทั้งหมดที่มีความกระตือรือร้นพากันเงียบทันที
แม้แต่แสงไฟที่แต่เดิมให้ความอบอุ่นกลับกลายเป็นชั้นแสงเยือกเย็น
กึก กึก กึก
มีร่างหนึ่งถือธงไว้ด้านหลังเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ ธงหมีโลหิตที่น่าเกลียดน่ากลัวโบกสะบัดกับสายลมสตรีที่อยู่ด้านหลังของเขาเหมือนตุ๊กตาที่สลักจากน้ำแข็ง
ถนนทั้งสายเงียบสนิท
แต่ในวินาทีถัดมาจากเสียงเงียบสงัดก็กลายเป็นเสียงโกลาหลวุ่นวาย
เสียงกรีดร้องเสียงแก้วหล่นแตกลงกับพื้น เสียงฝีเท้าที่ตื่นตระหนก โต๊ะเก้าอี้ถูกดันลงกับพื้นเสียงวิ่งแตกตื่นมีอยู่ทุกที่ ผู้คนหันหน้าวิ่งหนีอย่างแตกตื่น ลูกค้าบนถนนต่างวิ่งหาที่หลบซ่อน
ในพริบตาทั่วท้องถนนกลายเป็นว่างเปล่า
หลูหลิงหนานอาศัยอยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมได้ยินเสียงกรีดร้องจากข้างนอก เขารีบวิ่งไปที่หน้าต่างและบังเอิญเห็นภาพนี้กับตาเขารู้สึกทึ่งด้วยความตกใจ บนถนนเขาได้ยินเรื่องหน้ากากผี แต่แม้ว่าเขาจะไม่มีอะไร แต่เมื่อได้เห็นกับตา แล้วเขาก็เข้าใจทำไมหน้ากากผีถึงได้ทิ้งความรู้สึกน่าประทับใจอย่างลึกล้ำในเมือง
หลูหลิงหนานค่อยกลับคืนสู่ความสงบ เขาจ้องมองร่างบุรุษที่ถือธงเดินเข้ามาช้าๆ
‘ผยองขนาดนั้น! ย่ามใจขนาดนั้น! กล้าหาญไม่กลัวเกรงจริงๆ!’
‘หน้ากากผีหรือ? เป็นคนที่หยิ่งผยองจริงๆ ไม่ให้ความสนใจเมืองจื่อจวนเลย’ แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกถึงพฤติกรรมของหน้ากากผีซึ่งนับว่าโง่ แต่เพราะเหตุผลบางอย่างหัวใจของหลูหลิงหนานเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ฝ่ายปกครองทั้งหมดดูเหมือนจะกลัวแล้วพากันหนีไปจากเจ้าคนหยิ่งยโสนี่หมด
ใช่แล้ว หยิ่งผยอง
เมื่อเห็นคนที่หยิ่งผยองเกินไปทำให้เขาเลือดลมพลุกพล่าน!
หลูหลิงหนานกำหมัดของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เทียบบุรุษหน้ากากผี เถี่ยเซียคนโฉดเพิ่งจะโด่งดังขึ้นมาชั่วคราว หลูหลิงหนานเรียกสติกลับมาได้จากการหายตัวไปของเถี่ยเซีย ‘แม้ว่าตระกูลเซวียจะมียอดฝีมือ แล้วยังไงเล่า? ข้าคือหลูหลิงหนาน เทียบกันแล้วข้าจะขาดแคลนยอดฝีมือได้ยังไง?’
‘เจ้าหน้ากากผีผู้นี้กล้าเป็นศัตรูกับสาธารณชน และข้ายังต้องกลัวเป็นศัตรูกับตระกูลเพียงตระกูลเดียวด้วยหรือ?’
หลูหลิงหนานไม่เคยคิดว่าการกระทำบุ่มบ่ามของหน้ากากผีจะช่วยให้เขาบรรลุคอขวดของสภาพจิตใจ ความรู้สึกถึงพลังที่หลั่งไหลอยู่ร่างของเขาทำให้หลูหลิงหนานหัวเราะออกมาดังๆ
‘ใช่แล้ว พลังของข้าเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!’
‘เจ้าหน้ากากผีน่าสนใจจริงๆ ใครจะรู้ว่าเราอาจมีโอกาสประฝีมือกันในอนาคต’
หลูหลิงหนานจ้องมองดูร่างที่อยู่ข้างล่าง ใจของเต็มไปด้วยความตั้งใจต่อสู้ ขณะนั้นนางงามน้ำแข็งกำลังเดินอยู่ด้านหลังหน้ากากผีได้เงยหน้าขึ้นพวกเขาสบสายตากัน
หลูหลิงหนานเพียงแต่รู้สึกว่าเหมือนมีสำนึกคมกระบี่น้ำแข็งแทงคิ้วของเขาความรู้สึกเหมือนถูกแช่อยู่ในโรงน้ำแข็ง เขารู้สึกว่าความรู้สึกที่เดือดพล่านในร่างเขาถูกแช่แข็งอย่างกระทันหัน
‘น่ากลัวจริงๆ!’
หลูหลิงหนานมีแววหวาดกลัว
หานปิงหนิงถอนสายตากลับ นางรู้สึกถึงเจตจำนงต่อสู้ในตัวคนผู้หนึ่ง ในสายตานางจะเป็นไปได้ยังไงที่คนผู้ไม่หวาดกลัวจิตกระตือรือร้นสูงจะกล้ามาเดินขวางหน้าเขาไม่ให้ก่อกวนคนอื่น?
ในสายตานางไม่มีใครในแดนบาปที่มีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นศัตรูของถังเทียน
พวกเขาทุกคนสูญเสียความกล้าหาญไปแล้ว ยอมรับชะตากรรมและสูญเสียความห้าวหาญ
นางรั้งสายตากลับและเดินตามหลังถังเทียนเงียบๆ
สายลมราตรีพัดเย็นทำให้ธงโลหิตโบกสะบัดอยู่ในถนนที่เงียบสงัดมีคนเพียงสองคน คนหนึ่งเดินหน้า คนหนึ่งเดินหลังกำลังมุ่งหน้าไปเงียบๆ
‘เจ้าหน้ากากผีมาที่นี่อีกแล้ว!’
ข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองจื่อจวนเหมือนไฟป่า
เมืองจื่อจวนซึ่งตกอยู่ในความมืดยามราตรีมีอาคารสว่างไสว มีหลายร่างบินออกไปในทิศทางตามลมกลางคืน พวกเขาพุ่งข้ามท้องฟ้ามาจากทุกตำแหน่งเหมือนกับสายน้ำไหลมารวมกันในตำแหน่งตรงกลาง
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก
การปรากฏตัวครั้งแรกของบุรุษหน้ากากผีอาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครคาด แต่เพราะเขาปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด ทำให้หลายๆคนนับถือเขา
“มาอาละวาดจริงๆ!”
“ใช่ ไม่เคยมีใครเป็นเหมือนแบบนี้มาก่อน”
ในตอนกลางคืนมีการพูดคุยกันมากมายอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของเมืองจื่อจวนพร้อมกัน
ทุกคนสามารถเรียกเขาได้ว่าโง่ ลำพอง หรือหลงตนเองมากเกินไปหรือว่าดื้อดึง แต่ทุกครั้ง ตราบเท่าที่เขาปรากฏ เหมือนกับว่าเขากำลังเปล่งประกายและไม่มีใครสามารถมองข้ามการดำรงคงอยู่ของเขาได้
เมืองจื่อจวนมีผู้คนหลั่งไหลมานับไม่ถ้วนกำลังติดตามธงหมีโลหิตอย่างกระวนกระวาย
พวกเขาทั้งหมดอยากรู้อยากเห็นว่าเจ้าหน้ากากผีจะไปทำอะไร?
เมื่อถังเทียนก้าวเข้าไปที่ถนนตะวันตก ทุกคนที่ได้ยินต่างบินเข้าไปอย่างโกลาหลทันที
****************
บ้านตระกูลมัวร์ยังคงสว่างไสว
หมิงจูมองดูดารินที่อยู่ข้างหน้านางและลอบถอนหายใจ หน้าประดับรอยยิ้มของดารินสมบูรณ์ไม่มีตำหนิและเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง แต่หมิงจูรู้ว่านางพยายามรักษาภาพลักษณ์เต็มที่
ตระกูลฉินแข็งแกร่งเกินไปแค่คิดถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตระกูลฉินไม่ชอบก็ทำให้ตระกูลส่วนใหญ่ต้องชะงักแล้ว แม้แต่ห้าตระกูลใหญ่ของเมืองจื่อจวนก็ไม่ต้องการถูกม้วนเข้าวังงน นอกจากนี้คู่ต่อสู้ไม่ใช่แค่ตระกูลฉินเท่านั้น แต่ยังมีตระกูลหลูแห่งเมืองม้าบิน เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมากกว่าตระกูลฉิน
ไม่ว่าหมิงจูจะให้มากเพียงไหนก็ยังไม่เพียงพอจะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหว
หมิงจูรู้สึกวิตกเป็นอย่างมาก นางรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี ตราบใดที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนเล็กน้อยพวกเขามีโอกาสจะเปลี่ยนสถานการณ์ เนื่องจากตระกูลหลูเป็นคนภายนอก ตระกูลฉินจะไม่สามารถทำอะไรมากเกินไปได้
‘แต่ข้าจะขับเคลื่อนคนเหล่านี้ได้ยังไง?’
หมิงจูไม่มีคำตอบเรื่องนั้น นางไปตระกูลสวี่ ตระกูลโรแลนด์ตระกูลโซเบ็ท แต่ทุกตระกูลกั้นกำแพงทั้งนั้น ทุกตระกูลไม่ได้ปฏิเสธนางก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้การสนับสนุน พวกเขาพูดดี แต่ไม่มีใครยื่นมือช่วยพวกนาง
ทันใดนั้นบ่าวคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามา หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
หมิงจูและดารินหยุดพร้อมกัน
ดารินยิ้มให้และถาม “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้แตกตื่นนักเล่า?”
บ่าวผู้นั้นเงยหน้าต้องการพูดแต่หยุดทันที
ดารินทำหน้าเข้ม “พูดไป”
“นะ..หน้ากากผีกลับมาแล้ว!” คนใช้ตะกุกตะกักพูด
เบนสันผู้ยืนอยู่ด้านหลังดารินยืนมือไพล่หลังตลอดเวลาพลันลืมตาขึ้นรังสีฆ่าฟันวาบผ่านในดวงตา เขาคำราม “เขาคิดว่าตระกูลมัวร์ของเราเป็นตลาดสดหรือไง?นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปตามอำเภอใจ? คุณหนู, โปรดอยู่ตรงนี้กับแม่นางหมิงจูผู้น้อยจะกลับมาโดยเร็ว”
เพียงแค่นั้นเบนสันก็หายไป
เบนสันก้าวเดินอยู่บนหลังคาและมองลงมาที่ถนน เมื่อเห็นหน้ากากผีถือธงรังสีฆ่าฟันพลุ่งขึ้นมาในใจของเขาทันที
เขาตัดสินใจแล้วจะต้องตัดศีรษะเจ้าหน้ากากผีให้ได้
ครั้งก่อนหน้ากากผีชิงตัวหานปิงหนิงหนีไปจากเขา ทำให้เบนสันเสียชื่อเสียงแล้วยังกล้ากลับมาอีก นี่ถือว่าเป็นการหยามหยันทวีคูณไม่เพียงแต่เขาต้องชนะ แต่เขาต้องชนะอย่างสวยงาม
เบนสันมั่นใจว่าทำเช่นนั้นได้ ในการต่อสู้ล่าสุดเขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเจ้าหน้ากากผีอย่างปรุโปร่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเหนื่อยจากลูกไม้ที่มีไม่หยุดหย่อนของเจ้าหน้ากากผี แต่เมื่อเขาคุ้นเคยกับมันแล้วจุดอ่อนของเจ้าหน้ากากผีกำลังขยายตัวในสายตาของเบนสัน
‘ข้าจะชนะครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน’
เบนสันพูดในใจ สายตาเขามองดูเจ้าหน้ากากผีที่อยู่ห่างออกไปและมองดูหานปิงหนิงแววประหลาดใจเต็มอยู่ในดวงตาของเขา
เขาไม่สนใจเรื่องค่าใช้จ่ายค่าตัวหานปิงหนิง แต่สำหรับเขามีแต่เรื่องความสุขของดาริน แต่หลังจากที่ไม่เห็นนางเพียงไม่กี่วันราศีของหานปิงหนิงเสริมพลังแกร่งขึ้นมาก
เบนสันไม่สนใจเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องนักโทษหน่วยสุญญตามีพรสวรรค์มากนัก แต่หลังจากเห็นการเปลี่ยนแปลงของหานปิงหนิงเบนสันตระหนักว่าข่าวลือใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย!
‘ถ้าเราสามารถรับนางกลับมาที่ตระกูล...’
แต่ในเวลาอันรวดเร็วเบนสันก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เขาสามารถเห็นความจงรักภักดีที่หานปิงหนิงมีต่อบุรุษหน้ากากผี
เบนสันทิ้งความคิดทั้งหมดออกไป เขาตะโกนลงมา “เจ้าหน้ากากผี เจ้าพาสหายเจ้าไปแล้ว ยังจะกลับมาทำไม?”
เมื่อเขาได้ยินว่าหน้ากากผีกลับมา ตอนแรกเขาโกรธมากแต่เขาสงบใจได้โดยเร็วและเริ่มประเมินสถานการณ์ มันไร้เหตุผล พวกเขาไม่มีนักโทษจากหน่วยสุญญตาอีกต่อไปแล้วและเบนสันเชื่อว่าบุรุษหน้ากากผีรู้ความแตกต่างในเรื่องพลังระหว่างพวกเขา และลูกเล่นของเขาจะไม่มีทางสำเร็จได้อีกแน่
‘เขามาหาเรื่องตระกูลมัวร์ของข้าเพื่ออะไร? มีเป้าหมายอะไรอยู่แน่?’
เสียงทุ้มของเบนสันสะท้อนไปไกล
คำถามของเบนสันก็เหมือนกับอีกหลายคน
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนบุรุษหน้ากากผีหยุด เขาปักธงบนพื้นข้างตัวเขาเงยหน้าสบสายตากับเบนสันตรงๆ แล้วพูดด้วยเสียงดัง “ข้าต้องการเอาชนะท่าน”
เบนสันตะลึง คนอื่นๆ ก็ตะลึงเช่นกัน
จากเหตุผลที่ทุกคนพูดคุยกันทั้งหมดไม่มีใครคาดว่าจะเป็นคำตอบอย่างนี้
หลังจากเงียบไปสองวินาทีก็มีเสียงฮือฮา