ตอนที่แล้วตอนที่ 709 แก่นต้นกำเนิดชีวิต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 711 เถี่ยเซียคนโฉด

ตอนที่ 710 คนจากตระกูลหลู


หินเหล็กดำแข็งมากกว่าที่เขาคิดไว้แต่เมื่อรู้ความแข็งของกรวดเหล็กทองแล้ว ถังเทียนไม่ประหลาดใจเท่าใดนัก  โชคดีที่หินเหล็กดำไม่แข็งจนยากเกินจะรับได้ไม่จำเป็นต้องใช้สายใยกฎอวกาศมาตัดมัน

ความต้องการสำหรับขนาดหินเหล็กดำร้ายมากและถังเทียนนึกย้อนถึงเวลาเมื่อเขาฝึกหมัดทลายน้อยโดยการบดกระแทกหิน  ในเรื่องของการบดวัสดุหินหมัดทลายน้อยเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

‘ข้าไม่มีพลังเหลือมากนัก’

ถังเทียนสงบจิตใจและเพ่งสมาธิและค่อยๆ ระลึกนึกถึงวิชาหมัดทลายน้อย

หมัดทลายน้อยเป็นวิชาหมัดระดับค่อนข้างต่ำต้องใช้ปราณแท้กระตุ้นความสั่นสะเทือนความถี่สูง ปัจจุบันนี้ถังเทียนไม่มีปราณแท้อยู่ในตัวอีกต่อไปแล้ว  แต่ก็ไม่ถึงกับหายไปสิ้นเชิง  ร่างของเขาฝืนใช้ได้มากและสามารถเลียนแบบแรงสั่นสะเทือนนั้นได้

ถังเทียนไม่ทำอย่างนั้น การใช้กล้ามเนื้อของเขาเลียนแบบการสั่นสะเทือนสามารถทำได้  แต่ผลของมันต่ำมาก  เขาไม่มีพลังเหลืออยู่มากนัก  และถ้าเขาเลียนแบบพลังสั่นสะเทือน  เขาก็คงบดหินเหล็กดำได้ไม่กี่ก้อน

เขาคิดถึงเรื่องกฎธรรมชาติ

เขาใช้กฎได้ถี่มากดังนั้นจึงคุ้นเคยกับกฎเหล่านั้นมากกว่า

ทันใดนั้นเขาคิดถึงหมัดที่ยังใช้ไม่สำเร็จนั้นทำให้ตาเขาเป็นประกาย  ‘ทางเลือกที่ไม่เลว’  จากนั้นถังเทียนฝืนยิ้ม  ตอนนี้ เขาไม่มีพลังเหลือมากเช่นกัน  และไม่สามารถใช้หมัดให้สำเร็จอยู่ดี

ถังเทียนตบศีรษะตนเอง  เมื่อคิดว่าตนเองช่างโง่  ‘ทำไมข้าต้องใช้หมัดสำเร็จด้วยเล่า?  ข้าสามารถทดสอบหมัดที่ยังไม่สำเร็จได้มันไม่จำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งมาก’

ถังเทียนตัดสินใจลองดูและเตรียมใช้หมัดอย่างระมัดระวัง ขณะนั้นความคิดตอนแรกของเขาเปลี่ยนจากซับซ้อนเป็นเรียบง่ายใช้วิธีการย้อนกลับและควบแรงสั่นสะเทือนทั้งหมดในวิชาหมัดรวมเป็นหมัดเดียว

แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์แต่พลังของหมัดก็มีภาพสง่างามแล้ว ถังเทียนเชื่อว่าพลังของหมัดจะเหนือกว่าทุกหมัดที่เขาเคยเห็นแน่นอนรวมทั้งวิทยายุทธและวิชาจิตวิญญาณทั้งหมด

เมื่อคิดดูแล้วถังเทียนตระหนักได้ทันทีว่ารูปอนุมานนับไม่ถ้วนทั้งหมดได้กลับเข้ามาในตัวเขาเหมือนกับกระแสน้ำหลาก

ถังเทียนไม่ตื่นเต้น  เมื่อยืนยันเส้นทางแล้ว เขาไม่มีถอยหลัง  เมื่อตอนอยู่ในช่วงการฝึกกับปิง เขาได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาดังกล่าว เขาไม่สนใจเรื่องหินเหล็กดำและนั่งขัดสมาธิเริ่มสร้างแผนผังในใจ

วิชาหมัดมวยมีรูปแบบต่างๆกันและทุกรูปแบบมีเครื่องหมาย จากง่ายไปหายาก จากเล็กไปใหญ่  ถังเทียนเลือกรูปแบบใหญ่ออกมาจากนับพัน  และซึมซับเข้าในวิชามวยของเขา

ครั้งสุดท้ายเมื่อถังเทียนอยู่ในสภาวะรู้แจ้งรูปแบบนับพันเหล่านี้ปรากฏออกมาเหมือนไฟกระพริบและเงาซึ่งผุดผ่านเข้ามาในหัวใจเขาอย่างง่ายดาย  แต่ปัจจุบันนี้เขากำลังอนุมานช้าๆและกลายเป็นหนักยากลำบากมาก

พลังของถังเทียนเหลือน้อยแล้วในตอนนี้  หลังจากคิดอย่างหนักเขายิ่งเหนื่อยมากขึ้น และหลับไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

ในห้องประชุมแม้ว่าจะดึกแล้ว  แต่มีแสงเผาไหม้อย่างงดงาม  บรรยากาศตึงเครียดด้วยสภาพที่เป็นปฏิปักษ์กัน

“แม่นางหมิงจู เป็นยังไงบ้าง?”  หลูหลิงหนานยิ้ม  เขาชื่นชมลักษณะของหมิงจูตรงๆดวงตาของเขามีแววหลงใหล เขาได้ยินความงามของตระกูลเซวียมานานแล้ว และพวกนางก็ใช้ชีวิตอยู่โดยชื่อตระกูลของพวกนาง

สมาชิกตระกูลหลูคนอื่นมีสีหน้าหยิ่งยโสกันทุกคนหน้าของพวกเขาแสดงความรังเกียจ

“ความจริงติดตามตระกูลหลูของข้ายังจะดีกว่าตามตระกูลฉินนะ” หลูหลิงหนานพูดเล่นลิ้น “ประมุขตระกูลบอกไว้แล้วว่าตราบใดตระกูลเซวียยอมเปลี่ยนความภักดีก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษเหมือนอย่างคำที่กล่าวไว้ว่าภายใต้ร่มไม้ใหญ่ย่อมมีความอุดมสมบูรณ์  ตระกูลหลูก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่  เราสามารถป้องกันลมและฝนให้ตระกูลเซวียได้ พวกเจ้าทุกคนจำเป็นต้องให้อาหารหนอนไหมของเจ้าอย่างสงบ  ส่วนเรื่องอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจชีวิตจะสงบสุขแค่ไหน”

เหล่าสตรีที่อยู่หลังหมิงจูมีท่าทีอึดอัดกันทุกคน พวกนางไม่เคยคิดว่าตระกูลหลูคิดจะฮุบตระกูลเซวียไปเป็นของพวกเขาเอง และพวกนางทุกคนมองดูคนของหลูหลิงหนานอย่างไม่พอใจ

สีหน้าของหมิงจูเย็นชาและตอบอย่างเย็นชา“ตระกูลหลูเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่โชคไม่ดีที่เป็นสิ่งที่ไม่ทำให้ตระกูลเซวียของข้าสบายใจได้ ถ้าตระกูลหลูต้องการซื้อสินค้าของเราจะต้องคิดตามราคาตลอดสำหรับเรื่องอื่น ข้าขอให้ท่านเก็บไว้ให้ตัวเองเถอะ”

“ฮ่าฮ่า นั่นเป็นการบอกว่าแม่นางหมิงจูไม่ยินยอมตาม เห็นแก่เรื่องส่วนตัวก็คงเป็นเรื่องจริง”  รอยยิ้มยังปรากฏบนใบหน้าของเขา  หลูหลิงหนานพูดอย่างสบาย  “เหตุผลที่เราอยู่ที่นี่มาคุยกับแม่นางหมิงจูเป็นเพราะให้เกียรติแม่นางหมิงจู ไม่อย่างนั้นด้วยพลังของตระกูลหลูถ้าต้องการอะไรสักอย่าง เราจะเอาไม่ได้เชียวหรือ?”

ในที่สุดหน้าของหมิงจูก็เปลี่ยนและนางตอบเย็นชา  “คุณชายหลูดีใจเกินไปจนลืมไปว่าเราอยู่ในเมืองจื่อจวนไม่ใช่เมืองม้าบิน”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลูหลิงหนานกว้างขึ้นเหมือนกับเล่นเกมแมวจับหนู เขายกแก้วชาและจิบ  “ใช่,นี่คือเมืองจื่อจวน เมืองจื่อจวนของตระกูลฉิน แต่แม่นางหมิงจูคิดถึงความจริงที่ว่าข้ามายังบ้านตระกูลเซวีย  แต่ก็ไม่มีใครจากตระกูลฉินอยู่ที่นี่เลยจริงไหม?”

ร่างหมิงจูโงนเงนเล็กน้อย  หน้าของนางซีดขาวไม่ใช่แต่เพียงนางเท่านั้น เสี่ยวเหยาที่อยู่ข้างหลังนางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป สำหรับตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งเข้ามาในเมืองจื่อจวน  ตระกูลฉินจะต้องระวังมาก  แต่กระทั่งถึงตอนนี้แล้วไม่มีสมาชิกจากตระกูลฉินปรากฏตัว

“ดูเหมือนว่าแม่นางหมิงจูไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”  หลูหลิงหนานถอนหายใจ  จากนั้นดึงจดหมายออกมาจากอกของเขาเขาสะบัดมือร่อนจดหมายให้หมิงจู  “ทำไมถึงไม่ดูนี่ก่อนแล้วค่อยพูด”

หมิงจูเห็นคำว่า“ถึงแม่นางหมิงจู” เขียนอยู่บนกระดาษ นางสั่นไปทั้งตัว หน้าของนางไม่มีสีเลือด นางคุ้นเคยกับลายมือดี นี่เขียนโดยสี่ขุนพลตระกูลฉิน จงเจิ้งเยียนเหม่ย เขาจัดการกิจการภายในตระกูลฉินและมีความสัมพันธ์กับตระกูลเซวียอยู่บ่อยครั้ง

หมิงจูเปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นเทา

ในจดหมาย ถ้อยคำที่จงเจิ้งเยียนเหม่ยเขียนดูเป็นกันเองมาก  แต่กลับมีร่องรอยความสง่าเปิดเผยจงเจิ้งเยียนเหม่ยกล่าวว่า ตระกูลฉินและตระกูลหลูเป็นพันธมิตรสนิทกันที่สุดและความเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองฝ่ายจะส่งผลในอนาคตของเมืองจื่อจวนและเมืองม้าบิน เขาบอกเป็นนัยว่าการร่วมกับตระกูลหลูจะช่วยให้ตระกูลเซวียก้าวหน้าได้  และหวังว่าตระกูลเซวียจะยอมเห็นแก่ภาพรวมและย้ายไปเมืองม้าบิน  ของขวัญของตระกูลเซวียจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งสำหรับการเป็นพันธมิตร  สุดท้ายนี้ ถ้าตระกูลเซวียพบกับปัญหาใดๆในอนาคต พวกเขาสามารถมาหาตระกูลฉินได้ ตระกูลฉินจะช่วยพวกเขาอย่างดีที่สุด

ความสิ้นหวังสุดจะพรรณนาท่วมทับใจของหมิงจู  นางไม่เคยคิดว่าตระกูลฉินจะยกตระกูลเซวียให้

เหมือนกับว่านางไม่สามารถจะยืนอยู่ได้ไม่มีตระกูลฉินเป็นเกราะ ตระกูลเซวียก็เหมือนกับถูกเปิดแผล และสุนัขป่านับไม่ถ้วนจะกระโจนขย้ำพวกเขากินจนไม่เหลือ

แต่หลังจากนั้นความโกรธที่อธิบายไม่ได้เต็มอยู่ในใจนาง แม้ว่าตระกูลเซวียจะอาศัยการป้องกันของตระกูลฉิน แต่พวกนางไม่ใช่ที่รองรับความพอใจของตระกูลฉิน  แต่จงเจิ้งเยียนเหม่ยทำกับพวกนางอย่างนี้

‘พวกเขาก็แค่รังแกเรา!’

หน้าของหมิงจูซีดขาว  แต่นางเชิดหน้าท่าทีไม่ยอมแพ้ปรากฏผ่านในดวงตานาง และนางกล่าว “ตระกูลเซวียไม่เคยเป็นของใช้ของใคร อนาคตของตระกูลเซวียจะถูกตัดสินโดยข้าเอง ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตคนอื่น”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลูหลิงหนานหายไป  เขาขมวดคิ้วและวางถ้วยชาลง  จากนั้นเขาพูดอย่างไม่แยแส  “ดูเหมือนว่าแม่นางหมิงจูยังคิดปฏิเสธเรา  ตระกูลเซวียไม่ใช่ภาชนะรองรับอารมณ์ใคร  แต่เมื่อไม่มีต้นไม้ใหญ่คุ้มครองตระกูลเซวียจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน?”

ปากเขาทำท่าเยาะเย้ย  เขาลุกขึ้นยืน “เราจะมาเยี่ยมอีกในอีกสองสามวัน ใครจะรู้กันว่าแม่นางหมิงจูอาจเปลี่ยนการตัดสินใจ?”

คนกลุ่มนั้นยืนขึ้นและจากไป

พลังทั้งหมดในร่างกายนางหายไป นางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ราวกับว่าสูญเสียวิญญาณ

หลังจากเดินออกมาจากบ้านตระกูลเซวียบริวารคนหนึ่งของหลูหลิงหนานถาม  “คุณชาย!  ตอนนี้เราจะเอายังไง?”

“พวกนางสำคัญตัวเองว่าเลิศเลอจริงๆเราควรจะทำให้ผู้หญิงที่ลืมตัวพวกนี้ตื่นขึ้น” แววตาชั่วร้ายปรากฏอยู่ในดวงตาของหลูหลิงหนาน  เขากล่าว “เมื่อไม่มีการปกป้องจากตระกูลฉินแล้วจะมีตระกูลเซวียได้ยังไง?  นอกจากนี้คลังสินค้าของตระกูลเซวียถูกขโมยไปบ่อย ตระกูลเซวียไม่มีความตั้งใจและจนใจจะแก้ปัญหาได้  เมื่อไม่มีความสามารถพวกเขายังกล้าปะทะกับเราหรือ?  เถี่ยเซีย! คืนนี้เจ้าไปเอาไหมทองจากเรือนคลังพวกนางมาครึ่งหนึ่ง”

เถี่ยเซียเป็นบุรุษร่างผอมอายุราวสี่สิบปีและมีสีหน้าชั่วร้าย

บริวารคนอื่นถาม  “เราควรจะวางเพลิงพวกนางด้วยไหม?”

“เมืองจื่อจวนมีมากกว่าตระกูลฉิน”  หลูหลิงหนานส่ายศีรษะ  “ถ้าเรากระทำเกินเลยไป  เราจะทำให้พวกเขากลัว  ผลที่ตามมาจะไม่เป็นการดี”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนอีกสองสามคนผงกศีรษะเห็นด้วย

เถี่ยเซียไม่พูดอะไรและหายไปในเงาราตรี

เถี่ยเซียเป็นเหมือนเงาลอบเข้าไปในเงามืดอย่างเงียบงัน และมาถึงกำแพงรอบนอกตระกูลเซวียโดยเร็ว ยามในบ้านตระกูลเซวียสุมหัวซุบซิบนินทาและไม่รู้สึกว่ามีคนผ่านพวกเขาไป  เถี่ยเซียพบตำแหน่งเรือนคลังโดยเร็วและไปตามผนัง  เขาก้าวเข้าไปเงียบๆ เหมือนกับเงา

ยามเฝ้าบ้านตระกูลเซวียไม่เอาไหนจริงๆ  พวกเขาอ่อนแอและคุณภาพแย่  เถี่ยเซียรู้ทันทีว่ายามไร้ความสามารถนี้อาจถูกตระกูลฉินทิ้งไว้อย่างจนงใจ ตระกูลฉินไม่มีแผนดึงตระกูลเซวียออกมาจากสภาพการณ์นี้  นี่แสดงว่าบ้านตระกูลเซวียต้องพึ่งพาพวกเขามากมายเพียงไหน

‘ตระกูลฉินไม่ดีพอจะพึ่งพาได้!’

เมื่อคิดเรื่องตระกูลฉินที่ยากจะหยั่งถึง  หัวใจเถี่ยเซียพลันเย็นยะเยือก

แต่แม้ว่าเหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้น เถี่ยเซียรู้สึกว่าเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขา  ด้วยการป้องกันในระยะแบบย่ำแย่นี้  เขาผ่านพวกยามมาได้อย่างสบาย

เขามาถึงด้านนอกคลังสินค้า

ประตูคลังสินค้าปิด  เขาแนบตัวกับกำแพง และตกใจทันที

‘มีคนกรนอยู่ข้างใน!’

จังหวะเสียงกรนดังสนั่นจนเขาได้ยินชัดเจนจากข้างนอกผนัง

ประกายเหยียดหยามวาบผ่านนัยน์ตา  ‘ตระกูลเซวียตกต่ำจริงๆ’ เมื่อเห็นพวกยามเอาแต่คุยกันเขารู้สึกเบื่อหน่าย  แต่ยามคุ้มกันคลังสินค้ากล้าหลับและกรนสนั่นนับว่าไม่เคยพบเจอเลยจริงๆ

เขาเงยหน้าและเห็นหน้าต่างบานหนึ่งและกลายเป็นร่างเงาอีกครั้งหนึ่ง แนบตัวกับผนัง เขาไต่ขึ้นไปอย่างเงียบและเหมือนกับของเหลวแปลกประหลาด  เขาผ่านรอยแยกหน้าต่างและซึมเข้าไปข้างใน

สินค้ามากมายกองพะเนินอยู่ในคลังสินค้าทำให้เถี่ยเซียรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งของตระกูลเซวีย

‘เนื้อชิ้นใหญ่ทั้งนั้น!’

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมคุณชายถึงได้จับตามองตระกูลเซวีย  ‘โชคดีที่คุณชายขอให้ข้าขโมยเพียงไหมทองมาครึ่งเดียว  มีของตั้งมากมายหลายอย่างต่อให้ข้าใส่จนเต็มรถเข็น ข้าคงต้องขนกันสองสามครั้งกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ

เสียงกรนดังเหมือนฟ้ากระหึ่ม  ยามในคลังสินค้าหลับเสียงดังสนั่น  เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนี่เอง

แววเหยียดหยามปรากฏอยู่ในสายตาของเถี่ยเซีย  เขาพบตำแหน่งของไหมทองโดยเร็วมันเคลื่อนย้ายได้ง่าย เนื่องจากไหมทองในคลังสินค้าหนักไม่เกิน 150 กิโลกรัมเถี่ยเซียคนเดียวก็ขนไปได้ง่ายๆ

‘แต่น่าเสียดายคุณชายขอให้ข้าขโมยเพียงครึ่งเดียว’

เขาเลียริมฝีปากและยื่นมือออกไปคว้าไหมทอง

ทันใดนั้นแขนของเขาติดอยู่กับที่ ทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นหนักเหมือนเหล็กและเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย

สำนึกกระบี่ยะเยือกระเบิดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตรึงเขาไว้กับที่  เขาสามารถรู้สึกได้ถึงรังสีที่แหลมคมกดลงบนต้นคอเขา  เขาถูกความตกครอบงำ  น่ากลัวมาก!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด