ตอนที่ 710 คนจากตระกูลหลู
หินเหล็กดำแข็งมากกว่าที่เขาคิดไว้แต่เมื่อรู้ความแข็งของกรวดเหล็กทองแล้ว ถังเทียนไม่ประหลาดใจเท่าใดนัก โชคดีที่หินเหล็กดำไม่แข็งจนยากเกินจะรับได้ไม่จำเป็นต้องใช้สายใยกฎอวกาศมาตัดมัน
ความต้องการสำหรับขนาดหินเหล็กดำร้ายมากและถังเทียนนึกย้อนถึงเวลาเมื่อเขาฝึกหมัดทลายน้อยโดยการบดกระแทกหิน ในเรื่องของการบดวัสดุหินหมัดทลายน้อยเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
‘ข้าไม่มีพลังเหลือมากนัก’
ถังเทียนสงบจิตใจและเพ่งสมาธิและค่อยๆ ระลึกนึกถึงวิชาหมัดทลายน้อย
หมัดทลายน้อยเป็นวิชาหมัดระดับค่อนข้างต่ำต้องใช้ปราณแท้กระตุ้นความสั่นสะเทือนความถี่สูง ปัจจุบันนี้ถังเทียนไม่มีปราณแท้อยู่ในตัวอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับหายไปสิ้นเชิง ร่างของเขาฝืนใช้ได้มากและสามารถเลียนแบบแรงสั่นสะเทือนนั้นได้
ถังเทียนไม่ทำอย่างนั้น การใช้กล้ามเนื้อของเขาเลียนแบบการสั่นสะเทือนสามารถทำได้ แต่ผลของมันต่ำมาก เขาไม่มีพลังเหลืออยู่มากนัก และถ้าเขาเลียนแบบพลังสั่นสะเทือน เขาก็คงบดหินเหล็กดำได้ไม่กี่ก้อน
เขาคิดถึงเรื่องกฎธรรมชาติ
เขาใช้กฎได้ถี่มากดังนั้นจึงคุ้นเคยกับกฎเหล่านั้นมากกว่า
ทันใดนั้นเขาคิดถึงหมัดที่ยังใช้ไม่สำเร็จนั้นทำให้ตาเขาเป็นประกาย ‘ทางเลือกที่ไม่เลว’ จากนั้นถังเทียนฝืนยิ้ม ตอนนี้ เขาไม่มีพลังเหลือมากเช่นกัน และไม่สามารถใช้หมัดให้สำเร็จอยู่ดี
ถังเทียนตบศีรษะตนเอง เมื่อคิดว่าตนเองช่างโง่ ‘ทำไมข้าต้องใช้หมัดสำเร็จด้วยเล่า? ข้าสามารถทดสอบหมัดที่ยังไม่สำเร็จได้มันไม่จำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งมาก’
ถังเทียนตัดสินใจลองดูและเตรียมใช้หมัดอย่างระมัดระวัง ขณะนั้นความคิดตอนแรกของเขาเปลี่ยนจากซับซ้อนเป็นเรียบง่ายใช้วิธีการย้อนกลับและควบแรงสั่นสะเทือนทั้งหมดในวิชาหมัดรวมเป็นหมัดเดียว
แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์แต่พลังของหมัดก็มีภาพสง่างามแล้ว ถังเทียนเชื่อว่าพลังของหมัดจะเหนือกว่าทุกหมัดที่เขาเคยเห็นแน่นอนรวมทั้งวิทยายุทธและวิชาจิตวิญญาณทั้งหมด
เมื่อคิดดูแล้วถังเทียนตระหนักได้ทันทีว่ารูปอนุมานนับไม่ถ้วนทั้งหมดได้กลับเข้ามาในตัวเขาเหมือนกับกระแสน้ำหลาก
ถังเทียนไม่ตื่นเต้น เมื่อยืนยันเส้นทางแล้ว เขาไม่มีถอยหลัง เมื่อตอนอยู่ในช่วงการฝึกกับปิง เขาได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาดังกล่าว เขาไม่สนใจเรื่องหินเหล็กดำและนั่งขัดสมาธิเริ่มสร้างแผนผังในใจ
วิชาหมัดมวยมีรูปแบบต่างๆกันและทุกรูปแบบมีเครื่องหมาย จากง่ายไปหายาก จากเล็กไปใหญ่ ถังเทียนเลือกรูปแบบใหญ่ออกมาจากนับพัน และซึมซับเข้าในวิชามวยของเขา
ครั้งสุดท้ายเมื่อถังเทียนอยู่ในสภาวะรู้แจ้งรูปแบบนับพันเหล่านี้ปรากฏออกมาเหมือนไฟกระพริบและเงาซึ่งผุดผ่านเข้ามาในหัวใจเขาอย่างง่ายดาย แต่ปัจจุบันนี้เขากำลังอนุมานช้าๆและกลายเป็นหนักยากลำบากมาก
พลังของถังเทียนเหลือน้อยแล้วในตอนนี้ หลังจากคิดอย่างหนักเขายิ่งเหนื่อยมากขึ้น และหลับไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ในห้องประชุมแม้ว่าจะดึกแล้ว แต่มีแสงเผาไหม้อย่างงดงาม บรรยากาศตึงเครียดด้วยสภาพที่เป็นปฏิปักษ์กัน
“แม่นางหมิงจู เป็นยังไงบ้าง?” หลูหลิงหนานยิ้ม เขาชื่นชมลักษณะของหมิงจูตรงๆดวงตาของเขามีแววหลงใหล เขาได้ยินความงามของตระกูลเซวียมานานแล้ว และพวกนางก็ใช้ชีวิตอยู่โดยชื่อตระกูลของพวกนาง
สมาชิกตระกูลหลูคนอื่นมีสีหน้าหยิ่งยโสกันทุกคนหน้าของพวกเขาแสดงความรังเกียจ
“ความจริงติดตามตระกูลหลูของข้ายังจะดีกว่าตามตระกูลฉินนะ” หลูหลิงหนานพูดเล่นลิ้น “ประมุขตระกูลบอกไว้แล้วว่าตราบใดตระกูลเซวียยอมเปลี่ยนความภักดีก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษเหมือนอย่างคำที่กล่าวไว้ว่าภายใต้ร่มไม้ใหญ่ย่อมมีความอุดมสมบูรณ์ ตระกูลหลูก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ เราสามารถป้องกันลมและฝนให้ตระกูลเซวียได้ พวกเจ้าทุกคนจำเป็นต้องให้อาหารหนอนไหมของเจ้าอย่างสงบ ส่วนเรื่องอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจชีวิตจะสงบสุขแค่ไหน”
เหล่าสตรีที่อยู่หลังหมิงจูมีท่าทีอึดอัดกันทุกคน พวกนางไม่เคยคิดว่าตระกูลหลูคิดจะฮุบตระกูลเซวียไปเป็นของพวกเขาเอง และพวกนางทุกคนมองดูคนของหลูหลิงหนานอย่างไม่พอใจ
สีหน้าของหมิงจูเย็นชาและตอบอย่างเย็นชา“ตระกูลหลูเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่โชคไม่ดีที่เป็นสิ่งที่ไม่ทำให้ตระกูลเซวียของข้าสบายใจได้ ถ้าตระกูลหลูต้องการซื้อสินค้าของเราจะต้องคิดตามราคาตลอดสำหรับเรื่องอื่น ข้าขอให้ท่านเก็บไว้ให้ตัวเองเถอะ”
“ฮ่าฮ่า นั่นเป็นการบอกว่าแม่นางหมิงจูไม่ยินยอมตาม เห็นแก่เรื่องส่วนตัวก็คงเป็นเรื่องจริง” รอยยิ้มยังปรากฏบนใบหน้าของเขา หลูหลิงหนานพูดอย่างสบาย “เหตุผลที่เราอยู่ที่นี่มาคุยกับแม่นางหมิงจูเป็นเพราะให้เกียรติแม่นางหมิงจู ไม่อย่างนั้นด้วยพลังของตระกูลหลูถ้าต้องการอะไรสักอย่าง เราจะเอาไม่ได้เชียวหรือ?”
ในที่สุดหน้าของหมิงจูก็เปลี่ยนและนางตอบเย็นชา “คุณชายหลูดีใจเกินไปจนลืมไปว่าเราอยู่ในเมืองจื่อจวนไม่ใช่เมืองม้าบิน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลูหลิงหนานกว้างขึ้นเหมือนกับเล่นเกมแมวจับหนู เขายกแก้วชาและจิบ “ใช่,นี่คือเมืองจื่อจวน เมืองจื่อจวนของตระกูลฉิน แต่แม่นางหมิงจูคิดถึงความจริงที่ว่าข้ามายังบ้านตระกูลเซวีย แต่ก็ไม่มีใครจากตระกูลฉินอยู่ที่นี่เลยจริงไหม?”
ร่างหมิงจูโงนเงนเล็กน้อย หน้าของนางซีดขาวไม่ใช่แต่เพียงนางเท่านั้น เสี่ยวเหยาที่อยู่ข้างหลังนางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป สำหรับตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งเข้ามาในเมืองจื่อจวน ตระกูลฉินจะต้องระวังมาก แต่กระทั่งถึงตอนนี้แล้วไม่มีสมาชิกจากตระกูลฉินปรากฏตัว
“ดูเหมือนว่าแม่นางหมิงจูไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” หลูหลิงหนานถอนหายใจ จากนั้นดึงจดหมายออกมาจากอกของเขาเขาสะบัดมือร่อนจดหมายให้หมิงจู “ทำไมถึงไม่ดูนี่ก่อนแล้วค่อยพูด”
หมิงจูเห็นคำว่า“ถึงแม่นางหมิงจู” เขียนอยู่บนกระดาษ นางสั่นไปทั้งตัว หน้าของนางไม่มีสีเลือด นางคุ้นเคยกับลายมือดี นี่เขียนโดยสี่ขุนพลตระกูลฉิน จงเจิ้งเยียนเหม่ย เขาจัดการกิจการภายในตระกูลฉินและมีความสัมพันธ์กับตระกูลเซวียอยู่บ่อยครั้ง
หมิงจูเปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นเทา
ในจดหมาย ถ้อยคำที่จงเจิ้งเยียนเหม่ยเขียนดูเป็นกันเองมาก แต่กลับมีร่องรอยความสง่าเปิดเผยจงเจิ้งเยียนเหม่ยกล่าวว่า ตระกูลฉินและตระกูลหลูเป็นพันธมิตรสนิทกันที่สุดและความเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองฝ่ายจะส่งผลในอนาคตของเมืองจื่อจวนและเมืองม้าบิน เขาบอกเป็นนัยว่าการร่วมกับตระกูลหลูจะช่วยให้ตระกูลเซวียก้าวหน้าได้ และหวังว่าตระกูลเซวียจะยอมเห็นแก่ภาพรวมและย้ายไปเมืองม้าบิน ของขวัญของตระกูลเซวียจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งสำหรับการเป็นพันธมิตร สุดท้ายนี้ ถ้าตระกูลเซวียพบกับปัญหาใดๆในอนาคต พวกเขาสามารถมาหาตระกูลฉินได้ ตระกูลฉินจะช่วยพวกเขาอย่างดีที่สุด
ความสิ้นหวังสุดจะพรรณนาท่วมทับใจของหมิงจู นางไม่เคยคิดว่าตระกูลฉินจะยกตระกูลเซวียให้
เหมือนกับว่านางไม่สามารถจะยืนอยู่ได้ไม่มีตระกูลฉินเป็นเกราะ ตระกูลเซวียก็เหมือนกับถูกเปิดแผล และสุนัขป่านับไม่ถ้วนจะกระโจนขย้ำพวกเขากินจนไม่เหลือ
แต่หลังจากนั้นความโกรธที่อธิบายไม่ได้เต็มอยู่ในใจนาง แม้ว่าตระกูลเซวียจะอาศัยการป้องกันของตระกูลฉิน แต่พวกนางไม่ใช่ที่รองรับความพอใจของตระกูลฉิน แต่จงเจิ้งเยียนเหม่ยทำกับพวกนางอย่างนี้
‘พวกเขาก็แค่รังแกเรา!’
หน้าของหมิงจูซีดขาว แต่นางเชิดหน้าท่าทีไม่ยอมแพ้ปรากฏผ่านในดวงตานาง และนางกล่าว “ตระกูลเซวียไม่เคยเป็นของใช้ของใคร อนาคตของตระกูลเซวียจะถูกตัดสินโดยข้าเอง ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตคนอื่น”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลูหลิงหนานหายไป เขาขมวดคิ้วและวางถ้วยชาลง จากนั้นเขาพูดอย่างไม่แยแส “ดูเหมือนว่าแม่นางหมิงจูยังคิดปฏิเสธเรา ตระกูลเซวียไม่ใช่ภาชนะรองรับอารมณ์ใคร แต่เมื่อไม่มีต้นไม้ใหญ่คุ้มครองตระกูลเซวียจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน?”
ปากเขาทำท่าเยาะเย้ย เขาลุกขึ้นยืน “เราจะมาเยี่ยมอีกในอีกสองสามวัน ใครจะรู้กันว่าแม่นางหมิงจูอาจเปลี่ยนการตัดสินใจ?”
คนกลุ่มนั้นยืนขึ้นและจากไป
พลังทั้งหมดในร่างกายนางหายไป นางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ราวกับว่าสูญเสียวิญญาณ
หลังจากเดินออกมาจากบ้านตระกูลเซวียบริวารคนหนึ่งของหลูหลิงหนานถาม “คุณชาย! ตอนนี้เราจะเอายังไง?”
“พวกนางสำคัญตัวเองว่าเลิศเลอจริงๆเราควรจะทำให้ผู้หญิงที่ลืมตัวพวกนี้ตื่นขึ้น” แววตาชั่วร้ายปรากฏอยู่ในดวงตาของหลูหลิงหนาน เขากล่าว “เมื่อไม่มีการปกป้องจากตระกูลฉินแล้วจะมีตระกูลเซวียได้ยังไง? นอกจากนี้คลังสินค้าของตระกูลเซวียถูกขโมยไปบ่อย ตระกูลเซวียไม่มีความตั้งใจและจนใจจะแก้ปัญหาได้ เมื่อไม่มีความสามารถพวกเขายังกล้าปะทะกับเราหรือ? เถี่ยเซีย! คืนนี้เจ้าไปเอาไหมทองจากเรือนคลังพวกนางมาครึ่งหนึ่ง”
เถี่ยเซียเป็นบุรุษร่างผอมอายุราวสี่สิบปีและมีสีหน้าชั่วร้าย
บริวารคนอื่นถาม “เราควรจะวางเพลิงพวกนางด้วยไหม?”
“เมืองจื่อจวนมีมากกว่าตระกูลฉิน” หลูหลิงหนานส่ายศีรษะ “ถ้าเรากระทำเกินเลยไป เราจะทำให้พวกเขากลัว ผลที่ตามมาจะไม่เป็นการดี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนอีกสองสามคนผงกศีรษะเห็นด้วย
เถี่ยเซียไม่พูดอะไรและหายไปในเงาราตรี
เถี่ยเซียเป็นเหมือนเงาลอบเข้าไปในเงามืดอย่างเงียบงัน และมาถึงกำแพงรอบนอกตระกูลเซวียโดยเร็ว ยามในบ้านตระกูลเซวียสุมหัวซุบซิบนินทาและไม่รู้สึกว่ามีคนผ่านพวกเขาไป เถี่ยเซียพบตำแหน่งเรือนคลังโดยเร็วและไปตามผนัง เขาก้าวเข้าไปเงียบๆ เหมือนกับเงา
ยามเฝ้าบ้านตระกูลเซวียไม่เอาไหนจริงๆ พวกเขาอ่อนแอและคุณภาพแย่ เถี่ยเซียรู้ทันทีว่ายามไร้ความสามารถนี้อาจถูกตระกูลฉินทิ้งไว้อย่างจนงใจ ตระกูลฉินไม่มีแผนดึงตระกูลเซวียออกมาจากสภาพการณ์นี้ นี่แสดงว่าบ้านตระกูลเซวียต้องพึ่งพาพวกเขามากมายเพียงไหน
‘ตระกูลฉินไม่ดีพอจะพึ่งพาได้!’
เมื่อคิดเรื่องตระกูลฉินที่ยากจะหยั่งถึง หัวใจเถี่ยเซียพลันเย็นยะเยือก
แต่แม้ว่าเหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้น เถี่ยเซียรู้สึกว่าเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขา ด้วยการป้องกันในระยะแบบย่ำแย่นี้ เขาผ่านพวกยามมาได้อย่างสบาย
เขามาถึงด้านนอกคลังสินค้า
ประตูคลังสินค้าปิด เขาแนบตัวกับกำแพง และตกใจทันที
‘มีคนกรนอยู่ข้างใน!’
จังหวะเสียงกรนดังสนั่นจนเขาได้ยินชัดเจนจากข้างนอกผนัง
ประกายเหยียดหยามวาบผ่านนัยน์ตา ‘ตระกูลเซวียตกต่ำจริงๆ’ เมื่อเห็นพวกยามเอาแต่คุยกันเขารู้สึกเบื่อหน่าย แต่ยามคุ้มกันคลังสินค้ากล้าหลับและกรนสนั่นนับว่าไม่เคยพบเจอเลยจริงๆ
เขาเงยหน้าและเห็นหน้าต่างบานหนึ่งและกลายเป็นร่างเงาอีกครั้งหนึ่ง แนบตัวกับผนัง เขาไต่ขึ้นไปอย่างเงียบและเหมือนกับของเหลวแปลกประหลาด เขาผ่านรอยแยกหน้าต่างและซึมเข้าไปข้างใน
สินค้ามากมายกองพะเนินอยู่ในคลังสินค้าทำให้เถี่ยเซียรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งของตระกูลเซวีย
‘เนื้อชิ้นใหญ่ทั้งนั้น!’
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมคุณชายถึงได้จับตามองตระกูลเซวีย ‘โชคดีที่คุณชายขอให้ข้าขโมยเพียงไหมทองมาครึ่งเดียว มีของตั้งมากมายหลายอย่างต่อให้ข้าใส่จนเต็มรถเข็น ข้าคงต้องขนกันสองสามครั้งกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ
เสียงกรนดังเหมือนฟ้ากระหึ่ม ยามในคลังสินค้าหลับเสียงดังสนั่น เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนี่เอง
แววเหยียดหยามปรากฏอยู่ในสายตาของเถี่ยเซีย เขาพบตำแหน่งของไหมทองโดยเร็วมันเคลื่อนย้ายได้ง่าย เนื่องจากไหมทองในคลังสินค้าหนักไม่เกิน 150 กิโลกรัมเถี่ยเซียคนเดียวก็ขนไปได้ง่ายๆ
‘แต่น่าเสียดายคุณชายขอให้ข้าขโมยเพียงครึ่งเดียว’
เขาเลียริมฝีปากและยื่นมือออกไปคว้าไหมทอง
ทันใดนั้นแขนของเขาติดอยู่กับที่ ทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นหนักเหมือนเหล็กและเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย
สำนึกกระบี่ยะเยือกระเบิดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตรึงเขาไว้กับที่ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงรังสีที่แหลมคมกดลงบนต้นคอเขา เขาถูกความตกครอบงำ น่ากลัวมาก!