ตอนที่ 20-6 สมบัติจอมเทพ
“ท่านพ่อ!” ลินลี่ย์เดินเข้าไปในห้อง
ฮ็อกกำลังนั่งอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นลินลี่ย์เขาอดยิ้มให้มิได้ “ลินลี่ย์! พ่อได้ยินว่าเจ้าปิดประตูฝึกฝนอยู่ อะไรกัน หรือว่าเจ้าบรรลุระดับใหม่แล้ว?”
“ถูกแล้ว” ลินลี่ย์พยักหน้าจากนั้นนั่งลงข้างๆ “ท่านพ่อ! อีกสองวันข้าตั้งใจจะไปที่โลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อเยี่ยมคารวะประมุขมหาเทพแห่งแสง ข้าอยากดูว่ายังจะมีความหวังว่าจะหาท่านแม่เจอและช่วยให้นางได้รับอิสระ”
“หือ?” มือของฮ็อกสั่น หนังสือร่วงลงบนโต๊ะขณะที่เขาตะลึงมองลินลี่ย์ “ลินลี่ย์, ลูกจะไปดินแดนแห่งแสงหรือ? แต่...ครั้งก่อน เจ้าบอกพ่อว่าในสงครามมหาพิภพเจ้าฆ่าสมาชิกตระกูลออกุสตาไม่ใช่หรือ? ประมุขมหาเทพแห่งแสงเป็นบรรพบุรุษของตระกูลออกุสตาไม่ใช่หรือ?ถ้าเจ้าไปจะอันตรายมาก” ฮ็อกลนลานพูด
ฮ็อกรู้เรื่องที่ลินลี่ย์ประสบพบเจอมาในช่วงเวลาหลายปี
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ประมุขมหาเทพแห่งแสงมีลูก 182 คน และนั่นเป็นแค่รุ่นที่สอง ส่วนคนที่ข้าฆ่าเป็นสมาชิกรุ่นที่สาม ตระกูลออกุสตามีสมาชิกรุ่นที่สองและรุ่นที่สามรวมมากกว่าพันคน ประมุขมหาเทพแห่งแสงไม่สนใจเรื่องนั้น” ลินลี่ย์มั่นใจเรื่องเช่นนี้
ถ้าประมุขมหาเทพแห่งแสงถือสาเรื่องนี้รีสเจมคงไม่กล้ารวมกลุ่มโจมตีแน่
“แต่เขายังเป็นมหาเทพคนหนึ่ง เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะฆ่าเจ้าได้” ฮ็อกกังวลมาก
“จริงๆ แล้วเพราะเขาเป็นมหาเทพตนหนึ่ง เขาคงไม่ลดตัวมาฆ่าข้า” ลินลี่ย์พูดอย่างสบายใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านพ่อ! ประมุขมหาเทพแห่งแสงและข้าไม่ได้มีความแค้นเคืองต่อกัน ถ้าเขาต้องการฆ่าข้า เขามีวิธีการมากมายที่จะทำเช่นนั้น แต่เขากลับไม่ได้ลงมืออะไร!”
“ก็เจ้าบอกว่าไม่มีความหวังไม่ใช่หรือ?” ฮ็อกถาม
“ข้าบอกว่ามีโอกาสต่ำมาก” ลินลี่ย์ฝืนหัวเราะ “แต่ถ้าข้าไม่พยายามดูเป็นอย่างน้อยข้าก็ไม่อาจแน่ใจได้ ถ้าข้าลองดูแล้วข้าอาจจะทำได้สำเร็จ มหาเทพปรารถนาจะได้พารากอนไปเป็นทูตของพวกเขา บางทีด้วยสถานะของข้าอาจจะมีเศษเสี้ยวของโอกาสที่จะทำให้ประมุขมหาเทพแห่งแสงคืนอิสรภาพให้ท่านแม่ข้าก็ได้”
“เศษเสี้ยวของโอกาส...” ฮ็อกพยักหน้าเล็กน้อย
ฮ็อกมองดูลินลี่ย์ จากนั้นพูดอย่างเคร่งขรึม “ลินลี่ย์! เจ้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เจ้ามีความคิดเป็นของตนเองในเรื่องที่เจ้าจะทำ... แต่ในฐานะพ่อพ่อต้องเตือนลูกไว้ว่าถ้าเรื่องนี้จะเป็นอันตราย เจ้าไม่ต้องไปเป็นดีที่สุด! พ่อไม่ค่อยรู้มากนักเกี่ยวกับมหาเทพกับเทพพารากอนดังนั้นยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้น พ่อจะให้ลูกตัดสินใจเอง แต่ต้องปลอดภัยไว้ก่อน เจ้ากับวอร์ตัน...ลูกทั้งสองคนสำคัญต่อพ่อพอๆ กับแม่ของเจ้า”
“เข้าใจแล้ว” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลินลี่ย์รู้สึก..เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ขณะที่ฟังบิดาสั่งเขา
การตัดสินใจของลินลี่ย์ทราบไปถึงกัซลีสันในวันถัดมา
ภายในห้องโถง
“ว่าไงนะ?” กัซลีสันเพิ่งจะนั่งลงถึงพรวดพราดลุกขึ้นยืน “ลินลี่ย์, เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปโลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อเยี่ยมคารวะประมุขมหาเทพแห่งแสง?”
“ถูกแล้ว” ลินลี่ย์หัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้าเพียงแค่มาบอกให้ท่านได้รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของข้าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีและบางทีอาจมากถึงร้อยปี ทั้งหมดที่ข้าทำได้ คือไปขอร้องประมุขมหาเทพแห่งแสง”
กัซลีสันลังเลจากนั้นกล่าว “ลินลี่ย์! เกี่ยวกับเรื่องที่ข้ารู้จากบิดาข้าในอดีต ประมุขมหาเทพแห่งแสงไม่ใช่คนที่น่าคบนัก ประมุขมหาเทพแห่งแสงหยิ่งยโสเป็นที่สุดและบ้าอำนาจอย่างมาก ถ้าเจ้าไปขอร้องเขา...โอกาสประสบความสำเร็จมีต่ำมาก นอกจากนี้ข้ายังห่วงว่าถ้าเจ้าพูดผิดหูเขาคำเดียว เขาจะฆ่าเจ้าได้”
“หยิ่งยโสและบ้าอำนาจ?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
กัซลีสันพยักหน้า “ถูกแล้ว พิภพนับไม่ถ้วนของจักรวาลมีมหาเทพรวมเจ็ดสิบเจ็ด คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือประมุขมหาเทพแห่งสี่วิถี! ขณะที่อีกเจ็ดสายธาตุ ประมุขมหาเทพแห่งแสงแข็งแกร่งที่สุด”
ลินลี่ย์เข้าใจ ประมุขมหาเทพสี่วิถีย่อมทรงพลังแน่นอน
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าบรรดาประมุขมหาเทพของเจ็ดกฎธาตุ ประมุขมหาเทพแห่งแสงจะแข็งแกร่งที่สุด
“ทำไมประมุขมหาเทพแห่งแสงถึงได้ทรงพลังมากกว่าประมุขมหาเทพของธาตุอื่น?” ลินลี่ย์ถามด้วยความสงสัย
กัซลีสันเป็นบุตรของมหาเทพมังกรฟ้า เขาจึงรู้ความลับมากมาย เขาหัวเราะและกล่าว “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสมบัติบางอย่าง...สมบัติจอมเทพ!”
“สมบัติจอมเทพ?” ตาของลินลี่ย์ทอประกายวูบ
เพียงแค่คำเดียวลินลี่ย์ก็เข้าใจว่ามีความหมายถึงอะไร สมบัติเทพ สมบัติมหาเทพ สมบัติจอมเทพ! เห็นได้ชัดว่าสมบัติมีสามระดับ
“สมบัติจอมเทพเป็นจอมเทพที่สร้างขึ้นมาเอง! เพราะมีจอมเทพอยู่เพียงสี่คือ,จอมเทพชะตา, จอมเทพทำลายล้าง, จอมเทพมรณะ, และจอมเทพชีวิต สมบัติจอมเทพก็มีสี่อย่างเหมือนกัน มหาเทพที่ทรงพลังที่สุดในสี่วิถีก็คือประมุขมหาเทพทำลายล้าง, มรณะ,ชะตาและชีวิต พวกเขาทุกคนล้วนมีสมบัติจอมเทพ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเป็นประมุขมหาเทพที่ทรงพลังที่สุด!”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
มิน่าเล่าประมุขจอมเทพทั้งสี่นั้นถึงได้ทรงพลังมากมาย อย่างนั้นก็เป็นเพราะพวกเขามีสมบัติจอมเทพ
“ประมุขมหาเทพทั้งสิบเอ็ด..ห้าคนในนั้นมีสมบัติจอมเทพ นอกจากประมุขมหาเทพที่ข้าเพิ่งพูดไปแล้วนั้นคนสุดท้ายก็คือประมุขมหาเทพแห่งแสง! แม้ว่าประมุขมหาเทพแห่งแสงจะมีสมบัติจอมเทพแต่ก็ยังไม่เข้ากันกับเขาเท่าใดนัก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้พลังของมันได้เต็มที่ฉะนั้นเขาจึงอ่อนแอกว่าประมุขมหาเทพของสี่วิถี แต่ยังทรงพลังมากกว่าประมุขมหาเทพอีกหกกฎธรรมชาติ!”
ลินลี่ย์ลอบถอนหายใจ
พลังของสมบัติของจอมเทพต้องถือว่ามหาศาลเลยทีเดียว มีจอมเทพอยู่เพียงสี่ตั้งแต่แรกเริ่ม และพวกเขาเป็นตัวตนของวิถีๆ ต่างแต่แรกเริ่ม จึงเป็นธรรมดาที่ประมุขมหาเทพแห่งแสงไม่เหมาะกับสมบัติจอมเทพ และเป็นเหตุผลประการเดียวที่ทำให้เขาอ่อนแอกว่าประมุขมหาเทพของสี่วิถี
“สมบัติจอมเทพ... ของเหล่านี้ได้มาจากไหนกัน และห้าประมุขมหาเทพเหล่านี้ได้รับมายังไง?” ลินลี่ย์ถาม
“ข้าไม่แน่ใจ” กัซลีสันส่ายศีรษะ “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แม้แต่ท่านพ่อข้าและมหาเทพอีกสามคนก็ยังไม่ทราบรายละเอียดต่างไปจากข้า ประมุขมหาเทพแห่งแสงมีความหยิ่งยโสและถืออำนาจ แต่เขามีพลังพอที่จะเป็นคนถืออำนาจได้ ที่สำคัญเขามีสมบัติจอมเทพ!”
“สมบัติจอมเทพ...” ลินลี่ย์ถอนหายใจ “เป็นไปได้ไหมว่าแม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีสมบัติจอมเทพชิ้นที่สองขึ้นอีก?”
“ไม่, ถ้ามีสักชิ้น ประมุขมหาเทพและมหาเทพคงไม่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันหรอกหรือ? ประมุขมหาเทพแห่งแสงก็มีอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ประมุขมหาเทพแห่งสายธาตุอื่นอีกหกคนไม่มี ข้าคาดคิดว่าในใจพวกเขาประมุขมหาเทพอีกหกคนนั้นคงรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าพวกเขามีโอกาสจะได้รับสักชิ้น พวกเขาจะยอมแพ้หรือ?” กัซลีสันหัวเราะขณะพูด
ลินลี่ย์ก็อดหัวเราะบ้างไม่ได้ “ข้าสงสัยว่าสมบัติจอมเทพจะดูคล้ายอะไร บางทีข้าอาจจะไม่รู้จักต่อให้ข้าเห็นก็ตาม”
“สมบัติจอมเทพ? มีแต่คนระดับมหาเทพเท่านั้นถึงจะใช้มันได้ ไม่มีประโยชน์สำหรับเราถึงจะได้รับมาก็ตาม ความจริงการได้รับสมบัติจอมเทพมีแต่จะดึงดูดหายนะมาหาพวกเราเอง” กัซลีสันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องสมบัติจอมเทพพอแค่นี้ก่อนเถอะ นั่นเป็นเรื่องไกลตัว, ลินลี่ย์! เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการไปพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าขอเตือนว่าเจ้าไม่ควรไป ความจริงควรจะพูดว่า อย่าไปเลย!”
ลินลี่ย์หัวเราะ “เขาอาจจะทรงพลังก็จริงแต่เขาก็เป็นมหาเทพคนหนึ่ง เขาจะลดตัวเองมาลงมือกับข้าหรือ?”
กัซลีสันถอนหายใจเบาๆ จากนั้นพูดผ่านสำนึกเทพทันที “ลินลี่ย์! ข้าจะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง”
ลินลี่ย์ตะลึง!
ทั้งสองคุยกันในห้องโถง แต่กัซลีสันต้องใช้สำนึกเทพคุยหรือ? หรือว่าเป็นความลับยิ่งใหญ่?
“ท่านประมุข มีความลับอะไรหรือ?” ลินลี่ย์สงสัย
“ลินลี่ย์” สีหน้าของกัซลีสันเคร่งขรึม “ข้าสงสัยเรื่องบางอย่างมาโดยตลอดเกี่ยวกับความตายของบรรพบุรุษตระกูลเราทั้งสี่คน!”
“สงสัยบางอย่าง?” ลินลี่ย์ไม่เข้าใจ
“ข้าสงสัยว่า... ฆาตกรจะเป็นประมุขมหาเทพแห่งแสง!” กัซลีสันบอก
ลินลี่ย์ตกใจอย่างหนัก กัซลีสันยังคงพูดผ่านสำนึกเทพ “แม้ว่าบรรพบุรุษทั้งสี่ของตระกูลเราจะเป็นมหาเทพน้อย แต่ทักษะเทพธรรมของพวกท่านแข็งแกร่ง ทักษะเทพธรรมชาติทั้งสี่อย่างของพวกเขาผสานกันเป็นหนึ่งได้จริงๆ ด้วยทักษะเทพธรรมชาติทั้งสี่รูปแบบสามารถหลอมรวมกันได้ดีส่งผลให้สร้างสุดยอดไม้ตายที่ร้ายกาจ แม้แต่มหาเทพชั้นสูงอย่างประมุขมหาเทพก็ยังต้องวิตกกังวลอย่างหนัก”
ผสานทักษะเทพธรรมชาติทั้งสี่ให้เป็นหนึ่งเดียว?
ลินลี่ย์รู้ว่าทักษะเทพธรรมชาติของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างจะไม่ธรรมดา แต่ไม่มีทางเข้าใจว่าจะมีประสิทธิภาพยังไงเมื่อถูกใช้โดยบรรพบุรุษทั้งสี่ มีสิ่งเดียวที่เขารู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะต้องทรงพลังมากกว่าเมื่อลินลี่ย์และสหายศึกของเขาใช้ ที่สำคัญลินลี่ย์และสหายศึกคนอื่นเป็นแค่ผู้มีสายเลือดอสูรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น พวกเขาไม่ใช่อสูรศักดิ์สิทธิ์โดยตรง
“ท่านบอกว่า...ท่านสงสัยว่าฆาตกรคือประมุขมหาเทพแห่งแสงหรือ? ทำไมถึงเป็นเขาไปได้?” ลินลี่ย์ถาม
“ก่อนอื่นเลยมีน้อยคนมากที่สามารถฆ่าบรรพบุรุษทั้งสี่ได้! ประมุขมหาเทพของสี่วิถี..ประมุขมหาเทพวิถีชะตาก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการทางโลก ประมุขมหาเทพวิถีทำลายล้างมีข้อตกลงที่ดีกับบรรพบุรุษของเรา ประมุขมหาเทพวิถีมรณะ..ตราบเท่าที่ไม่มีใครล่วงเกินนางนางจะไม่ทำอะไรพวกเขา ประมุขมหาเทพวิถีชีวิตต้องบอกว่ามีเมตตากรุณาและยากที่จะฆ่าคนได้อย่าว่าแต่มหาเทพด้วยกัน นอกจากนี้บรรพบุรุษของเราทั้งสี่คนไม่มีความขัดแย้งหรือล่วงเกินประมุขมหาเทพแห่งชีวิต ดังนั้นคนเดียวที่เหลือก็คือประมุขมหาเทพแห่งแสง” กัซลีสันคุยทางใจ
ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
“ประมุขมหาเทพแห่งแสงมีสมบัติจอมเทพ เขามีพลังพอต่อต้านการผนึกพลังการใช้ทักษะเทพธรรมชาติของบรรพบุรุษทั้งสี่” ตาของกัซลีสันแฝงไปด้วยแววโกรธแค้นและเกลียดชัง แม้ว่าจะมีประมุขมหาเทพสิบเอ็ดคนเนื่องจากอีกหกคนไม่มีสมบัติจอมเทพ จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะฆ่าบรรพบุรุษทั้งสี่ได้เมื่อพวกเขาผนึกกำลังต่อสู้
“เขาขัดแย้งกับสี่บรรพบุรุษของเราหรือ?” ลินลี่ย์ถามในใจ
“ไม่ใช่ความขัดแย้งที่สำคัญอะไร แต่..ตอนนั้นตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์เราแพร่กระจายอยู่ในพิภพจักรวาลเราทรงพลังอย่างมาก และมีคนมากมายที่เชื่อว่าตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในพิภพจักรวาล แต่ตระกูลออกุสตา..ก็มีหลายคนที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ถ้าจะมีความขัดแย้งสักอย่าง..ข้าคิดว่าก็คงเป็นเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง” กัซลีสันไม่พบเจอเหตุอื่น
ที่สำคัญบรรพบุรุษทั้งสี่ไม่ได้กระทำการเกินเลยจนล่วงเกินประมุขมหาเทพแห่งแสง
“สู้กันเพื่อชิงตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่ง? นั่นไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น” ลินลี่ย์ไม่อาจเชื่อได้ “การต่อสู้เพื่อชื่อเสียงของตระกูลอันดับหนึ่งประมุขมหาเทพแห่งแสงถึงกับต้องฆ่าบรรพบุรุษของเราเพราะเรื่องแค่นั้นหรือ? ดูไม่สมเหตุผลเสียเลย”
“ข้า..ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเต็มที่ แต่พูดตามเหตุผลพื้นฐานมีทางเป็นไปได้ว่าจะเป็นเขา” กัซลีสันก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าเหตุผลของเขาไม่ค่อยน่าเชื่อถือ “ลินลี่ย์ ถ้าเขาเป็นคนฆ่าบรรพบุรุษจริงๆ อย่างนั้นเขาก็มีความรู้สึกที่เป็นอันตรายต่อตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ฆ่าเราเพราะเขาไม่ให้ความสนใจเรา แต่ตอนนี้พอเจ้าเป็นเทพพารากอนไปแล้ว..ข้าเกรงว่าเขาจะ..”
“ท่านประมุข! เขาอาจจะเป็นฆาตกรก็ได้ แต่เขาอาจจะไม่ใช่ก็ได้” ลินลี่ย์ตอบ “นอกจากนี้ท่านบอกว่า ประมุขมหาเทพคงไม่สามารถฆ่าบรรพบุรุษทั้งสี่ได้เมื่อพวกเขาผนึกกำลังกันสู้ แต่จะเป็นยังไงถ้าพวกเขาถูกฆ่าทีละคน? ถ้าบางคนตั้งใจจะฆ่าพวกเขาจริงๆ เป็นไปได้ว่าพวกเขาคงไม่ให้บรรพบุรุษทั้งสี่มีโอกาสผนึกกำลังกันแน่”
กัซลีสันสะดุ้ง เขาส่งสำนึกเทพต่อ “บรรพบุรุษทั้งสี่ใกล้ชิดสนิทกันมากพวกท่านยากจะแยกจากกันได้”
“ยากจะแยกจากกันได้หรือ นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกท่านจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา” ลินลี่ย์ตอบ “ไม่ต้องห่วง ท่านประมุข แม้ว่าประมุขมหาเทพแห่งแสงจะเป็นฆาตกรก็ตามแต่เขาจะลงมือกับข้าที่เป็นเทพธรรมดาหรือ? แม้ว่าเขาจะกังวลก็ตาม แต่เขาคงไม่กังวลห่วงข้าที่เป็นเทพพารากอน ที่สำคัญเทพพารากอนยังเป็นแค่ระดับเทพ”
“กัซลีสันได้ยินเช่นนั้นได้แต่ฝืนหัวเราะ ”ลินลี่ย์! ดูเหมือนว่าเจ้าตัดสินใจจะไปแน่นอนสินะ”
“ถูกแล้ว ถ้าข้าไม่เดินทาง ข้าคงไม่วางใจได้” ลินลี่ย์พยักหน้า
ที่สำคัญที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับมารดาของเขา!
ทั้งเขาและวอร์ตันต้องการจะพบกับมารดาผู้ให้กำเนิดพวกเขา! ขณะที่บิดาของเขา เขามักจะคิดมารดาของเขาอยู่เสมอ
“ถ้าเจ้าต้องการจะไป อย่างน้อยเจ้าควรบอกให้ลอร์ดเบรุตทราบก่อน ลอร์ดเบรุตสนิทกับมหาเทพบลัดริจและเขารู้เรื่องราวหลายอย่าง คงเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าหากจะถามเงื่อนไขจากเขา” กัซลีสันไม่ต้องการให้ลินลี่ย์ไป แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวใจลินลี่ย์ได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือฝากความหวังไว้กับเบรุต
ลินลี่ย์เมื่อได้ยินเช่นนี้ต้องยอมรับว่านี่เป็นความคิดที่ดี
“ถ้าอย่างนั้นท่านประมุข! โปรดช่วยข้าด้วยข้ารู้ว่าตระกูลเราน่าจะมีวิธีการสื่อสารกับลอร์ดเบรุตใช่ไหม?” ลินลี่ย์หัวเราะ
“ได้สิ ในอดีตที่ผ่านมาร่างแยกของข้าอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตามตอนนี้ช่วงเวลาวิกฤติผ่านไปแล้ว ร่างแยกของข้ากลับมาแล้วแต่เรายังมีหน่วยข่าวกรองประจำอยู่ที่นั่น” กัซลีสันพยักหน้า “ข้าจะช่วยจัดการให้ ข้าคิดว่าอีกไม่นานท่านเบรุตคงตอบกลับมา”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่อาจให้เบรุตเข้าใจผิดได้
“อย่างนั้นตอนนี้ข้าขอกลับไปก่อน” ลินลี่ย์หัวเราะ เขาตั้งใจจะจากไปตอนเช้า
“ท่านประมุข” ขณะนั้นเองทหารจากข้างนอกวิ่งผ่านประตูเข้ามา
ลินลี่ย์และกัซลีสันหันไปมอง ทหารแสดงความเคารพจากนั้นรายงาน “ท่านประมุข, ผู้อาวุโสลินลี่ย์ มีคนมาเพื่อขอพบผู้อาวุโสลินลี่ย์” กัซลีสันขมวดคิ้ว “อาคันตุกะธรรมดาก็ให้เขาไปซะ” มีหลายคนที่ต้องการพบกับลินลี่ย์
ลินลี่ย์ไม่พบกับยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการ แต่กัซลีสันจะรับหน้าไว้
อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่อ่อนแอเกินไปพวกเขาปฏิเสธไม่ให้คนภายนอกเข้าภูเขา
“แต่ท่านประมุข คนผู้นี้บอกว่าเขาเป็นสหายเก่าของผู้อาวุโสลินลี่ย์ เขาชื่อโอลิเวอร์!” ทหารนั้นรีบบอก
“โอลิเวอร์?” ลินลี่ย์ค่อนข้างประหลาดใจ “มาเถอะ ข้าจะไปกับเจ้า”