ตอนที่ 20-5 ปฏิเสธ
คำพูดของกัซลีสันนับว่าถูกต้อง ความจริงทั่วทั้งเผ่าตระกูลล้วนดีใจกันทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่สมาชิกระดับสูงของเผ่าตระกูลเท่านั้น แม้แต่สมาชิกทั่วไปจำนวนมากที่อยู่ในเทือกเขาสกายไรท์ก็พากันรวมตัวกันหลายๆ ที่ดื่มคุยและสนุกสนานรื่นเริง เพราะตระกูลได้สร้างสุดยอดฝีมือเช่นนั้นได้เป็นเรื่องที่ทำให้ชาวเผ่าตระกูลรู้สึกภาคภูมิใจ!
เมื่อสมัยที่บรรพบุรุษทั้งสี่ยังมีชีวิตอยู่ และตระกูลอยู่ในสภาพเจริญรุ่งเรือง
หลังจากที่พวกเขาตายไป ตระกูลตกต่ำจนถึงขั้นถูกแปดตระกูลใหญ่มาดูถูกดูหมิ่นจนถึงภูเขาสกายไรท์ นี่คือความอัปยศ! นี่ทำให้สมาชิกของเผ่าที่ผ่านประสบการณ์ยุครุ่งเรืองรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจพวกเขา
การโดดเด่นขึ้นมาอย่างฉับพลันของลินลี่ย์ทำให้ชาวเผ่าตระกูลเหล่านี้รู้สึกหยิ่งภูมิใจมากขึ้น
เป็นการฉลองที่สุดเหวี่ยง แม้แต่ทหารลาดตระเวนก็ยังดื่มเหล้าฉลองไปด้วย มีเทพพารากอนอยู่ในเผ่าตระกูล ทหารลาดตระเวนไม่ต้องกังวลใจ จะไม่มีใครกล้ามาสร้างความลำบากให้กับตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์
พอถึงยามดึก พระจันทร์สีม่วงลอยเด่นอยู่ในท้องฟ้า
เทือกเขาสกายไรท์ ภายในภูเขาที่ปกครองโดยเผ่ามังกรฟ้า มีที่ดินผืนใหญ่ทอดตัวยาวและมีสิ่งก่อสร้างที่นี่ ในแง่ของขนาด ยังมีขนาดใหญ่กว่าที่พำนักของประมุขเผ่า ดูเหมือนว่าดูเรียบง่ายเมื่อมองจากระยะไกล แต่ถ้าใครดูให้ดีๆ เขาจะมองเห็นว่าแม้แต่กำแพงก็ปกคลุมไปด้วยภาพแกะสลัก จากสายตาของลินลี่ย์ เขาสามารถบอกได้ทันทีว่างานแกะสลักเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นฝีมือของประติมากรระดับปรมาจารย์
และในยามนี้...
ด้านหน้าคฤหาสน์มีคนยืนอยู่สองคน คือลินลี่ย์กับกัซลีสัน
ลินลี่ย์อดมองดูกัซลีสันที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ เขารำพึงกับตนเอง “ท่านประมุขเตรียมการหลายอย่างไว้ให้ข้ามากมายนัก”
“ท่านประมุข, จะให้ข้าพำนักอยู่ที่นี่หรือ?” ลินลี่ย์ถาม
“ลินลี่ย์” กัซลีสันหัวเราะ “ตอนนี้เจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว! เมื่อคนภายนอกพูดคุยถึงตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ คนแรกที่พวกเขาคิดถึงก็คือเจ้า ที่พำนักของเจ้าจะต้องสมกับสถานะของเจ้า นอกจากนี้สถานที่นี้กว้างใหญ่มากพอ และเจ้าก็มีครอบครัวและสหายมาก นั่นถึงจะพอ”
ลินลี่ย์อดพยักหน้าไม่ได้
ขนาดของคฤหาสน์นี้พอๆ กับปราสาทเลือดมังกรของทวีปยูลาน ต่อให้มีพันคนก็จุได้เพียงพอ อย่าว่าแต่ร้อยกว่าคน
“งั้นข้าขอรับไว้” ลินลี่ย์ค่อนข้างตรงไปตรงมา
กัซลีสันหัวเราะและพยักหน้า “พรุ่งนี้เจ้า เจ้าสามารถย้ายครอบครัวและสหายของพวกเจ้ามาที่นี่ได้เลย” วอร์ตันและคนอื่นตอนนี้พำนักอยู่ในหุบเขาใหญ่แล้ว ฮ็อกไปเยี่ยมคารวะบรรพบุรุษตระกูลบาลุค สำหรับฮ็อกกับวอร์ตัน การได้พบกับบรรพบุรุษของตระกูลเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“ข้าไม่รีบ” ลินลี่ย์กล่าว “สมาชิกครอบครัวของข้าต้องการจะใช้เวลากับบรรพบุรุษสาขายูลาน”
“ก็สมควรแล้ว” กัซลีสันหัวเราะและพยักหน้า “ลินลี่ย์..ดูนี่” ขณะที่พูดกัซลีสันดึงขวดหยกน้อยมาถือไว้ในมือของเขา
ขวดหยกนี้มีปากขวดเล็ก โดยทั่วไปใช้เก็บของที่สำคัญอย่างเช่นมุกวิญญาณทองที่กลั่นแล้ว หรือยาเม็ดอื่น
“นี่คือ...?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว “พลังมหาเทพ?”
“ใช่แล้ว พลังมหาเทพธาตุดิน” กัซลีสันหัวเราะ “ลินลี่ย์! ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกมาทางกฎธาตุดินเป็นหลัก ดังนั้นคงจะดีกว่า ที่จะให้เจ้าได้ใช้พลังมหาเทพธาตุดิน นั่นคือเหตุผลที่เราเตรียมสิ่งนี้ให้เจ้า! เจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลเรา เป็นธรรมดาที่เจ้าสมควรใช้พลังมหาเทพที่เหมาะสมที่สุด”
แม้ว่าขวดหยกน้อยบรรจุพลังมหาเทพยังมีปริมาณที่ห่างไกลเมื่อเทียบกับที่รีสเจมให้ลินลี่ย์มาทั้งกระติก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีอย่างน้อยเป็นพันหยดอยู่ในนี้
“ท่านประมุข” ลินลี่ย์ไม่รับ แต่กลับส่ายศีรษะ “ขวดหยกนี้บรรจุพลังมหาเทพไว้มากเกินไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษทั้งสี่ของเราตายไป ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราก็สูญเสียแหล่งพลังมหาเทพ แต่ละหยดที่ใช้ไปนั้นจะหมดสิ้นไปตลอดกาล ดีที่สุดคือท่านเก็บเอาไว้ให้ผู้อาวุโสอื่นได้ใช้เถอะ”
ลินลี่ย์รู้ว่าเนื่องจากพลังของเขาเอง แม้ว่าเขาจะใช้พลังมหาเทพวิถีทำลายล้าง ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวพวกพารากอนทั้งหลาย และในร่างมังกรแปลงก็ยังได้เปรียบเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า...”
กัซลีสันหัวเราะ “ลินลี่ย์, เจ้ากังวลมากเกินไปแล้ว ในอดีตตระกูลของเราต้องประหยัดพลังมหาเทพไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราถูกกดดันจากแปดตระกูลใหญ่อย่างหนัก เราจึงใช้พลังมหาเทพหมดไปอย่างรวดเร็วมาก การสู้แต่ละครั้งเป็นการสูญเสียหยดพลังมหาเทพ และโดยทั่วไป เราจะมีส่วนร่วมในการสู้รบหลายสิบครั้งก่อนจึงจะสามารถฆ่าผู้อาวุโสฝ่ายศัตรูได้ เพราะพลังมหาเทพถูกนำมาใช้เร็วเกินไป ทางตระกูลจึงไม่กล้าส่งมอบให้พลังมหาเทพอย่างง่ายๆ ที่สำคัญเวลานั้นเราไม่รู้ว่าอนาคตตระกูลจะเป็นเช่นไร ดังนั้นเราจึงต้องประหยัดมากขึ้น”
“แต่ตอนนี้ ลินลี่ย์ เจ้าเป็นเทพพารากอนแล้ว ใครจะกล้ามาล่วงเกินตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์?” เสียงหัวเราะของกัซลีสันมีความสุขมาก
ลินลี่ย์ได้ยินเช่นนี้ก็ผ่อนปรนตามกัซลีสัน
ความจริงด้วยพลังระดับเขาแล้ว มีน้อยคนนักที่จะตาบอดเข้ามายั่วยุตระกูลของเขา คงมีไม่หลายสถานการณ์นักที่ตระกูลต้องถึงกับใช้พลังมหาเทพมากมาย
“รับไปเถอะลินลี่ย์” กัซลีสันย้ำ
ลินลี่ย์ลังเลเล็กน้อย
“งั้นเอาอย่างนี้!” ลินลี่ย์พลิกมือควบคุมพลังเทพธาตุดินของเขาดึงแก่นธาตุดินที่อยู่ใกล้มารวมกันและสร้างเป็นขวดบรรจุเล็กๆ ในมือของเขา ลินลี่ย์ชี้นิ้วข้างหนึ่ง และทันใดนั้นสายน้ำสีดำปรากฏในฝ่ามือของลินลี่ย์ไหลเข้าไปในขวดสีดำ
น้ำสีดำนี้ก็คือพลังมหาเทพวิถีทำลายล้าง
ความจริงลินลี่ย์มีพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างอยู่เป็นปริมาณมาก
ขณะต่อมา ขวดเต็มไปด้วยพลังมหาเทพ ขวดนี้จุได้ขนาดหนึ่งในสิบของปริมาณพลังมหาเทพที่เก็บไว้ในกระติก
“เจ้า..หมายความว่ายังไง?” กัซลีสันจ้องมอง
“ท่านประมุข เราแลกเปลี่ยนขวดพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างของข้ากับขวดหยดพลังมหาเทพสายธาตุดินของท่าน” ลินลี่ย์หัวเราะและยื่นขวดเล็กสีดำ
ถ้าตระกูลมีพลังมหาเทพมากมาย ลินลี่ย์คงจะยอมรับไว้ แต่ตระกูลไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าขวดพลังมหาเทพนั้นแทบจะเป็นของส่วนใหญ่ที่ตระกูลมีอยู่
“ลินลี่ย์” กัซลีสันรีบกล่าว “นี่..ไม่สามารถรับไว้ได้ เจ้า..”
“รับไว้เถอะ ไม่อย่างนั้นข้าก็รับของท่านไว้ไม่ได้เหมือนกัน” ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ
กัซลีสันได้แต่หัวเราะอย่างจนใจและพยักหน้า “ก็ได้” เขารับขวดพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างไว้ ขณะที่ลินลี่ย์รับพลังมหาเทพสายธาตุดิน เท่าที่ลินลี่ย์กังวล เขามีพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างอยู่มาก แต่ด้วยพลังของเขา มีกรณีน้อยมากที่เขาต้องใช้มัน การแลกเปลี่ยนหยดพลังมหาเทพสายธาตุดินจะเป็นประโยชน์กับเขา
เวลาผ่านไป พริบตาเดียวผ่านไปสิบปีนับแต่ลินลี่ย์กลับมาที่ตระกูล
ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ถึงทัศนคติของชาวเผ่าตระกูล รวมทั้งประมุขเผ่าได้เปลี่ยนไป ลินลี่ย์เข้าใจว่า..หลังจากกลายเป็นเทพพารากอนแล้ว เขากลายเป็นผู้นำจิตวิญญาณของทั้งตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว สถานะของเขาตอนนี้คล้ายกับเทพสงครามในจักรวรรดิโอเบรียน หรือมหาพรตในจักรวรรดิยูลาน
คฤหาสน์ที่ลินลี่ย์พำนักอาศัยอยู่กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าตระกูล
ภายในสนามหญ้ากว้างขวางของคฤหาสน์ มีคนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ ลินลี่ย์ เรย์โนลด์ เยลและจอร์จนั่งล้อมวงดื่มเหล้าและพูดคุยกันเรื่องต่างๆ แต่แน่นอนว่าเป็นร่างแยกธาตุน้ำของลินลี่ย์ที่มาสังสรรพูดคุยกับพวกเขา ส่วนร่างแยกอื่นรวมทั้งร่างหลักกำลังฝึกฝนกันทั้งหมด
ยังคงเป็นร่างหลักของลินลี่ย์ที่ฝึกฝนได้เร็วที่สุด
“ผู้อาวุโสลินลี่ย์” ทหารเฝ้าประตูวิ่งเข้ามาคำนับ
“หืม?” ลินลี่ย์มองดูเขา
“ผู้อาวุโสลินลี่ย์ ประมุขเผ่าส่งข้อความาบอกว่าเจ้าแคว้นจากทวีปเจดโฟลทต้องการจะพบกับท่านผู้อาวุโส” ทหารประจำตระกูลคำนับขณะที่พูด
ลินลี่ย์หัวเราะและพยักหน้าอย่างเยือกเย็น จากนั้นกวาดสำนึกเทพไปทั่วภูเขาสกายไรท์ นี่รวมทั้งกัซลีสันและเจ้าแคว้นผู้นั้นไว้ด้วย “ท่านประมุข ช่วยบอกท่านเจ้าแคว้นไปว่าตอนนี้ข้ากำลังฝึก ยังไม่สามารถไปต้อนรับอาคันตุกะคนใดได้ เว้นแต่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น โปรดช่วยข้ารับหน้าพวกเขาด้วย”
กัซลีสันสะดุ้ง
ความจริงเขาไม่รู้สึกถึงสำนึกเทพของลินลี่ย์แม้แต่น้อย เขาได้แต่ถอนหายใจ “เทพพารากอนมีพลังเหลือเชื่อจริงๆ แค่พลังจิตของพวกเขาก็สูงล้ำข้าไปมาก” กัซลีสันเข้าใจอารมณ์ของลินลี่ย์เช่นกัน ลินลี่ย์ไม่ต้องการถูกรบกวนจากการพบปะสังสรรค์แบบนี้ ซึ่งนั่นเป็นวัตถุประสงค์ของคนที่พยายามผูกมิตรกับเขา
“ก็ได้, ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับพวกเขา” กัซลีสันตอบ “อย่างนั้นในอนาคต เว้นแต่มีเรื่องสำคัญ เจ้าจะไม่พบกับคนเหล่านี้ใช่ไหม?”
“ถูกแล้ว” ลินลี่ย์ตอบทางใจ “นอกจากคนที่ข้าคุ้นเคย อย่างเช่นรีสเจม ถ้าข้าไม่คุ้นเคยกับพวกเขาและไม่เคยติดต่อกับพวกเขา นอกจากจะเป็นเรื่องสำคัญ ข้าคงไม่พบกับใครอื่น”
การตัดสินใจของลินลี่ย์ฉลาดมาก เพราะหลังจากการมาถึงของเจ้าแคว้นจากทวีปเจดโฟลทนี้ ทุกๆ สองสามเดือนหรือทุกสองสามปี ก็จะมีคนมาเยี่ยม บางคนก็ต้องการผูกมิตรกับลินลี่ย์ ขณะที่คนอื่นๆ ต้องการขอให้ลินลี่ย์ช่วยพวกเขาด้วยเรื่องบางอย่าง ทั้งยังมีคนอื่นต้องการให้ลินลี่ย์เป็นอาจารย์พวกเขาก็มี
ในช่วงเวลาสั้นๆ มีหลายคนที่มารบกวนเขา
โชคดีที่ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์หยุดพวกเขาไว้ ทำให้พวกเขาไม่ได้พบลินลี่ย์
ความจริงเป็นเรื่องปกติที่คนมากคนจะมาพบลินลี่ย์ ที่สำคัญ เทพพารากอนไม่ค่อยเปิดเผยที่อยู่ของพวกเขา เป็นเรื่องยากที่ใครๆ จะไปหาเทพพารากอนได้ถูก
ภายคฤหาสน์
“ลุง!” ไอน่ามองดูลินลี่ย์ด้วยความประหลาดใจ “เมื่อครู่ก่อน คนที่ต้องการมาพบท่านใช้วิธีส่งจดหมายนี้ให้ท่าน และความจริงจดหมายนี้ระบุถึงความอยุติธรรมที่กระทำต่อเขา และเขาเป็นคนน่าสงสารมากจริงๆ ท่านลุง ทำไมท่านไม่เมตตาช่วยเหลือเขา?”
ลินลี่ย์อดหัวเราะขณะชำเลืองมองไอน่ามิได้
“นาน่า” บีบีจ้องมองลูกสาวของตนเอง “ใครจะไปรู้ว่าคนมีบุญคุณความแค้นมากมายอยู่ในแดนนรกมากขนาดไหน? เจ้าต้องการให้ลุงเจ้าไปช่วยใครสักคน แต่กับคนอื่นๆ เล่า? ในแดนนรก มีผู้คนถูกเข่นฆ่าทุกขณะทุกวัน เจ้าคิดว่าทุกคนตายอย่างสมควรไหม? พวกเขาก็ตายอย่างไม่เป็นธรรมเช่นกัน เจ้าต้องการให้ลุงเจ้าไปตามกำจัดศัตรูของเขาทั่วแดนนรก และชำระความแค้นให้กับทุกคนที่ตายหรือ?”
ไอน่าตะลึง
ไอน่ากับเวดอาศัยอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของลินลี่ย์และบีบี ดังนั้นพวกเขาแทบจะไม่เคยได้รับความทุกข์ยากลำบาก พวกเขาไม่เหมือนลินลี่ย์ที่ผ่านความเป็นความตายมาได้จนถึงระดับปัจจุบัน พวกเขารู้แต่เพียงเรื่องราวของโลกแบบง่ายๆ
“ถ้าข้าต้องช่วยคนที่ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่สหาย อย่างนั้นก็ต้องมีร่างแยกเป็นล้านล้าน” ลินลี่ย์หัวเราะ
ไอน่าแค่นเสียงและย่นจมูกอย่างน่ารัก
“ลืมเรื่องของคนอื่นๆ ไปเถอะ ยังมีเรื่องส่วนตัวหลายเรื่องที่ข้ายังจัดการได้ไม่ดีนักเช่นกัน” ลินลี่ย์ส่ายศีรษะและถอนหายใจ
“เอ๊ะ?” ไอน่ามองดูลินลี่ย์ด้วยความสงสัย
ลินลี่ย์หัวเราะเบาๆ ไม่พูดถึงรายละเอียด
แม้วาหลายวันมานี้ลินลี่ย์จะมีความสงบและมีความสุข แต่เขาสังเกตอาการของฮ็อกบิดาของเขาจะเหม่อมองพื้นที่อย่างว่างเปล่าเมื่อเขาอยู่คนเดียว ลินลี่ย์เข้าใจว่าบิดาของเขาคิดถึงมารดา ลินลี่ย์มักจะคิดด้วยตนเองว่า..สักวัน เขาควรไปเยี่ยมพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์ขอให้ประมุขมหาเทพแห่งแสงให้คืนอิสรภาพแก่มารดาของเขา
เวลาผ่านไป และในพริบตา ผ่านไปอีกร้อยปี
มีคนมากมายมารวมกันในคฤหาสน์ของลินลี่ย์
“จู่ๆ น้องสามปิดขังตัวเองอยู่ข้างในสองสามวันที่แล้ว ร่างแยกทั้งหมดของเขากำลังฝึกฝน เขาพูดว่าเขาจะถึงระดับสำคัญ แต่ชั่วเวลาการรู้แจ้งควรจะเกิดได้เร็ว ทำไมเขาจึงยังไม่ออกมา?” เรย์โนลด์อดชำเลืองมองทางเดินไม่ได้ จอร์จแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น “จะต้องรีบทำไม? ตอนนี้เจ้ามีชีวิตอมตะแล้ว”
เรย์โนลด์ได้ยินคำนี้อดหัวเราะไม่ได้
ความจริงเทพผู้ที่เวลาทำอะไรไม่ได้ จะสิบปีหรือร้อยปีก็ไม่มีอะไรต่างกัน
“เอ, น้องสามกำลังออกมาหรือ?” เยลกล่าว
เรย์โนลด์และคนอื่นทุกคนหันไปมอง แม้แต่บางคนที่กำลังคุยกัน บางก็หยอกหัวเราะกันในสนาม บางคนที่อยู่ไกลออกไปสังเกตว่าร่างหนึ่งเดินออกมาตามทางเดิน ผมยาวสีน้ำตาลของเขาสยายไม่ได้มัดไว้ เป็นลินลี่ย์ ลินลี่ย์อารมณ์ดีในวันนี้ “ข้าฝึกมาร้อยปี ในที่สุดข้าก็หลอมรวมเคล็ดลึกลับทั้งสองนี้ได้”
เป็นเรื่องยากเหลือเกินกับการหลอมรวมเคล็ดลึกลับต่างสายธาตุกัน
หลังจากที่วิญญาณกลายสภาพ วิญญาณของเขามีพลังเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล และเขายังต้องใช้เวลาหลายปีก่อนจะบรรลุได้จริงๆ
“และนี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้น ต่อไปข้าจะหลอมรวมพลังสามชนิด และเวลาอีกมากมายที่ข้าต้องใช้ไป ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เป้าหมายของข้าก็คือสี่เคล็ด” ลินลี่ย์กระตือรือร้นมากเช่นกัน ถ้าเขาสามารถหลอมรวมเคล็ดความรู้ลึกลับจากกฎต่างๆ จะกลายเป็นผู้ทรงพลังได้ขนาดไหน? มีแนวโน้มว่าเขาจะสามารถฆ่าได้กระทั่งพารากอน
“พี่ใหญ่” บีบีวิ่งเข้าไปหา
“ท่านพ่อข้าล่ะ?” ลินลี่ย์กล่าว
“ลุงอยู่ในห้อง วันนี่ข้ายังไม่เห็นเขาเลย” บีบีพูด
“ได้ ข้าจะไปหาพ่อ” ลินลี่ย์มองดูคนอื่น จากนั้นเคลื่อนไปที่พักอยู่บิดาเขา “หลังจากเขาฝึกเสร็จแล้ว ความคิดแรกของลินลี่ย์คือได้เวลาไปพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์ ”ไม่ว่าข้าจะประสบความสำเร็จได้ หรือไม่อย่างน้อยข้าจะไปพบกับหัวหน้ามหาเทพแห่งแสงเพื่อลองขอเขาดู”