SN-ตอนที่ 43 เดธลอร์ด
อัลดิช พยุงตัวเองขึ้นมาก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทึ่คุ้นเคยและบิดเบี้ยวในทิศทางอื่น จากนั้นสภาพแวดล้อมโดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างพร่ามัว และ เขาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่ห้องใต้ดินที่ทรุดโทรมของ แฟลร์กาน อีกต่อไป
ตอนนี้ อัลลดิช พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางห้องบัลลังก์ที่สง่างามและยิ่งใหญ่ ทว่าก็ยังมีร่องรอยของความเสื่อมโทรมตามกาลเวลา
ภายในห้องบัลลังก์นี้มีเสาสูงตระหง่านทั้งหมด 20 คู่
ซึ่งบนเสาแต่ละต้นก็มีรูปปั้น อัศวิน และ นักเวทย์ ถูกแกะสลักเอาไว้อย่างวิจิตรงดงาม แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนสวมใส่เกราะหรือเสื้อคลุมลายหัวกระโหลก เห็นได้ชัดว่า คนเหล่านี้เป็นผู้ฝึกฝนศาสตร์มืด
ห้องบัลลังก์นี้มีขนาดใหญ่มาก มันใหญ่พอที่จะใส่สนามฟุตบอล 2 สนาม เข้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
และที่ปลายสุดในระยะไกลก็คือบัลลังก์ มันเป็นบัลลังก์กระดูก ที่รวบรวมกระดูกทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ มอนสเตอร์ มังกร - หากเป็นสัตว์ที่มีชีวิต กระดูกของพวกมันล้วนถูกนำมารวมตัวกันเพื่อหลอมกลายเป็นบัลลังก์กระดูก
“นายท่าน บนบัลลังก์นั่น หรือว่าจะเป็น เจ้าแห่งความตาย?” วาเลร่า ได้จ้องมองไปที่บนบัลลังก์กระดูกและกล่าวถาม อัลดิช
เมื่อ อัลดิช ได้ยิน เขาก็พบว่า อันเดด ทั้งหมดของเขา ได้ถูกส่งมาที่นี่พร้อมกับเขา
“ถูกต้อง” อัลดิช พยักหน้ายอมรับ “นั่นคือ เจ้าแห่งความตาย หรือว่า เดธลอร์ด ไม่ผิดแน่ แต่นี่มันดูอันตรายและแตกต่างออกไป”
อัลดิช พูดเช่นนี้ เพราะรู้สึกว่า เจ้าแห่งความตายนี้ ดูเหมือนจะมีสตินึกคิดเช่นเดียวกัน และ ถ้ามันคิดเองได้ พลังมหาศาลที่มันมี ไม่เพียงแต่จะมีสถานะในเลเวล 100 เท่านั้น แต่ ความแข็งแกร่งของมัน จะนับเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดเท่าที่ อัลดิช คิดได้
มันอันตรายกว่า เซ็ท โซลาร์ เป็นอย่างมาก
ไม่ ลืมมันไปซะ แม้แต่ตัวตน ฮีโร่ 10 อันดับแรกทั่วโลก ก็ยังดูไม่อันตรายเท่านี้เลยมั้ง
“อันตรายกว่า?” วาเลร่า พิงโล่ของเธออย่างอ่อนแรง เนื่องจากเธอได้รับความเสียหายอย่างหนักก่อนหน้านี้ “นายท่าน ตอนนี้พวกเรายังอ่อนแอเกินไป พวกเราเพิ่งได้รับชัยชนะจากบททดสอบแรกมาเท่านั้น หาก ต้องเผชิญหน้ากับ เจ้าแห่งความตาย ในตอนนี้ เกรงว่าพวกเราจะพบจุดจบอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ตอนนี้พวกเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งความตายได้แล้ว—” แฟลร์กาน รู้สึกตัวสั่นและสั่นศีรษะ “ผู้อาวุโส ข้าจะรีดเค้นพลังออกมาให้มากที่สุด แม้ว่าพลังที่ว่านี้จะช่างดูน้อยนิดเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งความตายที่แท้จริงก็ตาม”
“สัตว์ประหลาดสวมเกราะนั่นทำให้ฉันรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก เพียงแค่จ้องมองก็ราวกับว่าฉันเป็นมดที่เผชิญหน้ากับภูเขาสูงชันขนาดใหญ่” แม้แต่ ไดนาไมท์เกิร์ล ก็ยังหวาดกลัว
“คึก…นี่มันบ้าอะไรกัน!?” ฟิสก์ กล่าวพูดด้วยความตื่นตระหนก
“เคะ…” ส่วน กีสต์ ได้ซ่อนตัวด้านหลัง วาเลร่า และ ไดนาไมท์เกิร์ลราวกับเด็ก แม้ว่าตัวมันจะใหญ่และมีกล้ามมาก แต่ต่อหน้าตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของจริงมันจึงเป็นเพียงตัวตนที่ดูไร้สาระเท่านั้น
ส่วน อัลดิช ยังคงนิ่งเงียบ และ เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ในเควสบททดสอบที่ 12 สำหรับ คลาสเนโครแมนเซอร์มันเป็นเควสสุดท้ายและภารกิจที่ยากที่สุด เนโครแมนเซอร์จะต้องเลเวล 100 เท่านั้นถึงจะท้าทายได้ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ต้องต่อสู้กับปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วย ฮีโร่ 8 คน ซึ่ง ฮีโร่ เหล่านี้ก็มาจากรายชื่อเพื่อน AI ที่สามารถนำมารวมกันได้ และ ฮีโร่ทุกคนก็มีเลเวล 70 เป็นอย่างน้อย
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดจะต้องเผชิญหน้ากับ เดธลอร์ด และ กองทัพของมัน
ตามตำนาน เควสบททดสอบสุดท้ายมีไว้เพื่อให้ ผู้เล่นเนโครแมนเซอร์พยายามเอาชนะเดธลอร์ดและแย่งชิงอำนาจพลังของมันมา และ กำจัด 1 ใน เทพเจ้าชั่วร้ายที่สนับสนุน ฮาวลิ่งดาร์ก การเอาชนะ เดธลอร์ด ทำลาย ลิช ภายใต้การควบคุมของมัน คือการกำจัดกองทัพสุดท้ายของ ฮาวลิ่งดาร์ก ออกเป็นส่วนนึง
แน่นอนว่าสำหรับ อัลดิช ในตอนนี้ เป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขา
“ยินดีต้อนรับสู่ที่พักของข้า เดธวอล์กเกอร์!” น้ำเสียงของ เดธลอร์ด ได้ดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน
มันได้ยืนขึ้นพร้อมกับเสียงโลหะที่กระทบกันดังกึกก้อง
ดูเหมือนว่ามันจะเป็น อัศวินที่มีร่างกายใหญ่โตสูงกว่า 3 เมตร สวมเกราะสีเทาเข้มที่มีหนามแหลม และ หมวกที่ดูน่าสะพรึงกลัว ชุดเกราะของ เดธลอร์ด ดูเหมือนจะค่อนข้างกลวง เพราะภายในได้เผยให้เห็นพลังงานสีเขียวออกมา ซึ่งเป็นพลังงานประเภทเดียวกับ อัลดิช
ส่วนลำตัวของชุดเกราะก็มีรูปร่างเหมือนกับซี่โครงเหล็กคู่นึง และ ใคร ๆ ก็สามารถมองผ่านช่องว่างของซี่โครงเหล็กเหล่านั้นได้
จากนั้น เดธลอร์ด ก็กระโดดลงมาจากบนบัลลังก์ เพียงการกระโดดครั้งเดียว มันก็มาปรากฏตัวตรงหน้าของ อัลดิช ในทันที
“เดธวอล์คเกอร์ รู้สึกอย่างไร ที่ได้ยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าแห่งความตายที่แท้จริง!” เดธลอร์ด ได้พูดขณะที่จ้องมองไปที่ อัลดิช
“เดิมฉันก็สงสัยว่านายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” อัลดิช พึมพัมออกมาโดยไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย “เพราะครั้งสุดท้ายที่ฉันจำได้ ฉันได้ทุบตีนายและดูดกลืนวิญญาณของนายไป”
“ฮ่าฮ่า ข้าจำเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี!” เดธลอร์ด ได้ตอบกลับ “แต่ข้าได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้แข็งแกร่งกว่าที่เคย ส่วนเจ้า กลับอ่อนแอลง และไม่สามารถเทียบได้กับตอนที่เจ้ามาที่นี่ในตอนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น กองทัพอันเดดของเจ้า สหายของเจ้า และ ฮีโร่เหล่านั้น”
เดธลอร์ดมองไปที่ อัลดิช และ กองทัพของเขาอย่างรู้สึกสมเพช
“นี่คือกองทัพที่เจ้านำมาท้าทายข้างั้นรึไม่ น่าสมเพช?”
เดธลอร์ด ไม่ได้แยแสกองทัพของอัลดิช เลยแม้แต่น้อย มันได้กอดอกอย่างภาคภูมิใจ
“เจ้ากล้าเรียก นายท่านของข้าว่า น่าสมเพช งั้นหรือไม่? เจ้ามันก็แค่ผีที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนของตัวเองเท่านั้น!” วาเลร่า ได้ตะโกนออกมา
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเจ้า อัศวินสาว ที่รู้แต่วิธีการปล่อยหมัดเท่านั้น!” เดธลอร์ด หันไปมอง วาเลร่า เล็กน้อย
“ว่าไงนะเจ้าเดรัจฉานนี่!” วาเลร่า ได้ตะโกนออกมา “ใครจะไปเหมือนเจ้า พวกคลั่งไคล้เกราะหนักเช่นนั้น!”
“หืม ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมไปว่าตัวเองก็สวมเกราะหนักเหมือนกัน” เดธลอร์ด ได้ยักไหล่ และ ชี้ไปที่ชุดเกราะของ วาเลร่า
“ที่เดธลอร์ดกล่าวมาก็ถูกต้อง” แฟลร์กาน พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ในเวลานี้ ไดนาไมท์เกิร์ล ได้ฟาดศีรษะของ แฟลร์กาน อย่างรุนแรง “นายลืมไปแล้วหรือยังไงว่าอยู่ฝั่งใครกันแน่!?”
“อึก!” แฟลร์กาน ได้ลูบศีรษะของตัวเองและจ้องมองไปที่ ไดนาไมท์เกิร์ล และ วาเลร่า “ดูเหมือนว่ายุคของผู้หญิงที่เรียบร้อยและอ่อนโยนจะหมดไปแล้ว”
แฟลร์กานได้บ่นพึมพัมออกมาราวกับชายแก่
“เงียบให้หมด” อัลดิช ได้กล่าวพูดขึ้นในเวลานี้
“เห้อ ข้าเองก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ภายใต้ชุดเกราะนี้ตลอดเวลาเสียด้วย” เดธลอร์ดได้เคาะเกาะที่อกเล็กน้อย
ทันใดนั้น ชุดเกราะเหล็กขนาดใหญ่ของมันก็เปล่งแสงสีเขียวก่อนที่จะสลายหายไป และ เหลือเพียง ลูกแก้วพลังงานสีเขียวที่เรืองแสงภายในชุดเกราะ
จากนั้นลูกแก้วทรงกลมก็ควบแน่นกลายเป็นเงา ทว่ามันกลับไม่ใช่ร่างของผู้ชายที่มีกล้ามโตแต่เป็นผู้หญิง
มันได้กลายเป็นผู้หญิงที่มีส่วนสูงพอ ๆ กับ อัลดิช พร้อมกับยืนเอามือเท้าสะโพกชุดอาภรณ์สีเขียวที่พลิ้วไหว อีกทั้งยังมี เสื้อโค้ทขนสัตว์สีเทาขอบเขียวที่เป็นประกาย และ กระโปรงที่สั้นจนเผยให้เห็นเรียวขาที่มีสีซีด
เดธลอร์ด ได้เสยผมให้ปลิวไสวไปด้านหลังเล็กน้อย และ จ้องมองไปที่ อัลดิช ด้วย นัยน์ตาสีเขียวที่เปล่งประกายราวกับอสรพิษ และยังมี เขามังกรที่งอกออกมาจากศีรษะของเธอที่ทำให้เธอดูองอาจเป็นอย่างมาก
“เป็นไง หลังจากเห็นร่างที่แท้จริงของข้า อึ้งไปเลยใช่มั้ย? เพราะครั้งล่าสุดที่เราพบกัน เทพธิดาอามีร่าทำให้ข้าอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงได้ถูกขังอยู่ภายใต้ชุดเกราะต่อสู้ของข้า” เดธลอร์ด ได้กล่าวพูดขึ้นในเวลานี้
“นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง” อัลดิช ตอบกลับด้วยความสับสน เขาจ้องมองไปที่ เดธลอร์ด และ ไม่คิดเลยว่า ร่างแท้จริงที่ซ่อนเอาไว้จะเป็นเช่นนี้ เพราะตามตำนานก่อนที่ เดธลอร์ดจะกลายเป็นลิช มันเคยเป็นมังกรมาก่อน
แม้ว่าเขาจะไม่รู้เพศของ เดธลอร์ด แต่เขาก็คิดเสมอว่ามันเป็นผู้ชาย
“ผู้คนมักจะคาดหวังภาพลักษณ์ต่าง ๆ นาๆ ในฐานะ ‘เจ้าแห่งความตาย’ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะไม่มีใครเคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของข้า แต่สำหรับเจ้า ผู้ที่ปราถนาที่จะกลายเป็นลิชเหมือนข้า แน่นอนว่าข้าจะไม่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังชุดเกราะ และ จะยินยอมออกมาพบเจ้าด้วยร่างที่แท้จริงเช่นนี้” เดธลอร์ด ได้ตอบกลับ
“นายท่าน…” วาเลร่า จ้องมองไปที่ อัลดิช ก่อนที่จะหันไปมอง เดธลอร์ด และ กระแทกโล่ของเธอลงบนพื้นในเวลานี้ “เจ้า! เจ้าคิดจะล่อลวงนายท่านของข้าใช่หรือไม่!? เจ้าคิดหรือว่านายท่านของข้าจะตกหลุมรักเจ้า นังอสรพิษ!”
“หุบปาก ยัยสมองกล้าม!” เดธลอร์ด ได้พูดขึ้นในเวลานี้ และ ดันหน้าอกของเธอขึ้น “เจ้ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าสุภาพสตรีที่แท้จริง เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดจาเช่นนั้น!”
“เธอต้องการอะไร?” อัลดิช ได้กล่าวพูดขึ้นในเวลานี้ “หากเธอต้องการจะฆ่าพวกเราในตอนนี้ แน่นอนว่าเธอสามารถทำได้อย่างง่ายดาย”
“โอ้ ย่อมเป็นเช่นนั้น” เดธลอร์ดพูดอย่างเห็นด้วย “แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เหมือนกับตอนที่เราพบกันครั้งล่าสุด เพราะตอนนั้น เจ้าได้ต่อสู้กับข้าเพื่อต้องการฆ่าข้า แต่ตอนนี้ เจ้าได้เอื้อมมือมาหาข้าเพราะต้องการแย่งชิงพลังและกลายเป็นลิช ถูกต้องหรือไม่?”
“หากเป็นอย่างนั้น เจ้าก็ต้องได้รับสัญลักษณ์แห่งพลังที่สร้างขึ้นจากแก่นแท้ของข้า”
“แล้วเธอจะให้มันกับฉัน?” อัลดิช ได้กล่าวถาม
“โอ้ เจ้ากล้าขอแก่นพลังของข้าง่ายๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ?” เดธลอร์ดได้กอดอกและยิ้มออกมาเล็กน้อย “แน่นอนว่าข้ายินดีต้อนรับใครก็ตามที่อยากจะกลายเป็นลิช และ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่ผ่านบททดสอบของข้าเท่านั้น แน่นอนว่า รวมถึงสมุนคนนั้นภายใต้บัญชาการของเจ้าด้วย”
เดธลอร์ด ชี้นิ้วไปที่ แฟลร์กาน “เขาสามารถสร้างบทประพันธ์ที่สวยงามได้ดีทีเดียว แต่เขาก็เหมือนกับนักวิชาการ และ นักเวทย์ที่มีศีรษะว่างเปล่า แม้ว่าเขาจะมีสมอง แต่เขาก็ไม่มีศิลาที่เอาไว้ใช้ผ่านบททดสอบของข้า”
“ดูเหมือนว่าเขาจะจำบททดสอบของเธอไม่ได้” อัลดิช ได้กล่าวพูดขึ้น “ฉันคิดว่ามันคงค่อนข้างเยอะใช่หรือไม่?”
“อืม…” เดธลอร์ดได้เอานิ้วแตะริมฝีปากของเธอและเชิดหัวขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ เพราะข้าคิดว่าบททดสอบของข้าค่อนข้างยุติธรรมดีแล้ว สำหรับพวกที่อ่อนแอและไม่คู่ควรท้ายที่สุดก็แค่ตกเป็นทาสของข้าเท่านั้น”
“แต่เจ้า เดธวอร์คเกอร์ เจ้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าคู่ควรด้วยการเอาชนะข้ามาก่อน”
“แต่ถึงกระนั้น ฉันก็รู้สึกว่าเธอยังต้องการทดสอบฉันอยู่ดี” อัลดิช ได้ตอบกลับ
“ก็นะ ข้าไม่อยากจะให้พลังของข้าไปฟรี ๆ แม้ว่าพวกเราจะเคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม” เดธลอร์ด ได้ยักไหล่ทันที “อ่า เอาแบบนี้เป็นไง”
เดธลอร์ด ได้วางมือลงบนหน้าอกและเอื้อมมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น เธอก็หยิบ หินรูน สีเขียวออกมา และ โยนให้ อัลดิช
“ข้าจะให้เจ้าเริ่มต้นที่ชั้นล่างสุดของหอคอยเนโครโพลิสอันยิ่งใหญ่ของข้า ให้เจ้าเคลียร์ชั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากเจ้าขึ้นไปได้สูงพอ เจ้าจะได้รับคุณสมบัติในการรับสัญลักษณ์แห่งพลังของข้า นี่ถือว่าข้าใจกว้างมากแล้วนะ”
“แน่นอนว่า ขุมทรัพย์ใด ๆ ที่เจ้าพบ ไม่ว่าจะเป็น มอนสเตอร์หรืออะไร เจ้าสามารถเก็บไว้เองได้”
“นอกจากนี้เจ้ายังได้รับ โอกาส 3 ครั้ง หรือก็คือ เจ้ามี 3 ชีวิต เจ้าจะต้องพยายามให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้รับผลตามแทนที่มากขึ้น”
“อา แล้วก็ ครั้งล่าสุดที่เจ้าเผชิญหน้ากับข้าด้วยปาร์ตี้ฮีโร่พวกนั้น หากเจ้าสามารถติดต่อกับเพื่อนของเจ้าได้อีกครั้ง ข้าก็ยินดีที่จะให้พวกเขาเข้าร่วมบททดสอบกับเจ้า”
“นี่คือทั้งหมดที่ข้าให้ได้ เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว!”
เดธลอร์ด ได้ตบมือของเธอเข้าด้วยกัน จากนั้น อัลดิช และ อันเดด ของเขาก็พบว่าตัวเองได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ เป็นห้องใต้ดินที่มืดมิดและกว้างขวางอีกทั้งยังเต็มไปด้วยหลุมฝังศพที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
ทันใดนั้นก็มีหน้าจอข้อความปรากฏขึ้น
[สุสาน : ชั้น 1]
อัลดิช พบว่าตัวเองได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่ด้วยมานาของเขาที่ได้รับการฟื้นฟู และ สิ่งเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับอันเดดของเขา
[เควสใหม่ : พิธีกรรมแห่งนิรันดร์]
[ความพยายามครั้งที่ 1 กำลังเริ่มต้น]
อัลดิช ได้ถอนหายใจขณะที่เขาได้ยินเสียงคร่ำครวญของ ซอมบี้ที่โผล่ขึ้นมาจากสุสานโดยรอบ สิ่งนี้ทำให้ ทุกคนในกองทัพของเขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที
“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย” อัลดิช พูดขณะที่หักคอของเขาไปมา