บทที่ 886 (7) แนวทางการคบหา(ตอนฟรี)
บทที่ 886 (7) แนวทางการคบหา
ในขณะที่อู๋จื้อเหอและเจิ้งหยูซิ่วกำลังปวดหัว ทางด้านจี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว
หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารอิ่มแล้ว พวกเขาก็ใช้โอกาสที่หาได้ยากนี้พูดคุยกันก่อนที่การชุมนุมสังสรรค์จะเริ่ม
ความสัมพันธ์ระหว่างจี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างสนิทสนม สาเหตุไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น แต่เพราะพวกเขาคุยกันถูกคอและมีแนวคิดหลายๆอย่างคล้ายๆกัน
จี้เฟิงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะปฏิบัติตามหลักการของเขาและพยายามไม่ละเมิดหลักการถ้าเป็นไปได้ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วเขาไม่ใช่แบดบอยอย่างแน่นอน แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังดูไม่เหมือนนายน้อยผู้ร่ำรวยเลยด้วยซ้ำ พูดอีกอย่างคือเขาไม่ชินกับการที่ต้องวางท่าหรือทำตัวเย่อหยิ่งในฐานะคุณชายเสเพล!
สำหรับจี้ช่าวเหลย แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนคุณชายเสเพลที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามใจ แต่ในความเป็นจริงเขาไม่เคยก้าวล้ำเส้นของหลักการ
คนที่ยึดมั่นใจหลักการจะทำให้ผู้คนเคารพคุณเสมอ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคุณก็ตาม!
แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีข้อบกพร่อง และสำหรับชายหนุ่มสองคนนี้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิง เดิมทีจี้เฟิงตกหลุมรักถงเล่ยเท่านั้น แต่เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ จากนั้นจึงมีเซียวหยูซวนอีกคน และตอนนี้ก็มีเพิ่มอีกคนเป็นสามคนแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจมาก แต่เขาไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้...
อย่างไรก็ตาม จี้ช่าวเหลยนั้นมีข้อบกพร่องมากกว่าเล็กน้อย เพราะไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของผู้หญิงเท่านั้น แต่ในแง่ของอาชีพการงาน เขาไม่มีแรงจูงใจในตัวเองมากนัก ดังนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งในความแตกต่างระหว่างจี้ช่าวเหลยและจี้เฟิง
ส่วนลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ และแม้แต่พี่ชายคนโตจี้ช่าวตง จี้เฟิงก็ไม่ได้สนิทมากนัก
ส่วนลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆจี้เฟิงไม่ได้สนิทอะไรมากนัก แม้แต่พี่ชายคนโตจี้ช่าวตงก็ยังมีความห่างเหินอยู่พอสมควร ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงลูกพี่ลูกน้องสายรองคนอื่นๆ แค่ไม่มีคำอธิบายในความสัมพันธ์ว่า ‘เลวร้าย’ ก็นับว่าดีมากแล้ว
แต่ทั้งจี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยไม่สนใจ ท้ายที่สุดแล้วเลือดย่อมข้นกว่าน้ำเสมอ และความขัดแย้งในครอบครัวก็เช่นกัน ไม่มีใครถือโทษโกรธกันถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย
มันจะไม่มีปัญหาแน่นอนหากทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขแบบนี้ และถ้ายิ่งพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้นได้ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก
“น้องสาม นายไม่ต้องรู้สึกละอายใจหรอก!” จี้ช่าวเหลยหัวเราะออกมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำบ่นของจี้เฟิง
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “จะไม่ให้รู้สึกละอายใจได้ยังไง ตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าจะทำหน้ายังไงเวลาที่เจอถงเล่ยกับเซียวหยูซวน จะไปพูดกับพวกเธอตรงๆว่า ‘เฮ้ ฉันหาน้องสาวคนใหม่มาให้พวกเธอแล้วนะ! ไม่ต้องห่วง พวกเธอต้องเข้ากันได้ดีแน่...’ ถ้าผมพูดแบบนี้ออกไปจริงๆ แม้ว่าพวกเธอจะเป็นผู้หญิง แต่คงร่วมมือกันทุบตีผมจนตายแน่!”
จี้ช่าวเหลยกลอกตา “แล้วใครใช้ให้นายพูดแบบนั้นกันล่ะ?!”
“แล้วผมจะทำอะไรได้อีก?” จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “แค่มีผู้หญิงใหม่ก็แย่แล้ว ยังจะให้ปกปิดความจริงจากพวกเธออีก ผมคงรับความเลวขนาดนั้นของตัวเองไม่ได้แน่!”
“เจ้าหนู...” จี้ช่าวเหลยไม่รู้จะพูดอะไร แต่หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นว่า “ฉันเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้นายรู้สึกสับสนและไม่สบายใจอยู่แบบนี้มันเป็นเพราะเรื่องของความคิด นายก็แค่ปล่อยวาง แล้วเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
“ผมไม่เข้าใจ” จี้เฟิงถามด้วยความสงสัย
“จริงๆแล้วมันง่ายมาก ความคิดของนายมันค่อนข้างจะหัวโบราณไปหน่อย” จี้ช่าวเหลยชี้ไปที่จี้เฟิงด้วยท่าทางของผู้รู้ “นายลองคิดดูดีๆสิว่าสังคมสมัยนี้มันเป็นแบบไหนกันแล้ว? ผู้หญิงบางคนเสียตัวในโรงแรมคืนละ 80 หยวน แต่กลับอยากให้ผู้ชายใช้เงิน 800,000 หยวนซื้อบ้านก่อน หล่อนถึงจะเต็มใจแต่งงานกับเราเนี่ยนะ? ในยุคสมัยนี้ จะหาสาวบริสุทธิ์ก็คงต้องไปที่โรงเรียนอนุบาลนั่นแหละถึงจะเจอ...”
“ไม่น่าเชื่อว่าพี่รองก็รู้จักคำพูดอะไรพวกนี้กับเขาด้วย! ว่าแต่มันเกี่ยวกับผมตรงไหน?!” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้ เพราะเขาก็เติบโตมาในสังคมคนธรรมดา คนรอบตัวที่พบปะพูดคุยก็คนธรรมดาทั้งนั้น ทำไมเขาจะไม่เคยได้ยินคำเหล่านี้?
“อ้าว! ก็ต้องรู้สิ!”
จี้ช่าวเหลยดุด้วยรอยยิ้ม และพูดต่อไปว่า “ที่ฉันพูดมันเป็นแค่การอธิบายชวนให้คิด ฉันขอยกตัวอย่างนะ อย่างฉันเนี่ย หน้าตาก็จัดว่าไม่เลว สถานะทางครอบครัวก็จัดว่าดี แล้วทีนี้นายบอกฉันทีว่าทำไมผ่านมาตั้งหลายปีฉันถึงไม่มีแฟนสักที?”
“นั่นสินะ!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและเห็นด้วย เพราะถ้าด้วยโปรไฟล์อย่างพี่รองต้องการหาแฟนจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่มาเสนอตัวถึงที่!
“ใช่มั้ยล่ะ!” จี้ช่าวเหลยพูดด้วยรอยยิ้ม “นายกล้าพูดมั้ยล่ะว่าเซียงยี่โหรวไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงในอดีตของฉันแล้วก็ไม่เคยคิดเรื่องของผู้หญิงที่เข้าหาฉันในอนาคต? เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้! แต่ถึงแม้เธอจะรู้ เธอก็แค่รู้ แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะเธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าฉันเป็นคนยังไง จริงที่ฉันไม่ใช่คนดี แต่ฉันก็ไม่ใช่คนเลวแน่นอน และที่สำคัญคือฉันแสดงความจริงใจต่อเธอไม่ใช่เหรอ?”
จี้เฟิงยังไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาเกาหัวและพูดว่า “แค่จริงใจก็พอแล้วงั้นเหรอ?”
“แล้วนายต้องการอะไรอีก?” จี้ช่าวเหลยพูดด้วยรอยยิ้ม “บางครั้งความต้องการระหว่างคนสองคน มันก็มีอยู่แค่นั้น ถ้าไม่จริงใจกับใคร ก็แค่แยกย้ายจากกันไปให้เร็วที่สุด อย่าไปทำร้ายคนอื่น แต่ถ้านายจริงใจ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว”
“งั้นก็เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปตามตรง...”
“น้องสาม นายไม่น่าจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากนะ อันที่จริง สถานการณ์ของนายไม่ได้มีอะไรยากเลย” จี้ช่าวเหลยกล่าว “ตอนแรก ที่ถงเล่ยสามารถยอมรับเซียวหยูซวนได้ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนใจกว้างเหมือนแม่น้ำ แต่เป็นเพราะเธอรู้ว่านายจริงใจกับเธอ ก็เช่นเดียวกันกับเซียวหยูซวน อ่ะ.. โอเคก็จริงอยู่ที่เหตุผลหลักๆแล้วคือพวกเธอรักนาย แต่ก็นั่นแหละความรักต้องมาคู่กับความจริงใจ”
“เพียงเพราะพวกเธอรักผม มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะรังแกพวกเธอแบบนี้ได้นี่?” จี้เฟิงส่ายหัว “ผมว่าเรื่องนี้พี่พูดไม่ถูก”
“ให้ตายเถอะ!” จี้ช่าวเหลยดุ “เรื่องแบบนี้นายหัวดื้อจนน่าหงุดหงิดเลยแฮะ! เอางี้! ฉันถามนายหน่อย นายชอบผู้หญิงสวยๆทุกคนที่นายเห็นเลยหรือเปล่า?”
“พี่รองเห็นผมเป็นคนแบบไหนเนี่ย...” จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น
“ก็แค่นั้นแหละ!” จี้ช่าวเหลยกางมือทั้งสองข้าง “นายไม่ใช่ผู้ชายที่จีบผู้หญิงไปเรื่อยซักหน่อย นายก็แค่จริงใจต่อพวกเธอทั้งสามคน สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมีเหตุและผลของมัน สุดท้ายแล้วพวกเธอก็จะเข้าใจ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และตราบเท่าที่นายสามารถสัญญาได้ว่าจะปฏิบัติต่อพวกเธอด้วยความจริงใจเหมือนเดิม ฉันว่าพวกเธอยอมรับได้อย่างไม่มีปัญหา!”
จี้เฟิงฟังแล้วก็นิ่งเงียบไป แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดอย่างลังเล “พี่รอง ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่กำลังพาผมเสียคนยังไงก็ไม่รู้”
“ไปตายซะ!” จี้ช่าวเหลยดุด้วยรอยยิ้ม “นายจะเข้าใจหลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อนายกลับไป แต่ไม่ใช่ว่านายจะวิ่งไปหาถงเล่ยหรือเซียวหยูซวนแล้วบอกกับพวกเธอว่านายไปเจอสาวคนใหม่มา ถ้าแบบนั้นก็เตรียมพบกับการต่อต้านได้เลย เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป หลังจากที่คลุกคลีกันไปเรื่อยๆ พวกเธอจะเข้าใจได้เองว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าถ้านายต้องการให้ซูหยวนเป็นชู้รักอยู่นอกบ้าน ก็ไม่ต้องเก็บเรื่องพวกนี้มาคิดให้ปวดหัว!”
“พอๆ! เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว!” จี้เฟิงรู้สึกว่าเขากำลังถูกปลูกฝังตรรกะของผู้ชายเจ้าชู้โดยพี่รองของเขา ซึ่งนี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย แต่ในใจของเขาสัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่าคำพูดของพี่รองก็พอจะมีความจริงที่รับได้อยู่บ้าง เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่อยากจะคิดถึงมัน
เขามองดูนาฬิกา “พี่รอง นี่ก็ผ่านไปยี่สิบนาทีได้แล้ว ไม่เห็นพวกนั้นจะมา!”
จี้ช่าวเหลยโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจ คนจากตระกูลอู๋ก็แบบนี้แหละ เรื่องหน้าตาเป็นเรื่องใหญ่ การทำตัวหยิ่งผยองเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ฉันพูดไปแบบนั้นก็เพราะอยากจะดูว่าพวกเขาจะรับมือยังไง”
บอกให้มาขอโทษ แต่เลือกที่จะไม่มา นั่นก็หมายความว่าคุณเลือกที่จะงัดข้อกับเรา โอเค ไม่มีปัญหา! เพราะนั่นเป็นสิ่งที่คุณเลือก ตอนนี้ตระกูลอู๋ไม่ไว้หน้าตระกูลจี้ ดังนั้นก็อย่าคิดฝันว่าจะได้ควบคุมเจียงโจวโดยไร้ขวากหนาม!
จี้เฟิงก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย และถามขึ้นว่า “พี่รอง เรื่องการโยกย้ายตำแหน่งของอารอง ถ้าตำแหน่งมันว่าง อารองจะมีโอกาสได้ย้ายกลับมามั้ย?”
“มันยากที่จะพูด” จี้ช่าวเหลยกล่าว “นายรู้หรือเปล่าว่าการโยกย้ายในครั้งนี้เป็นการสร้างความสมดุลในอำนาจระหว่างตระกูลจี้และตระกูลอู๋ แน่นอนว่ามีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอยู่ตรงกลาง แต่ถ้าจะมีอะไรผิดพลาด ก็คงเป็นเพราะตระกูลอู๋ต้องการครอบครองเจียงโจวอย่างหน้ามืดตามัว!”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จี้ช่าวเหลยก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และรีบพูดทันที “น้องสาม! นายไม่ได้กำลังคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ลอบสังหารคนของตระกูลอู๋หรอกใช่มั้ย? ...น้องสาม ฉันขอบอกเลยนะว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ต้องคิดถึงสิ่งที่จะตามมาทีหลังด้วย!”
จี้เฟิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม “บอกไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์”
“น้องสาม การลงมือที่หนักเกินไปแบบนี้ อย่าหาทำ! เพราะถ้านายจัดการกับคนที่มาดำรงตำแหน่งแทนอารองของนาย คนของตระกูลอู๋ก็จะโจมตีอารองของนายเช่นกัน และมันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายมีแต่ความสูญเสีย นายต้องรู้ด้วยว่า แม้ว่าอารองของนายจะถูกย้าย แต่มันก็คือความก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วย!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาเข้าใจปัญหาเหล่านี้แล้ว ตอนนี้ฝีเท้าของพ่ออาจก้าวได้ช้าลงแต่เดินได้อย่างมั่นคงมากขึ้น และต้องเดินขึ้นอีกสองสามก้าว ซึ่งสองสามก้าวที่ว่านี้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบถึงยี่สิบปี แต่ถ้าหากครั้งนี้ถูกขัดแข้งขัดขาหรือมีปัญหาเกิดขึ้น ทุกอย่างจะถูกหยุดชะงักไปเป็นเวลาห้าปี และหลังจากผ่านไปอีกสองก้าว เขาจะไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการได้เนื่องจากอายุของเขา
อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าผู้อาวุโสของตระกูลอู๋นั้นแก่กว่า และก้าวเดินของเขาก็ช้ากว่า ดังนั้นการเข้าควบคุมเจียงโจวในครั้งนี้จึงเป็นส่วนสำคัญของพวกเขา
และถ้าโดนขัดขวาง การก้าวขึ้นไปข้างบนคงยาก อาจเรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย
และแน่นอนว่ามันเป็นไปได้ยากที่จี้เจิ้นหัว พ่อของจี้เฟิงจะถูกโจมตีโดยตระกูลอู๋ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีตัวแปรมากมายในกระบวนการ อย่างไรก็ตาม การที่ตระกูลจี้ยอมประนีประนอมกับตระกูลอู๋ ก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่คุ้มค่า
อย่างไรก็ตามการแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่นั้นยังไม่แน่นอนเพราะตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้วงานหลายอย่างต้องหยุดลงและเราคงต้องรอจนถึงสิ้นปี
“เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าผมจะใจเย็นๆรอดูสถานการณ์ก่อนก็แล้วกัน” จี้เฟิงยิ้ม
“Rrrrr~!” ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาดูและพบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากซูหยวน
จู่ๆจี้ช่าวเหลยก็แสดงรอยยิ้มที่มีความหมาย จากนั้นก็เอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้และจดจ่ออยู่กับการสูบบุหรี่
จี้เฟิงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มและกดรับโทรศัพท์ “ว่าไงซูหยวน ฉันพูดอยู่”
“จี้เฟิง ฉันมีเรื่องจะบอกคุณ” ซูหยวนกล่าว “มีคนจากหรงเผิงกรุ๊ปมาติดต่อเราในวันนี้ พวกเขาเสนอขอซื้อโรงงานผลิตยาของเรา หรือซื้อสิทธิบัตรคังหยวนสลิมมิ่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง”
“ขอซื้อขาดเลยอ่ะนะ?” จี้เฟิงขมวดคิ้ว
“ใช่ และฉันก็ปฏิเสธไปแล้ว แต่น้ำเสียงของพวกเขาแข็งกร้าวมาก ดูเหมือนพวกเขาน่าจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ฉันก็เลยลองไปตรวจสอบข้อมูลสาธารณะของหรงเผิงกรุ๊ป ปรากฏว่าพวกเขาเป็นกลุ่มบริษัทที่แข็งแกร่งจริงๆ” ซูหยวนกล่าว “สำนักงานใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวงในกวางตุ้ง มูลค่าของบริษัทอยู่ที่ประมาณหมื่นล้าน...”
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา” จี้เฟิงพูดตรงๆ “หรงเผิงกรุ๊ปบ้าบออะไร คิดว่ารวยแล้วจะซื้อทุกอย่างได้เลยหรือไง... เธอไม่ต้องไปสนใจ!”
พูดจบจี้เฟิงก็พูดคุยกับซูหยวนอีกสองสามคำเกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอก่อนจะวางสายไป
จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วและพูดอย่างครุ่นคิด “หรงเผิงกรุ๊ป... ชื่อนี้คุ้นมาก”
.......จบบทที่ 886 ~