ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 165 ปะทะจ้าวจื่อป๋อ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 165 ปะทะจ้าวจื่อป๋อ
แปลโดย iPAT
แต่เขาจะทำอย่างไรต่อไป?
หลี่ฉิงซานพิจารณาคำถามนี้อย่างรอบคอบ การปีนขึ้นไปบนภูเขาและลอบโจมตีจ้าวจื่อป๋อไม่ใช่ทางเลือกที่แย่ แต่เขาต้องเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจเพื่อความแข็งแกร่งที่เพียงพอ
อย่างไรก็ตามร่างปีศาจที่สูงกว่าแปดเมตรของเขาสูงยิ่งกว่าอาคารสองชั้น บางทีแม้แต่คนที่อยู่ตีนเขาก็ยังสามารถมองเห็นเขา มันง่ายเกินไปที่สถานะปีศาจของเขาจะถูกเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาล้มเหลวในการฆ่าจ้าวจื่อป๋อในการโจมตีเดียวและปล่อยให้จ้าวจื่อป๋อเรียกกำลังเสริม ทุกคนจะรู้ตัวตนของเขา ทางเลือกที่ดีกว่าคือเขาต้องล่อจ้าวจื่อป๋อออกจากเมืองเจียเผิง จากนั้นก็โจมตีเขา แต่เขาจะล่อลวงจ้าวจื่อป๋ออย่างไร
“เสี่ยวอัน เจ้ามีความคิดใดหรือไม่?”
เสี่ยวอันเขียนตัวอักษรในอากาศขณะที่ไฟไหลออกมาจากนิ้วของนาง นางเขียนคำเดียวว่า “รอ”
หลี่ฉิงซานตระหนักว่านางพูดถูก ตอนนี้จ้าวจื่อป๋อต้องการให้เขาตายมาก แต่จ้าวจื่อป๋อจะไม่กระทำการในเมืองเจียเผิง บางทีเขาอาจเป็นฝ่ายล่อให้หลี่ฉิงซานออกจากเมืองและนั่นจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาที่จะลงมือ
หลี่ฉิงซานลูบหัวเสี่ยวอัน “เจ้าช่างฉลาดนัก” อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธที่จะรอ เขาต้องทำบางอย่างระหว่างรอ “แต่เรายังต้องไปกระตุ้นไอ้สารเลวตัวนี้!” เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“ผู้บัญชาการจ้าว ข้ากลับมาแล้ว!” เสียงตะโกนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดบนภูเขาสีดำสนิท
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ทุกคนต่างตื่นตระหนก พวกเขาสะดุ้งตื่นจากการนอนหลับหรือการบ่มเพาะและรีบออกมา
หลี่ฉิงซานยืนอยู่หน้าสำนักงานของจ้าวจื่อป๋อและตะโกนต่อว่า “ข้าทำภารกิจไปแล้วยี่สิบเอ็ดภารกิจ ท่านคงไม่บอกว่าจะหักแต้มผลงานครึ่งหนึ่งของข้าอีกใช่หรือไม่และหลังจากนั้นข้าก็จะไม่สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งใด ดังนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมอบทั้งหมดให้ท่าน”
“โอ้ ถูกต้อง เมื่อข้าออกไปครั้งนี้ ข้าบังเอิญพบน้องสาวของผู้บัญชาการฮัว ข้าเป็นคนปากมาก ข้าอดไม่ได้ที่จะพูดถึงทุกสิ่งที่ท่านทำในเมืองเจียเผิงกับนาง แต่ข้าคิดว่าผู้บัญชาการฮัวคงไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ดังนั้นโปรดอย่าถือสาข้าเลย”
“หุบปาก!” ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากสำนักงานและปรากฏตัวต่อหน้าหลี่ฉิงซานในเสี้ยวพริบตา มันคือจ้าวจื่อป๋อ เขาตวาดด้วยความเดือดดาล แขนของเขาเต็มไปด้วยพลังปราณที่พร้อมจะเหวี่ยงไปหาหลี่ฉิงซานเหมือนค้อนเหล็ก
“ท่านกำลังจะทำสิ่งใด ผู้บัญชาการจ้าว? ท่านกำลังพยายามฆ่าผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านงั้นหรือ?” หลี่ฉิงซานกล่าวพร้อมยกโล่จิตวิญญาณขึ้นมาสกัดกั้น
“ปัง!” หมัดของจ้าวจื่อป๋อกระแทกโล่ของหลี่ฉิงซานและทำให้เกิดเสียงดังไปทั่ว
หลี่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลและล่าถอยออกไปสี่ก้าว ในแต่ละก้าว เขาจะทิ้งรอยเท้าฝังลึกเอาไว้เบื้องหลังแม้พื้นจะเป็นหินอ่อนก็ตาม ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นหกทำให้เขารู้สึกค่อนข้างประทับใจ แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆจากการโจมตีครั้งนี้ โล่ของเขาเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ แม้มันจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับต่ำ แต่มันก็ยังไม่พังทลายโดยง่าย
แน่นอนว่าพลังของการโจมตีนี้เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายของจอมยุทธ์ขั้นสองแหลกเหลวและทำให้พวกเขากระอักเลือดตายทันที อย่างไรก็ตามร่างกายของหลี่ฉิงซานไม่ได้บอบบางถึงเพียงนั้น
จ้าวจื่อป๋อยิ่งโกรธมากขึ้น ดวงตาของเขาส่องประกายขณะที่พลังปราณลุกไหม้ขึ้นในมือของเขาอย่างรุนแรง
หลี่ฉิงซานรู้สึกถึงคลื่นความร้อนจากระยะไกล ดังนั้นเขาจึงกระโจนถอยหลัง เขายังเห็นมังกรเพลิงพันอยู่รอบตัวจ้าวจื่อป๋อ เสื้อผ้าของจ้าวจื่อป๋อส่องประกายระยิบระยับไปด้วยชั้นแสงสีแดง ตอนนี้เขาดูเหมือนเทพเจ้าแห่งไฟ หินอ่อนใต้เท้าของเขาเริ่มส่งสัญญาณของการหลอมละลายซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของคลื่นความร้อนที่เขาปล่อยออกมา
จอมยุทธ์ขั้นหกไม่เพียงสามารถควบคุมสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณแต่พวกเขายังมีทักษะพิเศษเป็นของตนเอง
“ไป!” ด้วยการชี้นิ้วเหมือนดาบ มังกรเพลิงพุ่งเข้าหาหลี่ฉิงซานพร้อมเสียงคำราม มันรวดเร็วราวกับสายฟ้า คนธรรมดาจะเห็นเพียงประกายแสงแลบลั่นและไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือมังกรเพลิง
“ฮ่า!” หลี่ฉิงซานตะโกนและผลักโล่จิตวิญญาณไปข้างหน้า โล่ขยายถึงขีดจำกัดของมันเมื่อมันปะทะกับศีรษะมังกรเพลิงขณะที่หลี่ฉิงซานย่อตัวอยู่ด้านหลังโล่
“บึม!” เปลวเพลิงระเบิดออกไปรอบๆ มังกรเพลิงกลายเป็นทะเลเพลิง
ครั้งนี้หลี่ฉิงซานปล่อยให้ตนเองถูกผลักลอยออกไปชนกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังหลายสิบเมตร ใบไม้ร่วงลงมาจากต้นขณะที่เขาเปิดปากชมเชย “เป็นท่าที่น่าประทับใจ ผู้บัญชาการจ้าว!” นอกจากแขนที่ถูกเผาเล็กน้อย เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอื่นใดอีก
การปะทะครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามดูเหมือนครั้งนี้หลี่ฉิงซานจะยั่วยุจ้าวจื่อป๋อมากเกินไป ความมุ่งมั่นที่จะกำจัดเขาให้สิ้นซากของจ้าวจื่อป๋อแข็งแกร่งมาก ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป เขาสูญเสียเหตุผลไปอย่างสมบูรณ์
จ้าวจื่อป๋อเป็นผู้บัญชาการหมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิงมานานและไม่เคยมีผู้ใดกล้ายั่วยุเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หลังจากเฉียนหรงจื่อเล่นงานเขาและหลี่ฉิงซานทำให้เขาอับอาย ความโกรธของเขาก็เอาชนะความคิดอย่างมีเหตุมีผลที่เหลืออยู่ของเขาไปในที่สุด
เมื่อมังกรเพลิงล้มเหลวในการสังหารหลี่ฉิงซาน จ้าวจื่อป๋อจึงสะบัดมือส่งดาบเล่มเล็กพุ่งออกมาบินอยู่รอบฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาก็ทะยานร่างออกไปด้วยความกระหายเลือด
ขนทั่วร่างของหลี่ฉิงซานชูชันขึ้น เขารู้สึกถึงอันตราย ดาบอยู่ห่างจากเขาสิบเมตรแต่เขารู้สึกเหมือนบางคนกำลังคว้าลำคอของเขาเอาไว้และพร้อมที่จะตัดศีรษะของเขาออกจากร่างได้ทุกเมื่อ
เขาเก็บโล่กลับเข้าไปในกระเป๋าร้อยสมบัติ ในเวลาเช่นนี้โล่ไร้ประโยชน์ เขาเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ดาบเล่มเล็กในมือของจ้าวจื่อป๋อ
หากจ้าวจื่อป๋อใช้ดาบบินจริงๆ หลี่ฉิงซานก็ไม่เลือกทางเลือกอื่นนอกจากหนี
เขารู้ระยะการควบคุมสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณของจอมยุทธ์ขั้นหกแล้ว จอมยุทธ์ขั้นหกสามารถควบคุมสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณได้ในระยะสามสิบก้าวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อมันรวมกับความเร็วของจอมยุทธ์ขั้นหก มันจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่แท้จริง หากหลี่ฉิงซานมีความสามารถเช่นนี้ การฆ่าทุกคนบนเกาะบุปผาจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
แน่นอนว่าหลี่ฉิงซานไม่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เขาเตรียมยันต์เคลื่อนวายุไว้แล้ว หากเขาต้องหนี เขาก็จะหนี เขามั่นใจสองเท้าของตนเองมาก
เขาล่าถอยออกไปหนึ่งร้อยก้าว แม้จ้าวจื่อป๋อจะเสียสติและพยายามไล่ล่าเขา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการฝ่ายหลัง หากมันเกิดขึ้น เขาวางแผนที่จะรายงานเรื่องนี้ต่อโจวเหวินปิงและทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่
ข่าวที่ว่าจ้าวจื่อป๋อหักแต้มผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาและพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ปิดปากจะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว หลี่ฉิงซานจะกลายเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำของเรื่องนี้ เมื่อถึงเวลานั้น ชาวเมืองเจียเผิงจะไม่พอใจจ้าวจื่อป๋อและจะตราหน้าว่าเขาเป็นคนชั่วและไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง
เก้อเจียนตะโกนเตือน “ผู้บัญชาการจ้าว โปรดใจเย็น!” แม้เขาจะไม่ได้คิดลึกเท่าหลี่ฉิงซาน แต่เขาก็กลัวว่าจ้าวจื่อป๋อจะฆ่าหลี่ฉิงซานในฐานทัพของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ด้วยความโกรธ นั่นจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่หลวง
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มารวมตัวกันขณะที่จ้าวจื่อป๋อบังคับให้ตนเองสงบลง เขาเก็บดาบบินและมองหลี่ฉิงซานด้วยสายตาชั่วร้าย “หลี่ฉิงซาน ช่างน่าประทับใจนัก!”
แม้เขาจะอยู่ในเมืองเจียเผิงมานานแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนยอมรับเขา หากเขาฆ่าคนที่นี่ กระทั่งคนผู้นั้นจะไม่ใช่ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เขาก็ยังจะถูกลงโทษอย่างหนัก
ในฐานะผู้พิทักษ์กฎหมาย ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะปกป้องกฎหมายของอาณาจักรต้าเซี่ย อย่างไรก็ตามพวกเขาจะทำทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการในความมืด
จอมยุทธ์ขั้นหกถือเป็นเทพเจ้าในเมืองเจียเผิง แต่ในสายตาของคนด้านบน พวกเขาไม่ถือเป็นสิ่งใด ไม่มีใครสนหากจอมยุทธ์ขั้นหกจะตาย
เมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อป๋อสามารถระงับความโกรธของตน หลี่ฉิงซานก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาปัดใบไม้ออกจากไหล่อย่างเฉยเมย “ขอบคุณสำหรับคำชม ผู้บัญชาการจ้าว ข้าหวังว่าท่านจะลืมและให้อภัย!”
พวกเขาต้องการฆ่ากัน หากพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทั่วไป พวกเขาคงเผชิญหน้ากันและปลดปล่อยความคับข้องใจไปนานแล้ว อย่างไรก็ตามเพราะตัวตนของพวกเขาทำให้พวกเขาต้องพิจารณาผลที่ตามมาอย่างถี่ถ้วน ทั้งคู่ต่างต้องการสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อยุติเรื่องนี้
หลี่ฉิงซานกลับมาที่บ้านพักของเขาและยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เสี่ยวอัน “เราจะรอ” หลังจากนั้นเขาก็หยิบขวดยาร้อยไพรออกมา เดิมทีเขาต้องการเก็บมันไว้ใช้สำหรับการทะลวงขอบเขต แต่เพื่อรักษาความเร็วในการบ่มเพาะ เขาไม่สามารถคิดมากเกินไป เขาเชื่อว่าในกระเป๋าร้อยสมบัติของจ้าวจื่อป๋อต้องมียาที่ดีกว่านี้ มันไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเก็บยาร้อยไพรไว้สำหรับอนาคต
วันต่อมาหลี่ฉิงซานมาหาโจวเหวินปิง เขาต้องการแลกเปลี่ยนเม็ดยา โจวเหวินปิงได้ยินข่าวเกี่ยวกับการกระทำที่บ้าบิ่นเมื่อคืนนี้ของเขาแล้ว เขากล่าวว่า “มันได้ผลเช่นกัน เจ้าเผยแพร่ความขัดแย้งของเจ้าสู่สาธารณะ ตอนนี้เขาย่อมไม่กล้าต่อต้านเจ้าโดยไม่คิดให้รอบคอบ”
หลี่ฉิงซานอุทาน “เหตุใดเขาจึงไม่กล้าต่อต้านข้า?” เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้เพื่อให้จ้าวจื่อป๋อรีบลงมือ ยิ่งจ้าวจื่อป๋อมาหาเขาเร็วเท่าใด มันก็ยิ่งดีเท่านั้น
โจวเหวินปิงกล่าว “เจ้าพึ่งเผชิญหน้ากับเขา หากเจ้าตายหลังจากนั้นไม่นาน โดยพื้นฐานแล้วทุกคนจะรู้ว่าเขาเป็นคนร้าย ตอนนี้เขาต้องกัดฟันอดทนเพื่อที่เขาจะได้จัดการเจ้าในเวลาที่เหมาะสม”
หลี่ฉิงซานลอบคร่ำครวญอยู่ภายใน เขาหวังว่าจะใช้เวลาไม่นานเกินไป ขณะที่เขากำลังคร่ำครวญ เขาไม่รู้เลยว่าจ้าวจื่อป๋อกำลังกัดฟันอย่างหนัก บนภูเขา ผู้บัญชาการหมาป่าอินทรีย์คำรามออกมา “ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง! ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง!”
ใครจะรู้ว่าเมื่อใดที่พวกเขาทั้งสองจะสามารถหลบหนีจากสายตาของผู้คนและต่อสู้กันได้สมใจปรารถนา
ด้วยการพลิกมือ หลี่ฉิงซานหยิบหินวิญญาณทั้งหมดออกมาจากกระเป๋าร้อยสมบัติของเขา “ข้าต้องการแลกเม็ดยาเพิ่ม” แม้จะไม่มีเรื่องของจ้าวจื่อป๋อ แต่เขาก็ยังต้องทำธุรกรรมตามปกติต่อไป เขากินยาร้อยไพรทั้งหมดเมื่อคืนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เหลือเม็ดยาแม้แต่เม็ดเดียวสำหรับการบ่มเพาะ
โจวเหวินปิงถาม “เจ้าต้องการใช้พวกมันแลกเปลี่ยนจริงๆงั้นหรือ? หินวิญญาณมีค่ามากกว่าเม็ดยารวบรวมพลังปราณมาก”
หลี่ฉิงซานรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ตอนนี้เขาต้องการเม็ดยามากกว่า