ตอนที่แล้วตอนที่ 706 ห้าตระกูลใหญ่เมืองจื่อจวน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 708 หินเหล็กดำและกรวดเหล็กทอง

ตอนที่ 707 เหตุการณ์ลุกลามเกิดเงาครอบคลุมทั้งเมือง


ออกจากคลังสินค้าของตระกูลเซวีย ใจของผิงเสี่ยวซานสับสน  ‘เรื่องสำคัญขนาดนั้น,เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะตัดสินใจเรื่องแบบนั้น? เติบโตผ่านการต่อสู้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ แต่เขามีความเชื่อมั่นในความสามารถตัวเองขนาดนั้นจริงๆ เชียวหรือ?’

นี่คือเรื่องที่ผิงเสี่ยวซานไม่เข้าใจ

‘ถ้าคนอื่นต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน พวกเขาจะคิดแผนหรือจะหาจุดอ่อนของศัตรูของพวกเขา  หรือไม่ก็สร้างพันธมิตรกับกลุ่มอำนาจอื่นๆ ฯลฯใครกันจะหาเวลาเพื่อฝึกฝนคู่หูอื่นๆ? หวังจะแข็งแกร่งมากขึ้นจากเรื่องนั้นน่ะหรือ?’

‘นั่น...นั่นมันน่าขันเกินไปแล้ว...’

ผิงเสี่ยวซานเริ่มสงสัยว่าเขาพึ่งพาอาศัยคนบุ่มบ่ามหรือเปล่าคนแบบนั้นมีแนวโน้มว่าจะล้มเหลวได้  ‘โชคดีสำหรับข้า ข้ายังมีลูกเล่นอยู่ในมือเล็กๆ น้อยๆ’  เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้วผิงเสี่ยวซานปลอบใจตนเอง  ‘คนผู้นี้เรียนวิชาพรางตัวของตระกูลข้าในคืนเดียว  และสามารถสร้างวิชาสองสามอย่างด้วยตนเองได้บางทีเขาคงแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆ กระมัง?’

ไม่มีใครรู้ว่าการปลอบใจตนเองอย่างนี้จะใช้ได้  แต่สภาวะใจของผิงเสี่ยวซานก็สงบลงได้อย่างช้าๆ

หลังจากสงบจิตใจได้แล้ว  เขาเริ่มคิดอย่างชัดเจนขึ้น  ‘ถ้าคนอย่างนั้นมีความเข้าใจได้สูงขนาดนั้น  อย่างนั้นนี่จะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด การต่อสู้ของถังเทียนกับเบนสันสั่นสะท้านไปทั้งเมืองและทุกตระกูลจะต้องระมัดระวังเขา

การปะทะกับพวกเขาในตอนนี้  พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน

เมื่อเทียบกับอีกสี่ตระกูล  ตระกูลมัวร์ยังคงขาดแคลนเรื่องพลัง  พวกเขามียอดฝีมือแค่เพียงคนเดียว มีป้อมปราการและไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะล้อมโจมตี

‘จากอีกมุมหนึ่ง การกระทำที่ไม่คาดฝันนี้ก็คือลงมือก่อนคิดจริงๆ’

เขาส่ายหน้า นั่นไม่ใช่คำถามและปัญหาที่เขาสามารถคลี่คลายได้  ดังนั้นทำไมต้องเปลืองสมองคิดด้วยเล่า?  ความคิดของเขากลับไปที่งานของเขา  ถังเทียนสั่งให้เขาตรวจสอบตำแหน่งของเรือนจำขัง

‘มั่นใจจริงๆ!’

ผิงเสี่ยวซานฝืนหัวเราะ

หานปิงหนิงไม่ได้สงสัยการตัดสินใจของถังเทียนแม้แต่น้อย  นางต่างจากผิงเสี่ยวซาน นางคุ้นเคยกับวิธีการที่ดูเหมือนโง่และประหลาดของถังห้าวมานานแล้ว  แต่ผลที่ได้รับจะยอดเยี่ยมเสมอ  เมื่อความโง่ถึงระดับที่แน่นอน  อาจนับได้ว่าเป็นสิ่งที่คาดหวังน้อยที่สุด

ส่วนเรื่องพรสวรรค์ในการฝึกฝนของถังเทียนทั่วทั้งกลุ่มดาวหมีใหญ่ ไม่สิ, ทั่วทั้งสวรรค์วิถี ไม่มีใครสงสัยความสามารถของเขา

หนุ่มชาวฟ้าฉายาที่ดูตลกแต่ข่มได้ทั่วสวรรค์วิถี

ไม่ว่าจะชอบเขาหรือเกลียดเขาก็ตาม  ไม่มีใครกล้าเมินเฉยความคงอยู่ของเขา

“แล้วข้าล่ะ?”  หานปิงหนิงมองดูถังเทียน

ถังเทียนตอบ “เจ้าจะคอยช่วยสนับสนุนข้า  ถ้าข้าได้รับบาดเจ็บ  ให้พาข้ากลับ”

“ตกลงตามนั้น”  หานปิงหนิงพยักหน้าและกลับไปฝึก

ถังเทียนเรียกนางทันที “เดี๋ยวข้าจะสอนวิชาพรางตัวของตระกูลผิงให้เจ้าก่อน”

เขาต้องการผู้ช่วย  เขาไม่กลัวการท้าทายเบนสัน  แม้ว่าเบนสันจะแข็งแกร่งกว่าเขามาก  แต่เขาก็อดต่อต้านไม่ได้  การเพิ่มพลังไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายต้องการจะให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ  ถังเทียนคิดว่าทางเป็นไปได้เพียงประการเดียวก็คือพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อกระตุ้นศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่

ถังเทียนไม่เคยพึ่งพาอาศัยโชค

การกระตุ้นผ่านประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจะช่วยดึงศักยภาพของเขาออกมานั้นไม่ใช่แนวความคิดใหม่  แต่น้อยคนยินดีที่จะทำเช่นกัน  เนื่องจากมีความเสี่ยงมากเกินไป  ถ้ามีความประมาท พวกเขาอาจสูญเสียชีวิตได้    พลังความแข็งแกร่งอาจจะได้รับช้า  แต่ทุกคนมีเพียงชีวิตเดียว  และวิธีการแบบนั้นควรเป็นวิธีการสุดท้าย  เนื่องจากไม่มีใครอยากตาย

การต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทั้งหมดจะสิ้นเปลืองกำลังร่างเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บบอบช้ำความสามารถในการป้องกันส่วนใหญ่จะกลายเป็นศูนย์ และสายตานับคู่ไม่ถ้วนกำลังจ้องมองเขา และถังเทียนไม่ต้องการตกไปอยู่กับคนที่น่ารังเกียจเหล่านั้น

มีหานปิงหนิงอยู่ด้วยเขาสามารถปล่อยวางความกลัวที่ค้างคาใจอย่างนี้ และทุ่มสู้สุดฝีมือได้

‘ข้ารอไม่ไหวแล้ว!’

**************

ตกกลางคืน คนจำนวนมากมายไม่สามารถหลับได้

“เจ้าตรวจดูหรือยัง?”

คนที่พูดมีวัย 40 ปี  สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและเป็นผู้นำของสี่ขุนพลตระกูลฉิน จงเจิ้งเยียนเหม่ย  จงเจิ้งเยียนเหม่ยได้รับความไว้วางใจจากฉินเจิ้นอย่างมาก เขารับจัดการกิจการภายในและมีชื่อเสียงอย่างมาก  รูปแบบการทำงานของเขาหนักแน่นว่องไวและภายใต้การควบคุมของเขา อิทธิพลเมืองจื่อจวนมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเขาไม่ยอมพูด”  ผู้ดูแลที่พูดหน้าซีด

“นั่นหมายความว่าพวกเขาจำบุรุษหน้ากากผีได้ใช่ไหม?” จงเจิ้งเยียนเหม่ยกล่าว

“ข้าคิดว่าอย่างนั้น”  ดูเหมือนว่าเจ้านายของเขาไม่ได้โกรธ  ผู้จัดการรู้สึกโล่งใจ  เขาลังเลเล็กน้อย  “เราจำเป็นต้องลงโทษพวกเขาไหม?”

“ไม่”  จงเจิ้งเยียนเหม่ยตอบ  “ตั้งแต่วันนี้ไปจับตามองพวกเขาให้ดีอย่าไปทุบตีด่าว่าพวกเขาตามอำเภอใจ”

ผู้จัดการปฏิบัติตามทันที

หลังจากผู้จัดการล่าถอยไปแล้วบุรุษร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น “พี่ใหญ่, ท่านไร้เดียงสาเกินไปแล้ว, ข้าเคยพบเห็นคนดื้อรั้นมาแล้ว  ถ้าท่านส่งพวกเขามาให้ข้า  ข้ารับรองได้เลยว่า ข้าจะให้พวกมันพูด!”

คนผู้นี้มีร่างกายกำยำและท่าทางดุร้ายมีรอยแผลเป็นรูปกากบาทอยู่บนหน้าผากของเขา เขาเป็นหนึ่งในสี่ขุนพลนามว่าเว่ยหาน

จงเจิ้งเยียนเหม่ยไม่โกรธและพยักหน้า  “ข้าเชื่อเจ้าในเรื่องนี้  แต่แม้ว่าเราจะทำให้พวกเขาพูดแล้วจะยังไงเล่า?”

“ยังไงน่ะหรือ?”  เว่ยหานตะลึง

“ถ้าคนผู้นี้อ่อนแออย่างนั้นก็ดีไป แต่จะเป็นยังไงถ้าเขาแข็งแกร่ง? เราจะไม่สร้างศัตรูโดยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ?”  จงเจิ้งเยียนเหม่ยส่ายศีรษะ “นักโทษทั้งหมดนี้มีความภักดีต่อบุรุษหน้ากากผีสูง  นั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา”

“แล้วยังไงเล่า?”  เว่ยหานแค่นเสียง  “อย่าบอกข้านะว่าเราต้องโยนคนของเราออกไป?พี่ใหญ่ ท่านจะยอมยกพวกเขาให้ไปไม่ได้!  ข้าเห็นพวกเขาแล้ว  พวกเขามีความสามารถเป็นต้นกล้าได้ทุกคน  ตราบใดที่เรากล่อมเกลาพวกเขาดีๆกำลังของเราจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย”

“ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล”  ขณะนั้นมู่เจ๋อที่อยู่ข้างๆแต่เงียบมาตลอดพูดขึ้น  “ข้าไปสืบมาแล้วพวกที่เราได้รับมาเหล่านี้ไม่ได้มีแต่เมืองจื่อจวนของเราเท่านั้นที่ได้  แต่เมืองอื่นๆ ก็ได้รับคนเหล่านี้ด้วย  จำนวนรวมมากกว่าพันคน นี่คือกองทัพแน่นอน  เป็นไปได้ว่าบุรุษหน้ากากผีก็คือผู้บัญชาการของกองทัพนี้”

“แล้วยังไงเล่า?”  คอของเว่ยหานแดง  “ตอนนี้เขามีตัวคนเดียว  ยังพลิกฟ้าได้อีกหรือ?”

มู่เจ๋อมีท่าทางที่ฉลาดคล้ายกับบัณฑิตคงแก่เรียน  เขาดูไม่มีอันตรายและสุภาพ  เขายิ้ม “คนเดียวไม่สามารถพลิกฟ้าได้ แต่จะเป็นยังไง ถ้าหนึ่งในตระกูลใดๆ กลายเป็นบริวารของเขา?”

เว่ยหานแค่นเสียง  “กลายเป็นบริวารให้เขา?  ตระกูลโง่ไหนที่จะทำแบบนั้น?  แบ่งเนื้อให้เขารับประทาน”

จงเจิ้งเยียนเหม่ยมองดูครุ่นคิด  “น้องสาม เจ้าหมายความว่าไง เราควรจะช่วยเขาหรือ?”

ตาของมู่เจ๋อเป็นประกายเจิดจ้าที่ทำให้หัวใจผู้คนเต้นแรง “นักโทษเหล่านี้มีสภาพร่างกายที่โดดเด่นแข็งแกร่ง  และพวกเขาไม่มีพลังงานแม้แต่น้อย  ตราบใดที่เราให้คำแนะนำพวกเขาบางอย่าง พวกเขาสามารถสร้างความสามารถต่อสู้ที่แข็งแกร่งโดดเด่นได้  พวกเขาคือคนที่อยู่ในกองทัพ  นานเท่าใดแล้วที่แดนบาปเคยมีกองทัพ?”

จงเจิ้งเยียนเหม่ยมีท่าทีแปลกใจ

เว่ยหานแค่นเสียง  “แล้วยังไงเล่า  ถ้าเราให้เขา ก็มีคนเพียงสองร้อยคน,  กองทัพสองร้อยคนน่ะหรือ? เฮ้อ,ข้าคนเดียวก็ฆ่าพวกมันได้หมดแล้ว!  แดนบาปไม่เหมาะกับกองทัพ  นอกจากนี้ เราจะมีประโยชน์อะไรกับการมอบคนให้เขา?  น้องสาม!  ประโยชน์ที่เจ้าพูดถึงเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น  แต่การคายเนื้ออ้วนนี้เป็นเรื่องจริง  เราได้คนมาสองร้อยคนด้วยความยากลำบากและยังต้องคายออกไป ถ้าตระกูลอื่นได้พวกเขาไป เราก็จะไม่ได้อะไรเลยพวกเขาได้ขยายกำลัง แต่เรากลับเล็กลีบลง และจากนั้นเราก็เสียเปรียบ

จงเจิ้งเยียนเหม่ยไม่พูด  คำพูดของเว่ยหานก็มีเหตุผล ตาของเขาหันไปมองสุภาพสตรีที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ  “น้องรอง!  เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”

ตาของสุภาพสตรีละจากหนังสือได้ในที่สุด หน้าของนางสามหน้ากากเงินที่ดูน่าประทับใจ  นี่คือหน้ากากที่เป็นประกายสดใสตัดกับดวงตาที่หมองของนางซึ่งดูลึกล้ำเหมือนเหวยากจะหยั่ง  ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ  ผมของนางผสานสีต่างๆได้อย่างงดงามแต่ละเส้นตรงเป็นแนวเหมือนเข็มสายรุ้ง

“เราควรจะรอก่อนเรายังจำเป็นต้องตรวจสอบความสามารถของเขา”

เสียงของนางเฉยเมยราวกับว่านางไม่สนใจเรื่องราวทั้งปวง

“น้องรองพูดถูก”  จงเจิ้งเยียนเหม่ยพยักหน้า  “เราควรจะสังเกตดูเขาไปก่อน  บุรุษหน้ากากผีกล้าลงมือกับตระกูลมัวร์ นั่นก็หมายความว่าจะต้องเคลื่อนไหวกับตระกูลอื่นด้วยเช่นกัน  เราจะสังเกตดูสักระยะก่อน  และดูว่าเขาควรจะได้รับการลงทุนจากเราหรือไม่”

เว่ยหานและมู่เจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย  พวกเขาทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์

“สวี่อันจงกับวิคเตอร์เปิดเผยตัวเองในเวลานี้เช่นกัน”  จงเจิ้งเยียนเหม่ยกล่าว  “ทุกคน, โปรดระวังตัวให้ดีในช่วงเวลานี้”

“สวี่อันจงออกมาจากการปิดประตูฝึกฝนแล้วหรือ?”  น้ำเสียงของมู่เจ๋อเคร่งเครียด “ดูเหมือนตระกูลสวี่จะมีขุนพลผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งแล้วในตอนนี้”

หน้าของเว่ยหานบิดเบี้ยวน่าเกลียด  สวี่อันจงก็คือน้องชายของสวี่เย่และพรสวรรค์ของเขาอยู่ในระดับสุดยอดแน่นอน เขาไม่มีความสนใจต่อกฎธรรมชาติเป็นตายซึ่งเป็นสุดยอดวิชาของเขาแม้แต่น้อย  แต่กลับหลงใหลในกระบี่  เขามักจะพูดถึงการสร้างวิชากระบี่ของเขาเองและแยกตนเองจากตระกูลสวี่ ชอบเอาตนเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย  สำหรับเขาการมาปรากฏตัวอีกครั้งนั่นหมายความว่าเขามีความก้าวหน้าครั้งใหญ่แน่นอน

บรรดาตระกูลยิ่งใหญ่ในเมืองจื่อจวนตระกูลที่คุกคามต่อตระกูลฉินมากที่สุดก็คือตระกูลสวี่  ตระกูลสวี่ไม่รับคนภายนอกเพราะรู้กันว่าพวกเขามีอายุขัยสั้น แต่ในทุกรุ่นพวกเขาจะมีอัจฉริยะหลายคน

สวี่อันจงเป็นคนที่ธรรมดามากอยู่ในตระกูลสวี่และนอกจากนั้นเขายังต่อต้านคำสอนของตระกูลเขา  เขาถูกเยาะเย้ยถากถางจากคนอื่น  แต่เขามีแรงมุ่งมั่นจากวิชากระบี่ของเขาเองและได้ผ่านการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายปิดประตูฝึกฝนและโค่นล้มคำวิจารณ์เหล่านี้ทั้งหมดได้ทันทีทำให้ทุกคนเชื่อมั่นพลังของเขา

นี่เรียกว่าทุ่มชีวิตเสี่ยงตายฝึกฝนก็หมายความว่าถ้าเขาไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะตาย แต่คนที่กล้าทำแบบนั้นจะมีความยืดหยุ่นและอดทนมากกว่าใครทั้งหมดและทุกคนมักจะได้รับการยอมรับนับถือจากคนอื่นๆ

สำหรับเขาที่ออกมาตอนนี้ก็หมายความว่าเขาเกิดใหม่อีกครั้ง

ตระกูลฉินสามารถข่มตระกูลอื่นทั้งหมดได้นอกจากพลังที่ยากจะหยั่งคาดของฉินเจิ้นแล้ว สี่ขุนพลล้วนแต่มีพลังอำนาจเช่นกัน สำหรับตระกูลสวี่ที่ได้ขุนพลที่ยิ่งใหญ่อีกคนการคุกคามของพวกเขาที่มีต่อตระกูลฉินเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

“แล้วยังมีเจ้าสวะตัวดำนั่น”  เว่ยหานแค่นเสียง  ตาของเขาเป็นประกายโกรธ  “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหนุ่มหน้ากากผีนั่นคอยหลอกล่อ  เจ้าตัวดำนั่นคงจะปกปิดเอาไว้ตลอดเวลา”

ทุกคนรู้ว่าเขาพูดถึงเบนสัน  นอกจากบุรุษหน้ากากแล้ว เบนสันทำให้ทุกคนตกใจพลังที่เขาเปิดเผยออกมาทำให้ทุกคนทึ่ง เป็นเวลาหลายปีแล้วเบนสันเก็บตัวจนกระทั่งความเป็นอยู่ของเขาดูเหมือนจะเลือนรางและทุกคนเกือบจะลืมเขา

ตระกูลมัวร์มักจะปกปิดพลังและเก็บเวลาของพวกเขาไว้เสมอปล่อยให้คนอื่นสำคัญว่าพวกเขาตกต่ำ  แต่หลังจากเบนสันแสดงพลังของเขาทำให้ทุกคนจำได้ว่าเกือบจะลืมตระกูลใหญ่ตระกูลที่ห้าของเมืองจื่อจวนไปแล้ว

“องครักษ์เหล็กในรุ่นปัจจุบันเปิดเผยอยู่แล้ว”  มู่เจ๋อพูดทันที “ข้าไม่คิดว่าเบนสันจะมีความคิดคัดกรององครักษ์เหล็กรุ่นอื่น”

‘องครักษ์เหล็กตระกูลมัวร์มักจะเป็นประเพณีตกทอดของตระกูลมัวร์บางอย่างที่เบนสันจะไม่ยอมแพ้  ถ้าเบนสันปกปิดพลังของเขา ทุ่มเทความพยายามสร้างองครักษ์เหล็กรุ่นต่อไป  พวกเขาอาจจะสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้...”

ไม่มีใครคาดว่าด้วยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของบุรุษหน้ากากผีจะทำให้เมืองจื่อจวนที่สงบสุขในตอนแรกปะทุขึ้นมาทันทีสถานการณ์ง่อนแง่นและโกรธแค้น ทุกคนในปัจจุบันนี้เก่งและฉลาดหลักแหลม แต่ชั่วขณะนั้นพวกเขาไม่รู้จะคาดหวังอะไร

เหตุการณ์ที่ลุกลามนี้ก่อให้เกิดเงาทะมึนครอบคลุมไปทั่วทั้งเมือง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด