ตอนที่ 706 ห้าตระกูลใหญ่เมืองจื่อจวน
เมื่อเห็นผิงเสี่ยวซานถูกมัดทั้งตัวและมีอะไรบางอย่างยัดใส่ปาก ถังเทียนตกใจ
“เขาแอบเข้ามา ข้าก็เลยมัดเขาไว้” หานปิงหนิงอธิบายทุกอย่างในประโยคเดียว
ถังเทียนรู้สึกมึนงง เขาเดินขึ้นไปและเอาผ้าที่ยัดอยู่ในปากผิงเสี่ยวซานออกและถาม “ข้าบอกเจ้าว่าอย่ากลับมาขโมยไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้ามาที่นี่อีก?”
ผิงเสี่ยวซานก้มหัวและพูดด้วยความเคารพ “ผู้น้อยอยากจะรับใช้นายท่าน”
“รับใช้ข้า?” ถังเทียนตกใจอีกครั้งเขามองดูผิงเสี่ยวซานอย่างสงสัยและถามขึ้นทันที “เจ้าเป็นหนี้เงินใครอยู่ข้างนอกหรือเปล่า?”
ผิงเสี่ยวซานมองดูสับสน ‘ก็ได้,ใครดันให้ข้าทำตัวเป็นขโมยในการพบกันครั้งแรกเล่า’ เขากัดฟันกล่าว “การต่อสู้ของนายท่านก่อนนั้นสร้างความตื่นตกใจไปทั้งเมือง สถานะนายท่านย่อมมีเกียรติและทรงพลังอย่างมากมายแน่นอน แต่ผู้น้อยมีทักษะที่ต่ำต้อย แต่ข้าเติบโตในเมืองจื่อจวนถ้านายท่านต้องการข้อมูลใดๆ ข้าน้อยสามารถหามาให้ท่านได้”
ถังเทียนตาสว่างโพลง ความจริงเขาต้องการได้คนท้องถิ่นมาช่วยเขา เขาเหมือนคนตาบอดต่อเรื่องราวของเมืองจื่อจวน แม้แต่หานปิงหนิงก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการเก็บรวบรวมข้อมูล ถ้าพวกเขาได้คนท้องถิ่นช่วยเหลืออย่างลับๆก็จะทำให้ประหยัดพลังไปมาก
“เนื่องจากเจ้าคุ้นเคยกับเมืองจื่อจวนใช่ไหม? งั้นบอกข้าได้ไหมตระกูลใดได้สหายของข้าไป?” ถังเทียนถาม
ผิงเสี่ยวซานได้พิจารณาด้วยตนเองอย่างรอบคอบก่อนจะมาแล้วและได้เตรียมการหลายอย่างไว้เป็นธรรมดา ถังเทียนไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองตั้งความหวังจะช่วยคนของเขานั่นก็คือหมายความว่ากำลังคิดช่วยพวกที่เหลือแน่นอน เรื่องตระกูลต่างๆเลือกเอาคนที่มาจากคลื่นซัดไม่ใช่ความลับในเมืองจื่อจวน ผิงเสี่ยวซานไปสืบดูและในเวลาอันรวดเร็วก็ได้รับข้อมูลที่เขาต้องการ
คำถามของถังเทียนบังเอิญตรงกับข้อมูลที่เขาเตรียมไว้พอดี เขาผ่อนคลายและใช้น้ำเสียงพูดด้วยความมั่นใจมากขึ้น “ก่อนที่จะมานี้ผู้น้อยได้ตรวจสอบดูแล้วจากพลังคลื่นที่ซัดมาครั้งล่าสุด เมืองนี้จับคนได้รวม 468 คนตระกูลฉินได้คนไปมากที่สุด 227 คน นอกจากนั้นเป็นตระกูลสวี่ 92 คน ตระกูลโรแลนด์ 65 คน ตระกูลโซเบท 42 คน ตระกูลอวี่ 40 คนที่เหลือก็เป็นนายท่านกับแม่นางหาน”
ตัวเลขที่ถูกต้องนี้ทำให้ถังเทียนเชื่อใจผิงเสี่ยวซานมากขึ้น
‘เขามีมาตรฐานอยู่บ้างจริงๆ’
จากนั้นถังเทียนถาม “ตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”
ผิงเสี่ยวซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ดีเท่าใดนัก ตอนนี้ตระกูลต่างๆกำลังแบ่งแยกกลุ่มคนของท่านที่ฝึกไม่ได้ และมีนิสัยหยิ่งผยอง พวกเขาจะต้องได้รับการขัดเกลาเพื่อให้เข้ากับตระกูลของพวกเขาให้ได้ ดังนั้นหลายคนถูกทรมานอยู่ในเรือนจำ ตระกูลต่างๆหวังว่าจะสามารถขัดเกลานิสัยของพวกเขาจนเข้ากับพวกเขาได้”
หน้าของถังเทียนหมองทันที และเขากำหมัดแน่น
เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขากลายเป็นมัจจุราชทันทีเปล่งรังสีฆ่าฟันที่น่ากลัว เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจ้องมองสัตว์ร้ายที่อันตรายและทำให้เขาหายใจไม่ออก
หานปิงหนิงอดมองดูถังเทียนไม่ได้ นางรู้สึกว่าถังเทียนแข็งแกร่งขึ้น
ทันใดนั้น รังสีอำมหิตหายไป ถังเทียนคิดว่าโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์
“ตระกูลใดเป็นเป้าหมายที่ง่ายที่สุด?” ถังเทียนไม่ปิดบังความคิดและถาม
แม้ว่าผิงเสี่ยวซานจะตัดสินใจเข้าร่วมมือกับถังเทียน แต่เขาไม่เคยคิดว่าถังเทียนจะเป็นคนตรงนักเขาสะดุ้ง หลังจากนั้นชั่วครู่เขาฝืนหัวเราะ “ไม่มีตระกูลใดที่เป็นเป้าหมายง่ายเลย”
เมื่อเห็นว่าถังเทียนไม่โกรธ เขาลอบสบายใจและรวบรวมความคิดของเขาจากนั้นเพิ่มเติม “เมืองจื่อจวนมีห้าตระกูลใหญ่ก็คือ ดุเหว่าม่วงตระกูลฉินตราประทับตระกูลสวี่ วารีไหลรินตระกูลโรแลนด์ฟีนิกซ์เพลิงตระกูลโซเบ็ท และองครักษ์เหล็กตระกูลมัวร์ ดุเหว่าม่วงตระกูลฉินแข็งแกร่งที่สุด บรรพบุรุษของพวกเขาคือพวกที่สร้างเมืองนี้ดังนั้นราชาเมืองจื่อจวนฉินเจิ้นก็คือบุคคลหมายเลขหนึ่งในเมืองจื่อจวนอย่างมิต้องสงสัย ไม่มีใครรู้จักพลังของฉินเจิ้นทั้งชีวิตของเขาแทบไม่ต้องทำงานใดๆ และยากที่ใครจะรู้เรื่องของเขา แต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว นอกจากฉินเจิ้นแล้ว ตระกูลฉินมีสี่ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดมีความสำเร็จยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนใดในสี่คนก็สามารถสนับสนุนตระกูลหนึ่งได้ เรื่องส่วนใหญ่ของตระกูลฉินจะถูกจัดการโดยสี่ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่นี้”
ถังเทียนฟังอย่างตั้งใจและอดทนอย่างมาก เขาไม่เคยดูเบาศัตรูของเขา
“ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสองก็คือตราประทับตระกูลสวี่ กฎธรรมชาติเป็นตายของตระกูลสวี่ได้ฝึกหนึ่งในสามกฎใหญ่นั่นคือกฎธรรมชาติเป็นตาย ทุกรุ่นของตระกูลสวี่จะมีอัจฉริยะพิเศษประมุขตระกูลสวี่รุ่นปัจจุบัน สวี่เย่อายุเพียง 24 ปี แต่พลังของเขายากจะหยั่งแต่ตระกูลสวี่ไม่ยุ่งกับกิจกรรมทางโลกมากนัก และไม่มีใครรู้ว่าเป็นผลมาจากการฝึกเคล็ดวิชากฎเป็นตาย แต่ประมุขตระกูลสวี่ทุกรุ่นจะไม่มีชีวิตยืนยาว และประมุขตระกูลที่แก่ที่สุดก็คือ 45 ปี แต่ตระกูลสวี่มีอัจฉริยะน่ากลัวหลายคน และเคล็ดวิชากฎเป็นตายมักจะมีผู้สืบทอดเสมอ”
“ในลำดับที่สามก็คือวารีไหลรินตระกูลโรแลนด์ ตระกูลโรแลนด์เป็นตระกูลที่ทรงเกียรติอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่แน่นอนพวกเขายังคงทำได้ดีกว่าตระกูลเซวียแขนเสื้อวารีของตระกูลโรแลนด์ขับเคลื่อนจากกฎธรรมชาติน้ำมีรูปแบบที่ยากจะรู้ได้เอาชนะความแข็งด้วยความอ่อนคนของตระกูลโรแลนด์เป็นศัตรูที่ทำให้คนอื่นปวดหัวได้มากที่สุด ความสามารถในการป้องกันของพวกเขาแข็งแกร่งมากจนกลายเป็นเรื่องน่ากลัวและแม้ว่าพลังของท่านจะเหนือกว่าพวกเขา ถ้าท่านต้องการเอาชนะพวกเขา จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ประมุขคนปัจจุบันของตระกูลโรแลนด์ก็คือโรแลนด์ ซู ในช่วงหลายปีมานี้ซาคงเลี่ยถูกแขนเสื้อน้ำของนางตัดขาด และเขากลายเป็นคนพิการไปในที่สุดและไม่กล้าย่างเท้าเข้ามาในเมืองจื่อจวนอีกเลย”
“อันดับที่สี่ก็มีตระกูลโซเบทกล่าวกันว่าฟีนิกซ์เพลิงของพวกเขาเกิดจากการรู้แจ้งของบรรพบุรุษของพวกเขาในกฎธรรมชาติของเพลิงห้าร้อยรูปแบบและได้ 13 รูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุด หลังจากผสานกับเพลิงสิบสามแบบนี้ทำให้พลังของมันไร้เทียมทาน ความสัมพันธ์ของพวกมันกับตระกูลโรแลนด์ไม่ค่อยดีนักเหมือนน้ำกับไฟ นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลโซเบทชื่อว่าวิคเตอร์ เขามีบุคลิกที่ชอบปล่อยตัววนเวียนเที่ยวซ่องนางโลม เขามีคุณสมบัติได้รับตำแหน่งประมุขตระกูล แต่การกระทำของเขามักชอบทำตามใจตัวเองทำให้ผู้อาวุโสตระกูลไม่พอใจเขา เขาไม่สนใจในเรื่องอำนาจ และชอบหาความเพลิดเพลินใจให้ตัวเอง ครั้งนี้เมื่อเบนสันแสดงพลังของเขา เขาคาดว่าวิคเตอร์จะตกไปอยู่อันดับที่ห้า”
“และอันดับที่ห้าก็คือตระกูลมัวร์”
เมื่อฟังมาถึงจุดนี้ หน้าของถังเทียนเปลี่ยนไปในที่สุด ก่อนนั้นเมื่อเขาคุยเกี่ยวกับพลังของพวกเขา แม้ว่าผิงเสี่ยวซานจะพูดว่าพวกเขามีพลังขนาดไหน แต่ว่าถังเทียนไม่รู้วิธีประเมิน จนกระทั่งเมื่อเขาพูดว่าตระกูลมัวร์อยู่อันดับที่ห้าทำให้เขาเปรียบเทียบได้ชัดเจนที่สุด
“องครักษ์เหล็กตระกูลมัวร์สืบทอดกันในตระกูลมัวร์ตามลำดับ มักจะมีกลุ่มคนผู้จงรักภักดีและองครักษ์เหล็กผู้มีจิตใจแน่วแน่คอยปกป้องตระกูลมัวร์อยู่เสมอ แต่ตระกูลมัวร์ในปัจจุบันตกต่ำมายาวนานมาก และองครักษ์เหล็กรุ่นปัจจุบันมีแต่เพียงเบนสัน ตระกูลมัวร์มีการสืบทอดมรดกที่ซับซ้อน แต่องครักษ์เหล็กมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างออกไป ตั้งแต่ยังเยาว์วัยเบนสันได้เดินทางผจญภัยไปกว้างไกลและจากนั้นจึงค่อยกลับมาตระกูลมัวร์ เมื่อกลับมาเขาช่วยให้สถานะและอำนาจของตระกูลมัวร์มั่นคง องครักษ์เหล็กตระกูลมัวร์ภักดีและเสียสละกันทุกคนทำให้เป็นที่อิจฉาของตระกูลอื่น เบนสันฝึกวิชาดาบสายลม แต่ข้าไม่คาดเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้าคาดว่าสถานการณ์โดยรวมจะเปลี่ยนไปในไม่ช้า”
“เบนสันหน้าดำถูกจัดเป็นอันดับที่ห้าเองหรือ?” หน้าของถังเทียนดูไม่ค่อยดี
ผิงเสี่ยวซานพูดจนกระทั่งคอแห้ง เขาผงกศีรษะ “ถูกแล้ว ลำดับนี้ถูกจัดลงตัวมานานแล้ว เป็นบางอย่างที่ทุกคนเห็นด้วย”
ถังเทียนรู้จักพลังบุรุษผิวเข้ม แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จชิงตัวหานปิงหนิงมาได้แต่นั่นเป็นอุบัติเหตุล้วนๆ ถ้าเป็นการต่อสู้เดิมพันชีวิต ด้วยความสามารถปัจจุบันของถังเทียนเขาไม่มีโอกาสชนะ
‘บุรุษที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเป็นอันดับที่ห้าในเมืองจื่อจวนเอง!’
‘และหน่วยสุญญตาบังเอิญต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของสี่ตระกูลนี้จะช่วยพวกเขาได้ทั้งหมด ขาต้องสู้ผ่านนักสู้ที่แข็งแกร่งทั้งสี่ไปให้ได้’
ถังเทียนสูดหายใจลึกและจิตใจของเขาสงบลงอีกครั้ง และตาของเขาเป็นประกายมุ่งมั่น
‘จะยอมสูญเสียปณิธานเพียงเพราะพวกเขาแกร่งกว่าเจ้าน่ะหรือ? ตลกสิ้นดี,เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับหนุ่มชาวฟ้าด้วยหรือ? ทุกคนบอกว่าจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว แค่มีความคิดยอมแพ้ก็ถือเป็นความขี้ขลาดแล้ว!’
‘เจ้าสามารถทำได้ เจ้าสามารถช่วยทุกคนได้แน่!’
‘และด้วยฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งมากมาย นั่นยิ่งน่าตื่นเต้นใหญ่ แค่คิดถึงพวกเขาก็ยิ่งทำให้ข้าเลือดลมเดือดพล่านแล้ว’
‘ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น!’
‘มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ข้าจึงจะช่วยคนอื่นได้!’
ผิงเสี่ยวซานสังเกตว่าถังเทียนไม่ได้ท้อแท้แม้แต่น้อย แต่กลับกระตือรือร้นมากขึ้น เขารู้สึกชื่นชม แม้ว่าถังเทียนจะค่อนข้างแปลกเป็นบางครั้ง แต่พลังใจของเขาเป็นสิ่งที่เขาไม่แพ้ใคร พลังใจอาจดูเหมือนไม่มีอะไรสำหรับหลายๆ คน แต่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายและโหดร้ายของแดนบาป ผู้ที่ขาดแคลนพลังใจไม่มีทางเอาตัวรอดได้ และนั่นคือเหตุผลที่ประเมินวิคเตอร์ไว้ต่ำ
“เจ้าต้องการสิ่งใด?” ตาของถังเทียนแวววาวขณะที่เขาจ้องมองผิงเสี่ยวซาน ‘เขารู้ว่าข้ากำลังทำเรื่องอันตรายมาก แต่ก็ยังต้องการร่วมมือกับข้า ดังนั้นเขาต้องการบางอย่าง’
ผิงเสี่ยวซานพูดความจริง “ข้าต้องการเรียนรู้วิธีที่นายท่านใช้กฎธรรมชาติอวกาศเพื่อโจมตีและป้องกัน”
ถังเทียนประหลาดใจ, เขาลูบศีรษะ “การสอนเจ้าเป็นเรื่องง่าย แต่ข้าทำความเข้าใจและหยิบมาใช้ขณะต่อสู้กับเบนสัน หลังจากข้าค้นคว้าและศึกษาให้ดีก่อนสักสองสามวันหลังจากนั้นจึงค่อยสอนให้เจ้า”
ถังเทียนเป็นคนตรงและเปิดเผย เขาไม่ชอบเอาเปรียบผู้คน ผิงเสี่ยวซานช่วยเขาดังนั้นเขาไม่ต้องการจะหลอกเขา
ผิงเสี่ยวซานซาบซึ้งดีใจ “ขอบคุณนายท่าน!”
“อย่าเปิดเผยสถานะของตัวเจ้า” ถังเทียนเตือนเขา “ดังนั้นเราจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า”
ผิงเสี่ยวซานตกใจ เขาไม่เคยคิดว่าถังเทียนจะพูดคำพูดอย่างนั้นออกมา
เมื่อเห็นว่าผิงเสี่ยวซานตกใจ ถังเทียนคิดว่าเขาไม่เข้าใจ จึงรีบอธิบาย “เผื่อว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา พวกเขาจะได้ไม่ทำอะไรเจ้า” จากนั้นเขานึกอะไรบางอย่างได้ “เอ เอ่อ .. ข้าพูดอะไรไปล่ะนี่..ปากไม่ดีเลย ไม่ ไม่ พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้ข้าทั้งหมด! หนุ่มชาวฟ้าจะเอาชนะพวกเขาให้ได้ทั้งหมดและช่วยทุกคนออกมา!’
ผิงเสี่ยวซานรู้สึกชื่นใจ เขามักจะอยู่ในสภาพระมัดระวังตัวเสมอ และเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้มันเตือนให้เขานึกถึงโลกที่มีความเมตตา แต่โลกก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
เขาคิดเล็กน้อย “ถ้านายท่านต้องการลงมือ ทำไมไม่เริ่มจากวิคเตอร์ วิคเตอร์คือคนที่รักสนุกและผิดธรรมดา เขามักจะเอาแต่สนุกสนานหาความเพลิดเพลินไปวันๆ ถ้าเราโค่นล้มเขาได้และใช้เขาเป็นตัวประกันบังคับให้ตระกูลโซเบทตกลงยินยอมปล่อยตัวคนของท่าน”
“ไม่!” ถังเทียนส่ายศีรษะ “ข้าพบเป้าหมายของข้าแล้ว”
ผิงเสี่ยวซานตกใจอยู่ชั่วครู่ “นายท่าน ท่านพูดถึงใคร?”
หานปิงหนิงอดมองมาไม่ได้
“เบนสัน!” ถังเทียนยิ้มจนเห็นฟัน
“แต่ตระกูลมัวร์ไม่ได้มีสหายของท่านอยู่อีกแล้ว...” ผิงเสี่ยวซานไม่เข้าใจ
“เจ้าต้องการเหตุผลในการต่อสู้ด้วยหรือ?”ดวงตาของถังเทียนเป็นประกายแสงเจิดจ้า ปัจจุบันเขาเป็นเหมือนกองไฟที่ลุกโหม “ใครจะเป็นคู่หูฝึกฝนได้ดีไปกว่าเบนสันเล่า? ข้าได้รับประโยชน์มากมายจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด ข้าต้องการท้าเบนสัน!”
“ข้าต้องการดึงเอาทุกอย่างออกมาจากเขา!” ถังเทียนพูดอย่างห้าวหาญ
หานปิงหนิงตาเป็นประกายเจิดจ้าและโพล่งออกมา “เติบโตผ่านการสู้รบ!”
ผิงเสี่ยวซานตะลึง