ตอนที่ 701 การรู้แจ้งที่ถนนตะวันตก
ด้านบนของป้อมปราการ ในที่สุดใบหน้าสงบของดารินเปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก
หัวหน้าฮั่วและองครักษ์คนอื่นนางพามาด้วยตนเอง นางรู้ความแข็งแกร่งของพวกเขาราวกับหลังมือของนางเอง และยังคิดว่าการประสานพลังของพวกเขาทรงพลัง และพลังความแข็งแกร่งของพวกเขาโดดเด่น ดังนั้นจึงไว้ใจให้พวกเขารับหน้าที่สำคัญ แต่ทั้งห้าคนทั้งที่ร่วมมือโจมตีกันก็ยังไม่สามารถรับการโจมตีจากอีกฝ่ายได้แม้แต่ครั้งเดียว....
นักสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไม่ใช่คนที่ไร้ชื่อเสียงเป็นแน่!
‘หน่วยสุญญตาหมีใหญ่ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อพวกเขามาก่อน? พวกเขามาจากดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือ?’ หน้าของดารินเปลี่ยน นางลอบส่ายศีรษะ เซียนทองของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ พลังจะสูญสลายไปในแดนบาป
แดนบาปคือสถานที่เนรเทศอย่างแท้จริง
‘อย่างนั้นพวกเขาเป็นใคร?’
นางมองดูหานปิงหนิงอีกครั้งหนึ่ง หานปิงหนิงยังคงมีสีหน้าสงบ แต่ตาของนางไม่เคยละไปจากหน้ากากผีแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อสายตาดารินมองดูแววตาของหานปิงหนิง สภาพจิตใจของนางสั่นสะท้าน ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหานปิงหนิงดูเฉยเมยเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งโดยเฉพาะตาของนางเหมือนน้ำแข็งแก้วผลึกที่ไม่เผยความภูมิใจหรืออารมณ์ใดๆ ตอนนี้เหมือนกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าและอบอุ่น
‘พวกเขาเข้ากันได้ขนาดนี้หรือนี่’ ดารินขบริมฝีปาก นางไม่ยอมรับสถานการณ์ที่เป็นไป
ตระกูลของนางเคยมีสายโยงใยกับขุนนาง และไม่ว่าพวกเขาจะตกต่ำมากเพียงไหน ความหยิ่งในสายเลือดและกระดูกไม่เคยจางหายไป
‘พวกเจ้าต้องการให้ข้าส่งมอบนางให้ใช่ไหม, ไม่ง่ายนักหรอก!’
ดารินหันหน้ากลับ นางมองไปที่บุรุษร่างใหญ่หน้าคล้ำ เขาพยักหน้าและออกไปเงียบๆ
*************
เนื่องจากเขาต้องลงมือ ถังเทียนไม่เคยคิดจะผ่อนออมแรงเลย
ขณะเดินไปตามถนนสายตะวันตกเขาไม่สนใจเสียงครวญครางที่อยู่ด้านหลังของเขาลมที่พัดหวิวเหมือนกับเสียงเป่าแตรเบาๆ ไม้ดอกหวายสีม่วงตามรายทางพัดเอนเหมือนกับธงศึกโบกสะบัด
นั่นคือสนามรบของเขา
ไม่มีความขลาดกลัว ไม่มีถอยไม่มีเสียสมาธิ ถังเทียนมองอยู่แต่เพียงธงดำโบกสะบัดอยู่ในสายตาเขา ราวกับว่าความต้องการสู้เผาไหม้ผสมผสานอยู่ในเลือดของเขา ร่างของเขากระสับกระส่ายอย่างมาก
ความเร็วของเขาไม่เร็วไม่ช้าเหมือนกับจังหวะเต้นของหัวใจเขา มั่นคงแข็งแรงเหมือนกลองศึกก่อนเริ่มสงคราม ไม่รีบร้อนหรืออ่อนโยน แต่รอบคอบและทรงพลัง เส้นเลือดของเขาเริ่มขยายและเลือดของเขาเริ่มเดือด
เป็นความเข้มข้นที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้สัญชาตญาณของถังเทียนทะยานคมชัดมากเป็นประวัติการณ์ ความรู้สึกที่เฉียบพลันนี้ทำให้เขาจมอยู่ในโลกที่ลึกลับ
ใช่แล้วสำหรับคนอื่นแดนบาปคือแผ่นดินแห่งการเนรเทศ แต่ในสายตาของเขา มันคือแผ่นดินสมบัติ
สวรรค์วิถีคือสถานที่ทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจกฎธรรมชาติได้ง่ายกว่าดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ และมีพลังงานเบาบางกว่ามาก ดังนั้นกฎธรรมชาติจึงผุดรู้ขึ้นมาได้ง่ายมาก แต่ในแดนบาปซึ่งเป็นสถานที่ไม่มีพลังที่อยู่ต่อหน้าเขา พลเมืองส่วนใหญ่ในแดนบาปรู้แจ้งกฎธรรมชาติได้ง่าย เพราะเข้าใจกฎธรรมชาติได้ง่ายมากเมื่อเทียบกับที่อื่น
แผ่นดินที่เต็มไปด้วยกฎธรรมชาติซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากทะเลกฎธรรมชาติในลูกปัดข่มพลัง กฎธรรมชาติเหล่านี้จริงจังและไม่สม่ำเสมอและวุ่นวายมาก แต่ขณะเดียวกันกลับมั่นคงและมีสมดุลมากกว่า
‘ผู้อาวุโสกุ่ยอู๋ต้องไม่คาดคิดเป็นแน่ว่าจะมีสถานที่อย่างแดนบาป’
ถังเทียนจมอยู่กับสภาวะลึกลับที่อธิบายไม่ได้ ร่างของเขากำลังเดือดความคิดจะต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นจนร่างกายสั่น แต่สภาพใจเช่นนี้ของเขาถูกปล่อยวาง เขาเข้าใจและสะท้อนถึงทะเลกฎธรรมชาติแท้จริง เขาเป็นเหมือนปลากำลังแหวกว่ายในมหาสมุทรด้วยความยินดีอย่างอธิบายไม่ถูก
ดูเหมือนมีบางอย่างที่กระสับกระส่ายอยู่ในตัวของเขา
ถังเทียนลืมทุกอย่าง เขาจมอยู่ในทะเลกฎธรรมชาตินี้ กฎธรรมชาติทั้งหมดอยู่ในสภาพดั้งเดิม แก่นที่สำคัญที่สุดปรากฏออกมาต่อหน้าเขา
ทุกๆ ย่างก้าวของเขา เขาจะรู้แจ้งบางอย่าง
ทุกๆ ย่างก้าวของเขาเขาจะได้รับบางสิ่งบางอย่าง
ถังเทียนจมอยู่ในโลกของกฎธรรมชาติและลืมสถานการณ์ด้านนอกไปอย่างสิ้นเชิง และลืมการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่นี้ด้วย
อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
เขาจะรู้สึกได้อย่างเลือนรางทันทีสร้างอิทธิพลได้ทันที เป็นเหมือนสายลมได้ฉับพลัน เขากลายเป็นเหมือนไอน้ำที่หนาแน่นกลายเป็นเยือกเย็นชา เป็นเหมือนหอกที่แหลมคม
ทุกย่างก้าวของเขามีการเปลี่ยนแปลง
ทุกย่างก้าวจะทำให้ทุกคนมองเขาด้วยความรู้สึกผิดปกติ บุรุษหน้ากากผีที่เดินหน้าช้าๆกลายเป็นคนได้หลายรูปแบบ
ทุกคนเคยเห็นภาพประหลาดแบบนี้มาแต่เมื่อใดกัน? ในถนนที่กว้างใหญ่นั้นเงียบกริบแม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยิน
ผิงเสี่ยวซานอ้าปากกว้างโดยไม่มียั้ง
การอาศัยอยู่ในแดนบาปไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสังคมระดับล่าง พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มีคุณสมบัติเพื่อมีชีวิตรอด เขาเองได้ผ่านมาแล้วทั้งหมดและได้เห็นโลกตามความเป็นจริงมานานแล้ว เขาไม่ได้เหลวไหลและเป็นผู้มีความรู้ แต่ทุกอย่างที่เขาเห็นประจักษ์อยู่นี้กำลังทลายสามัญสำนึกทั้งหมดของเขา
เมื่อถังเทียนคว้าหอกเพลิงแดงก่อนนั้น เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าฝ่ามือถังเทียนนั้นพร่าเลือน
ถ้าเราบอกว่าการซัดวัตถุของถังเทียนทำให้ผิงเสี่ยวซานตะลึง อย่างนั้นการคว้าจับของถังเทียนถึงกับทำให้เขาปัญญาอ่อนไปเลย
อากาศและอวกาศไม่เพียงแต่ใช้หลบหนีได้แต่สามารถใช้โจมตีและป้องกันได้ หอกเพลิงแดงที่สามารถเผาผลาญอะไรก็ได้ แต่กลับไม่สามารถเผาไหม้ผ่านอากาศได้ อวกาศที่พร่าเลือนรอบมือของถังเทียนที่ใช้คว้าจับตัวหอกมีชั้นอากาศเบาบาง
‘อัจฉริยะ,เขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง!’
หลังจากคืนที่เรียนรู้วิชาพรางตัวตระกูลผิงแล้ว ความจริงการปลดปล่อยกฎธรรมมชาติอวกาศจนถึงระดับเหลือเชื่อ ยิ่งทำให้ผิงเสี่ยวซานตกใจมากยิ่งกว่า ผิงเสี่ยวซานตื่นเต้นและปลาบปลื้ม แค่เพียงการซัดวัตถุและคว้าจับ แต่ก็ทำให้ผิงเสี่ยวซานสามารถเห็นศักยภาพที่แท้จริงของวิชาพรางตัวของตระกูลผิงของเขา
แต่ความเปลี่ยนแปลงต่อไปของถังเทียนทำให้ผิงเสี่ยวซานตะลึงอย่างสิ้นเชิง
‘เกิด...กะ..เกิดอะไรขึ้น...’
‘คนผู้หนึ่งเปลี่ยนแปลงได้มากมายหลายครั้งขนาดนั้นได้ยังไง?’
บุรุษผิวดำร่างใหญ่ที่เดินออกมาจากป้อมปราการชะงักอยู่ในท่าก้าวประกายเหลือเชื่อและตกใจวูบผ่านในดวงตาเขา ‘เขากำลังรู้แจ้งขณะก้าวเดินจริงๆ!’
‘ห้าวหาญนัก!’
เขาหายใจลึก แววตกใจในดวงตาของเขาหายไป และความมุ่งมั่นดุร้ายเข้ามาแทนที่ เขาพบอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์มามาก ขณะเดียวกันก็รู้ว่านักสู้ฝึกฝนมาอย่างหนัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับจิตวิญญาณที่กล้าหาญที่รู้แจ้งกฎธรรมชาติขณะอยู่ในระหว่างสู้รบ
เพราะเหตุผลบางอย่างอารมณ์และกลิ่นอายที่บุรุษหน้ากากผีเปล่งออกมายังคงเปลี่ยนและหายไป
สิ่งที่เข้ามาแทนคือความรู้สึกไม่ไม่ถอดถอยความสิ้นหวังที่จะชนะหรือตาย ทนต่อการพ่ายแพ้ไม่ได้ ยอมตายดีกว่ายอมแพ้
‘เขาอยู่ในสถานะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหรือ?’
บุรุษหน้าดำพลันสงบลง แต่ใจของเขายังเต็มไปด้วยความตื่นตัว
‘ข้าไม่เคยเห็นคนดุร้ายอย่างเจ้ามาก่อนเลย คนที่ไม่มีถอย บุรุษที่เชื่อมั่นขนาดนั้น บุรุษที่แสวงหาชัยชนะอย่างกระตือรือร้น...’
‘คนบ้าระห่ำอย่างแท้จริง!”
‘ถ้าบุรุษผู้นี้ไม่ตาย ข้าไม่สามารถเป็นศัตรูของเขาได้แน่’
ทันใดนั้ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของเขา
เขาสูดหายใจลึก ข่มความคิดไว้ในหัว สายตาของเขากลับคืนสู่ความสงบ ความบ้าระห่ำและจิตตานุภาพที่สูงล้ำทำให้เขารู้สึกนับถือเขาลึกๆ
แต่ไม่ว่ายังไงเขาไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีแม่นางดารินถูกย่ำยี
นี่คือความมุ่งมั่นของเขา!
เขากระโจนลงมายืนอยู่ต่อหน้าของถังเทียน
เมื่อบุรุษหน้าดำร่างใหญ่ปรากฏอยู่บนถนน สร้างเสียงฮือฮาตื่นเต้นตามมา
ตระกูลของแม่นางดารินก็คือตระกูลมัวร์ และบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นราชตระกูลทวีปฟาร์ พวกเขาถูกเนรเทศเข้ามาในแดนบาป และองครักษ์เหล็กที่ปกป้องราชตระกูลปฏิเสธการเข้าร่วมกับทวีปกวงหมิง และเลือกจะเข้าแดนบาปเพื่อปกป้องตระกูลมัวร์ต่อไปทั้งที่ไม่ได้เป็นราชตระกูลต่อไปแล้ว
เบนสันคือองครักษ์เหล็กรุ่นปัจจุบันที่คอยปกป้องดาริน
องครักษ์เหล็กของตระกูลมัวร์มีชื่อเสียง หลังจากเข้าสู่แดนบาป ตระกูลมัวร์ไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก พวกเขาต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนและองครักษ์เหล็กจะคอยสู้เบิกทางให้พวกเขา กลุ่มของราชตระกูลและองครักษ์เหล็กผู้ไม่หวั่นไหวค่อยๆทรุดโทรมเหี่ยวแห้งและทั้งหมดที่เหลือก็คือเบนสัน
แต่ไม่มีใครเคยมีความคิดจะต่อสู้กับตระกูลมัวร์
เบนสันได้รับการจัดอันดับว่าเป็นตำนานตั้งแต่อายุน้อย เขาได้รับการตัดสินอย่างหนักหน่วง ตอนอายุสิบสี่ปี เขาเที่ยวไปตามลำพังเพื่อต่อสู้ในหลายเมืองของแดนบาปบุกตะลุยไปตลอดเส้นทางจนได้รับขนานนามว่าเบนสันหน้าดำ เขากลับมาที่ตระกูลมัวร์ตอนอายุยี่สิบสองปีและรับตำแหน่งองครักษ์เหล็ก
ในเวลานั้นตระกูลมัวร์ไม่ค่อยมั่นคง และเมื่อพวกเขาประกาศว่าเบนสันจะเข้าร่วมกับตระกูลและรับตำแหน่งองครักษ์เหล็ก ทำให้พวกเขามั่นคงทันที
พอเวลานั้นดารินก็ถือกำเนิด เขาดูดารินเติบโตและปกป้องนางมาตลอด
หลังจากนั้น ตระกูลมัวร์ก็ไม่มีการสู้รบใดๆอีกเลยและหยุดความตกต่ำไว้ได้ กลายเป็นตระกูลรุ่งเรืองเช่นคืนวันที่ผ่านมา
เมื่อยอดฝีมือหมายเลขหนึ่งของตระกูลมัวร์ปรากฏตัวจึงทำให้ทุกคนตื่นเต้นทันที เบนสันผู้ลือชื่อมีชื่อเสียงเมื่อ 24 ปีที่แล้วตลอดยี่สิบสี่ปีก็ปิดประตูฝึกฝนฝีมือตลอด ดังนั้นไม่มีใครกล้ายืนยันพลังแข็งแกร่งปัจจุบันของเขา ในช่วง 24 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครเห็นเบนสันเคลื่อนไหว เนื่องจากเขายืนอยู่เคียงข้างดารินตลอดไปในฐานะเงาที่ไม่หวั่นไหว
ตระกูลต่างๆในเมืองจื่อจวนมียอดฝีมือมากมาย แต่พวกเขาไม่มีทางกล้าดูถูกเบนสัน
“เอ๋,รัศมีนั่น! เป็นเบนสันหน้าดำนี่!”
ในมุมหนึ่งของเมืองจื่อจวน ภายในห้องมืด บุรุษคนหนึ่งสวมชุดหรูหราอุทานสีหน้าเขาเปลี่ยนเล็กน้อย และเขาหายไปทันที
“เอ๋? ตระกูลมัวร์? เขาลงมือจนได้หรือนี่?
ในกระท่อมฟาง บุรุษผมยาวยืนขึ้นและหงายฝ่ามือเผียะ กระบี่เล่มหนึ่งลอยวืดเข้ามาในฝ่ามือของเขาก่อนที่เขาจะทะยานออกไป
เมื่อมองดูจากท้องฟ้า ทุกคนสามารถเห็นร่างต่างๆ บินมาจากตำแหน่งต่างๆของเมืองจื่อจวนด้วยความเร็วน่าประหลาดใจมุ่งสู่ป้อมมัวร์
ต่างจากคนที่เหลือผิงเสี่ยวซานหน้าซีดขาว เบนสันหน้าดำยอดฝีมือที่ไม่เคยปรากฏตัวเกินกว่ายี่สิบปีถึงกลับเคลื่อนไหวจริงๆ!
‘หนีเร็ว...’
‘จบกัน.. มันจบแล้ว, วิชาพรางตัวของตระกูลผิงของข้า...’
มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ หน้าของเขาขาวซีด
ถังเทียนรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหน้าเขาเขาตื่นตัวทันที และออกจากสภาวะลึกลับ เขาลังเลและต้องการจะฝึกต่อสามารถอยู่ในสภาวะรู้แจ้งที่ลึกลับนั้นได้ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายหลังจากนั้น ถ้าเขาสามารถคงอยู่ได้ต่อไปประโยชน์ที่ตามมาจะมีมาก
แต่เขารู้ว่ามันคือสนามรบ และไม่ใช่สถานที่เหมาะสมกับการรับประโยชน์
สายตาของเขามองไปที่เบนสัน ความตั้งใจสู้ที่เดือดอยู่ในร่างของเขาแต่ข่มเอาไว้ระหว่างที่ใจอยู่ในสภาพรู้แจ้งสูญเสียการควบคุมทันทีและระเบิดออกเหมือนภูเขาไฟ ตาของถังเทียนแดงทันที เจตนาต้องการสู้พลุ่งพล่านกลบกลืนความสงบเพียงส่วนเสี้ยวของเขาทันที
“ถ้าเจ้าสามารถทำได้....”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ รัศมีของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป
‘ถ้าข้าไม่สามารถรู้แจ้งได้ต่อไป อย่างนั้นข้าจะรับเอาไว้ผ่านการต่อสู้!’
‘ถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการปล่อยสหายของข้า, ข้าจะซัดพวกเจ้าจนกว่าพวกเจ้าจะยอมคืน!’
ม่านตาของถังเทียนขยายตัว ขาซ้ายของเขาเตะออกทันที และอากาศข้างหน้าเขาระเบิดออก
ในระลอกระเบิดของอากาศ ร่างของถังเทียนหายไปทันที