ตอนที่ 700 คืนสหายให้ข้า
ภายในป้อม
ดารินกล่าว “เขามีเพียงคนเดียว แต่เขาสามารถสร้างบรรยากาศที่น่ากลัวอย่างนั้นได้ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหน่วยสุญญตาหมีใหญ่นี้มาก่อน แต่ข้าบอกได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา! เขาคือผู้บัญชาการของเจ้าใช่ไหม?”
(ขอเปลี่ยนชื่อต้าหลิน เป็น ดารินนะครับตระกูลนี้ชื่อจะออกเป็นฝรั่งหน่อย ดาริน มัวร์)
นางรูปร่างสูงใหญ่และผิวขาวตาสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลผมสีทองเกล้ามวยมีแววหยิ่ง นางอายุเพียง 24 ปีแต่ฉลาดมากและเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ และนางเป็นคนที่ซื้อหานปิงหนิงมา
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานางเข้าใจบุคลิกของหานปิงหนิง
หานปิงหนิงไม่พูด แต่นางไม่ได้ฝืนบังคับและยังคงพูดต่อ “เขารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม? อาจจะใช่ก็ได้ ข้าคิดว่าหน่วยสุญญตาหมีใหญ่ของเจ้ามีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียว ตราบใดที่เขาสืบสาวเพียงเล็กน้อยเขาจะรู้ที่ซึ่งเจ้าอยู่เป็นธรรมดา”
หานปิงหนิงยังคงเงียบ สายตาของนางพร่าเลือนขณะที่ความทรงจำทั้งหมดผุดขึ้นมาในใจนาง
นางพบถังเทียนครั้งแรกที่บึงหยกทะเลไผ่ ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของถังเทียนและร่างเขาที่กระโจนเล่นงานแรดเหล็กเกราะหมึกด้วยมือเปล่าเส้นเลือดของเขาขยายขณะที่เขาอยู่ในสภาวะคลั่งความรู้สึกเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
‘บุรุษที่ข้ามักไล่ตามเขาอยู่เสมอ ข้ามักจะเห็นหลังเขาอยู่เสมอ’
“ท่านปล่อยข้าตอนนี้จะดีที่สุด” ทันใดนั้นหานปิงหนิงพูดบ้างบนหลังของนางมีเข็มแสงเล่มหนึ่งปักอยู่ที่สันหลังของนาง
“เหรอ?” ดารินมองดูหานปิงหนิงอย่างประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าเจ้ามั่นใจในตัวเขานะ”
“เขาไม่เคยแพ้” หานปิงหนิงเชิดคางนาง คำพูดของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
เพราะเขาเป็นบุรุษที่นางติดตามอยู่เสมอ คนนับไม่ถ้วนยินดีต่อสู้เพื่อเขาและยินดีสละเลือดเพื่อเขา ตราบใดที่เขาชูธงคนนับไม่ถ้วนจะวิ่งตะลุยไปข้างหน้ายอมสละชีวิตเพื่อเขา ตราบเท่าที่เขาเป่าแตรศึก วีรบุรุษจะมารวมตัวกัน
บุรุษหนุ่มผู้มีจิตวิญญาณสูงส่ง คือราชาของพวกเขา!
หานปิงหนิงไม่เคยพูดคำเหล่านั้นมาก่อน นางไม่ต้องการอธิบายอะไร
ดารินไม่ใช่คนโง่ แต่กลับเข้าใจแทน นางสามารถรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจในตัวหานปิงหนิง ความภูมิใจซื่อสัตย์อย่างลึกซึ้งภายใต้บุคลิกเช่นนั้น
“ดูเหมือนนางจะถูกจับเป็นเชลย”
ถังเทียนพึมพำ เสียงของเขาไม่ดัง แต่คำของเขาผสานกับเสียงธงสะบัดและก้องไปทั้งซอกมุม ความไม่แยแสต่อความไม่สงบของเขาก็เหมือนความสงบก่อนพายุจะมาแรงกดดันที่เงียบครอบคลุมไปทั้งสถานที่
หน้าของดารินขรึม ยิ่งอีกฝ่ายไร้กังวลคำพูดก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
บุรุษหน้ากากผีหันมาทางนาง ทำให้ดารินไม่แน่ใจว่าเป็นภาพหลอนของนางหรือไม่
ใบหน้าหลังหน้ากากของถังเทียนแค่ ไม่ต้องการจะเสียเวลาพูดต่อไป เขายื่นมือออกและคว้าธง นิ้วทั้งห้าของเขากำคันธงแน่น ผลัวะธงถูกถอนออกมาจากพื้น
สายตาของเขามองดูที่ป้อม ใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากเลียริมฝีปาก ‘ไกลไปหน่อย ฮึ่ม..’
สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที เจตนาต่อสู้ที่ถูกข่มไว้ตอนเริ่มต้นประกอบความคิดแง่ร้ายพลุ่งพล่านอยู่ในใจเหมือนลาวาเดือดที่เผาผลาญหินบางชั้นสุดท้ายลาวาก็ปะทุออกมา
จู่ๆ ใจของเขาก็มีความคิดพิเรนอยู่อย่างหนึ่ง... ‘วิชาพรางตัวตระกูลผิงข้าได้เรียนมาแล้ว’
พอคิดได้เช่นนั้นร่างของถังเทียนเคลื่อนไหวทันที ร่างที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมพลันเปลี่ยนเป็นเลือนราง
ไม่มีใครเห็นความเคลื่อนไหวของเขา เขากระพริบและร่างของเขาพร่าเลือนหายไปทันที เขากลับมายืนที่ตำแหน่งเดิมเหมือนว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหว
บึ้ม!
เสียงดังระเบิดออกมาเหมือนกับตีกลองทุ้มใบใหญ่เสียงดังมากสั่นสะท้านหัวใจทุกคน
ประตูใหญ่หน้าป้อมเริ่มมีรอยร้าวรูปใยแมงมุมตรงกลางรอยร้าวเป็นธงดำ ธงดำคลี่ออก ภาพหมีโลหิตดูน่าตลก แต่ไม่มีใครหัวเราะการเคลื่อนไหวของถังเทียนทำให้ทุกคนตกตะลึง
ไม่มีใครเห็นความเคลื่อนไหวของถังเทียน แต่เห็นแต่อากาศรอบตัวเขาเลือนรางเล็กน้อย
สิ่งที่น่าทึ่งมากกว่าก็คือไม่มีเสียงเคลื่อนไหวในอากาศ ไม่มีหวีดหวิวที่เกิดจากความเร็ว อากาศไม่มีอาการปั่นป่วน ธงหมีดูเหมือนหายวับและไปปรากฏที่ประตูใหญ่แทน
ผิงเสี่ยวซานผู้ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้คนมองดูธงหมีอย่างว่างเปล่า หน้าของเขาไม่มีสีเลือด
‘บุรุษที่สวมหน้ากากผี...’
ตอนแรกเขาสงสัยว่าจะเป็นคนเดียวกับที่สู้กับเขาในคืนก่อนเพราะลักษณะกายภาพของเขาคล้ายกันมาก แต่เมื่อถังเทียนเคลื่อนไหวพร้อมกับธง เขายืนยันความสงสัยของเขาทันที แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาไม่สบายใจ กลับทำให้เขากลัวจนบอกไม่ถูก เขาตกใจไปหมดจนจิตใจว่างเปล่า
การซัดนั่นทำโดยใช้กฎธรรมชาติอวกาศ และมันคือกฎธรรมชาติอวกาศของวิชาพรางของตระกูลผิง
ถ้าไม่ใช่เพราะผิงเสี่ยวซานคุ้นเคยมากกับการเคลื่อนไหวที่เลือนรางนั้นเขาจะไม่เชื่อตาตัวเองเลย อีกฝ่ายได้รวมเอากฎธรรมชาติอวกาศของวิชาพรางตระกูลผิงใช้เป็นวิชาฝีมือของตนเอง
วิชาพรางตัวตระกูลผิงเปลี่ยนผ่านมาหลายชั่วคน แต่ไม่มีใครที่รู้แจ้งกฎธรรมชาติอวกาศในวิชาที่ใช้โจมตีเลย กฎอวกาศที่ตระกูลผิงรู้แจ้งใช้แต่ลักลอบและปกปิดและนั่นคือสาเหตุที่สามชั่วคนตระกูลผิงค่อยๆ สูญหายไป ไม่มีความสามารถต่อสู้ ก็ยากจะเอาตัวรอดในแดนบาปได้
‘อุดมคติและความหวังของตระกูลผิงได้ปรากฏอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่นและอยู่ต่อหน้าข้า และเขาเพิ่งจะได้เรียนรู้เมื่อคืนนี้...’
ผลกระทบที่ผิงเสี่ยวซานได้รับมันทุกข์ทนจนพูดไม่ออก
ทั้งถนนสายตะวันตกเงียบไปโดยสิ้นเชิง
ถังเทียนลบเลือนความคิดเหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง การเคลื่อนไหวนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาคิดว่าระยะห่างจะป้อมปราการไกลเกินไปและการขว้างปกติยากจะถูกได้
ในท่ามกลางความเงียบเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา บุรุษหนุ่มหน้ากากผีเดินตรงไปที่ป้อมปราการ
องครักษ์ที่คุ้มกันสถานที่ถอยหลังโดยไม่รู้ตัวหัวหน้าองครักษ์เป็นคนแรกที่ตั้งตัวได้ทัน แม้ว่าเขาจะกลัว แต่เขาไม่ลืมหน้าที่ของเขา เขาข่มความกลัวในใจของเขาและก้าวออกมาหนึ่งก้าว และพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ท่าน....”
“มอบสหายข้ามา”
เสียงที่สงบอู้อี้ดังออกมาจากหลังหน้ากาก ร่างกายท่อนบนของบุรุษหน้ากากผีไม่ได้ขยับ การก้าวเท้าของเขาเป็นไปอย่างสบาย แต่ทุกย่างก้าวทำให้หัวใจของทุกคนตึงเครียด
“พ่อหนุ่ม,เข้าใจอะไรผิดไปแล้ว..” องครักษ์มากประสบการณ์และรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะยอมรับกันง่ายๆ
“คืนสหายข้ามา”
เสียงราบเรียบดังออกมาอีกครั้ง ฝีเท้าที่หนักแน่นและช้าคือเสียงฝีเท้าแห่งความตาย รังสีเยือกเย็นที่มองไม่เห็นเหมือนกับความเหน็บหนาวในฤดูใบไม้ร่วงที่ปกคลุมไปทั่วทุกมุม
ความเคลื่อนไหวแรกขององครักษ์ห้าคนก็คือขวางหน้าถังเทียนไว้
ฝีเท้าธรรมดาที่หนักแน่นพร้อมกับบุรุษหน้ากากผียังคงเข้ามาใกล้พวกเขา และธงดำที่ผนึกอยู่ที่ประตูป้อมมีรูปหมีโลหิตดูเหมือนกำลังจ้องมองดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาจากด้านหลัง
ระยะระหว่างของทั้งสองฝ่ายใกล้เข้ามา สภาพจิตใจของหนึ่งในองครักษ์พังทลายในที่สุด เนื่องจากเขาตะโกนและพุ่งเข้าหาถังเทียน
การกระทำของเขาเหมือนกับจุดชนวนทำให้สถานการณ์ที่ใกล้จะวิกฤติควบคุมไม่ได้ทันที สหายที่อยู่รอบๆ ตัวเขาทั้งหมดมีจิตใจตึงเครียดและพวกเขาวิ่งเข้ากระโจนหาถังเทียนอย่างขาดสติทันที
หน้าของหัวหน้าองครักษ์เปลี่ยน แต่ในเวลานั้นเขาไม่สามารถห้ามพวกเขาได้อีกต่อไปท่าทีในดวงตาของเขาตึงเครียด ‘ข้าคงต้องร่วมกับพวกเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็มาเพียงคนเดียว!’
ห้าร่างกระโจนเข้าหาถังเทียนเหมือนสายฟ้า
หน้าของผิงเสี่ยวซานเปลี่ยน หัวใจของเขากระดอนแทบถึงลำคอ องครักษ์ของแม่นางดารินเป็นนักสู้ฝีมือดี แต่ละคนแข็งแกร่งมาก ทุกๆ ปีที่อยู่ของนางจะเสริมพวกเลือดใหม่ และผิงเสี่ยวซานก็เคยเข้าร่วมการทดสอบมาก่อน แต่ถูกปฏิเสธ ห้าองครักษ์เป็นพวกยอดฝีมือ และหัวหน้าฮั่ว ผู้นำก็มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้ว
ห้าองครักษ์เคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างสง่างาม
กลุ่มเหมือนเม็ดฝนสีดำพุ่งเข้าหาถังเทียน เม็ดฝนสีดำมีกลิ่นที่เหม็นสาบควรจะเรียกว่าฝนน้ำมันมากกว่าและมันมีพิษรุนแรงดาบและหอกแทงฟันใส่ถังเทียนจากด้านข้าง ดาบแสงประดังประเดเข้ามาเหมือนปลาในน้ำทำให้เกิดฟองอากาศหนาแน่น หอกเป็นเหมือนมังกรมีเพลิงสีแดงพุ่งออกเหมือนกับมังกรแดงเชิดหัวส่งเสียงดัง เงาดำมาปรากฏด้านหลังถังเทียนด้วยเส้นทางไม่มีใครสังเกตได้สร้างเป็นข่ายขนาดใหญ่
แต่ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือหัวหน้าฮั่วกระบี่ของเขาหายไป และไม่มีการร่วมโจมตี
บุรุษหนุ่มหน้ากากผีถูกกลืนไปกับการโจมตีครั้งนี้ แต่ทันใดนั้นภายใต้หน้ากากผีที่น่าเกลียดและน่ากลัว ดวงตาที่เฉยเมยและเย็นชาพลันเปล่งประกายเจิดจ้างดงาม
ความงดงามที่มิอาจบรรยายได้สงบเหมือนกับน้ำ แต่สดใสเจิดจ้าเหมือนกับมีพลังชีวิต
ถังเทียนเคลื่อนไหวและสร้างรอยแสงสองรูปแบบร่างของเขากลายเป็นดูแปลกประหลาดเหมือนกับเงาเลือนราง
สภาพแวดล้อมของแดนบาปทำให้ประชาชนรู้สึกสิ้นหวัง แต่ถังเทียนรู้สึกสะดวกสบายมากเหมือนกับปลาในน้ำ เขารู้สึกเป็นอิสระ
ไม่มีอะไรเข้ากันได้กับแดนบาปเหมือนกับร่างพลังกายเป็นศูนย์
ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์วิถีหรือดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ ที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังงาน และรอบๆร่างพลังกายเป็นศูนย์ของถังเทียนขัดขวางและขับไล่พลังงานทำให้เขาเหมือนหยดน้ำมันในน้ำ ไม่สามารถซึบซับเข้าไปในสภาพแวดล้อมได้ แต่ในแดนบาปสถานที่ซึ่งไม่มีพลังงานยังคงอยู่ สถานที่ไม่ขับไล่พลังงานออกไปไม่มี ร่างพลังกายเป็นศูนย์ของถังเทียนจึงเข้ากันได้กับที่นี่เป็นอย่างดี
ก่อนนี้ยังคงมีม่านพลังกั้นระหว่างทั้งสอง แต่หลังจากการรู้แจ้งกฎธรรมชาติของเขา ในที่สุดถังเทียนก็สามารถทำลายขีดคั่นรอยกั้นนี้ได้ และเกิดความรู้สึกถูกใจกับสภาพแวดล้อมเหมือนกับปลาได้น้ำ นี่คือบางสิ่งที่ถังเทียนไม่เคยประสอบมาก่อน
นี่คือความรู้สึกที่ร่าเริงยินดี
หยดของเหลวดำ ดาบแสงรังสีหอกและตาข่ายพิษที่ยากจะป้องกันปรากฏในสายตาของเขาอย่างชัดเจน
มือขวาของเขารวบเป็นหมัดและต่อยใส่อากาศข้างหน้าเขาทำให้ระลอกกระเพื่อมกระจายออกจากตัวของเขา หยดของเหลวดำที่กำลังพุ่งเข้าหาถัเงทียนเผชิญกับร่มไร้ลักษณ์และระเบิดในอากาศ
หอกสีแดงที่รุนแรงสัมผัสกับข้อมือของถังเทียนทำให้องครักษ์ผู้นั้นลอบยินดี เพลิงแดงก็คือเพลิงบัวแดงที่เขาได้รับจากการรู้แจ้งกฎธรรมชาติ ดูเหมือนธรรมดาแต่ทรงพลังมาก เมื่อสัมผัสกับสิ่งใด วัตถุนั้นจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
‘ตาย!’
ตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธขณะเขาทุ่มเทพลังทั้งหมด
เผียะ!
มือข้างหนึ่งปรากฏและคว้าหอกแดงของเขาทันที
‘เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง...’
องครักษ์ที่ใช้หอกไม่อยากเชื่อตาตนเอง
ถังเทียนคว้าตัวหอกด้วยมือของเขาที่เปล่งระลอกพลังเลือนราง เปลวเพลิงแดงที่สามารถหลอมละลายได้ทุกอย่างทำอะไรระลอกพลังเลือนรางไม่ได้และพลังที่น่ากลัวจากหอกข้างหน้าองครักษ์ผู้นั้นทำให้เขาแตกตื่นก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว เขาถูกยกลอยขึ้นในอากาศ
ข้างหน้าเขาเป็นดาบแสงที่สร้างเป็นฟองน้ำนับไม่ถ้วนเข้ามาถึง
‘แย่แล้ว...’
ปัง!
องครักษ์ทั้งสองปะทะกัน เพลิงแดงรุนแรงและฟองน้ำสัมผัสกันและระเบิดทันที
ถังเทียนปล่อยหอกและผลักกลับคืนไปทันที หอกองครักษ์ผู้นั้นและมือดาบปลิวออกไปเหมือนกระสอบทรายพุ่งเข้าหาตาข่ายไร้ลักษณ์
ตาข่ายที่อยู่ข้างเขาแตกกระจายทันทีทำให้องครักษ์กระอักโลหิต
เงาร่างหนึ่งมาถึง
ภายใต้หน้ากากผี ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายแพรวพราวทันที เขาแค่นเสียง
ด้วยพลังเท้าที่เหมือนกับดาบหนักหน่วงเหมือนขวาน เขาตวัดฟันใส่พื้นที่ว่างเปล่าด้านขวาเขา
หัวหน้าฮั่วรู้สึกเหมือนกับว่าเขาปะทะกับสัตว์ร้าย และรู้สึกหวานในลำคอวูบปลิวออกไป
ถังเทียนยืนตามลำพังอีกครั้ง
บุรุษหน้ากากผีไม่มองพวกองครักษ์แม้แต่น้อย เขาสาวเท้าเดินไปข้างหน้าป้อม
ที่อยู่ต่อหน้าเขาธงดำที่ปักลึกอยู่ที่ประตูหน้ามีรูปหมีโลหิตกำลังสะบัดอยู่ในสายลมอย่างน่ากลัว