ตอนที่ 19-57 ศึกสุดท้าย
ภายในลานว่างยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการเกินกว่าห้าสิบคนประชุมอยู่ด้วยกัน กลุ่มของลินลี่ย์สี่คนนั่งอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง ขณะที่ผู้รับใช้ถือถาดเหล้า อาหาร และผลไม้เดินไปมา
“การประชุมครั้งนี้น่าเบื่อจริงๆ!” บีบีกัดกินผลไม้เปลือกม่วงดังกร้วม น้ำผลไม้หยดลงพื้น “เรามานี่จะมีประโยชน์อะไร? การประชุมครั้งนี้เป็นการรวมตัวผู้บัญชาการกับทหารในค่ายพูดคุยแผนรบในศึกสุดท้ายของพวกเขา พวกเราที่เหลือแค่นั่งดูเฉยๆ ราวกับเป็นไอ้โง่”
ลินลี่ย์หัวเราะ จากนั้นชำเลืองมองดูผู้บัญชาการที่อยู่ใกล้พวกเขาในลานว่าง
กลุ่มผู้บัญชาการนี้ประกอบไปด้วยผู้บัญชาการผู้คุมทหารในค่าย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพูดคุยกันในเรื่องรายละเอียดในการรบศึกสุดท้าย ขณะที่ลินลี่ย์และพวกคนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วมกับการพูดคุย
“เราไม่ได้นำทหารคนใดมาด้วย มีอะไรจะต้องคุยด้วยเล่า?” รีสเจมเหลือบมองดูผู้บัญชาการคนอื่น และขณะที่ผู้บัญชาการอื่นที่เหมือนกับพวกเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายพูดคุยกันอยู่ที่มุมห้อง “คนอื่นๆ ก็เหมือนกับเรา พวกเขาแค่นั่งอยู่เฉยๆ อย่างเบื่อหน่ายไม่ใช่หรือ? จุดประสงค์ที่เรามาก็เพื่อทำความคุ้นเคยกับผู้บัญชาการคนอื่น นี่เป็นแค่การประชุมกัน ไม่มีอะไรอื่น”
เห็นได้ชัดว่าการพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดศึกสุดท้ายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย ขณะต่อมากลุ่มผู้บัญชาการก็พูดคุยสนทนากันเสร็จเรียบร้อย
“ทุกท่าน” หนึ่งในผู้บัญชาการบุรุษผู้มีสามตาลุกขึ้นยืนมองพวกเขา เขายิ้มและกล่าว “มีเวลาเหลือไม่มากนักระหว่างช่วงนี้จนถึงศึกสุดท้าย! ทุกท่าน! ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าร่วมรบ หรือไปร่วมชมดูก็แล้วแต่พวกท่าน! ถ้าพวกท่านตั้งใจจะเข้าร่วมรบด้วยก็จะเป็นเหมือนเมื่อก่อนเสมอ พวกท่านจะร่วมปะปนอยู่ในกองทหาร! ข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องพูดมาก!”
สงครามมหาพิภพดำเนินมาหลายครั้งจนถึงบัดนี้ หลายสิ่งหลายอย่างกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
เมื่อมีการปะปนรวมกันอยู่ในทหารธรรมดา จะเป็นเรื่องยากที่จะบอกแยกแยะผู้บัญชาการออกจากทหารธรรมดาได้ นั่นช่วยรับรองได้ว่าศัตรูจะไม่เน้นกับการยิงโจมตีแต่ผู้บัญชาการโดยเฉพาะ มีแต่จะเพิ่มโอกาสอยู่รอด แต่แน่นอน ถ้าผลงานของใครบางคนดึงดูดความสนใจมากเกินไป ก็อาจจะเป็นอันตรายได้
“ฝ่ายโลกธาตุแสง พวกเขามียอดฝีมือที่ทรงพลังโดยเฉพาะเป็นพิเศษหรือไม่? ถ้าพวกเขามี โปรดแจ้งให้เรารู้ เพื่อที่ว่าเราจะได้เตรียมตัว” ผู้บัญชาการสามตากล่าว
“ข้ารู้ว่าฝ่ายโลกธาตุแสงมีแม็กนัสอยู่ในค่ายของพวกเขา!” ยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการพูดเสียงดัง
“แม็กนัส! เราต้องระมัดระวังจริงๆ” ผู้บัญชาการสามตาพยักหน้าจริงจัง
รีสเจมนั่งอยู่ที่มุม หัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้ว่ายังมีอีกคนหนึ่ง เป็นเทพพารากอนธาตุลมชื่อไบเออร์ เขาอยู่ที่นี่เช่นกัน นอกจากนี้ เขายังอยู่ฝ่ายโลกธาตุแสง”
“ไบเออร์?” ชื่อนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนจริงๆ
แม้ว่าจะมีชื่อหลายคนถูกบันทึกไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทุกคนกังวลจริงๆ ก็คือการปรากฏตัวของแม็กนัสและไบเออร์ ที่สำคัญเทพพารากอนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพลัง ถ้าเทพพารากอนต้องการฆ่าผู้บัญชาการธรรมดา ก็คงเป็นการเข่นฆ่าฝ่ายเดียว นอกจากนี้ถ้านักสู้พยายามรวมกลุ่มโจมตี เนื่องจากความเร็วที่น่าทึ่งของเทพพารากอน การใช้กลยุทธ์แบบนั้นมีแต่จะเป็นที่ถูกหัวเราะเยาะเย้ยหยัน
“บลูไฟร์ ทำไมบลูไฟร์ไม่ยอมเปิดเผยตัว?” รีสเจมลอบคุยกับลินลี่ย์ “เขาเป็นคนฝ่ายเรา เขาควรจะปรากฏตัวเองสิ”
ลินลี่ย์ส่ายศีรษะสงสัย “ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาตั้งใจมาเที่ยวตามลำพัง ข้าคิดว่าอย่างนั้น”
การประชุมนี้เป็นโอกาสให้ยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการได้พบปะกันเอง ที่สำคัญข้างนอกสมรภูมิมหาพิภพ ไม่บ่อยนักที่จะมีการประชุมสังสรรค์ผู้บัญชาการมากมาย การประชุมแบบนี้ถือว่าเป็นการสมาคมกัน เป็นสังคมของเทพระดับสูง
แม้ว่าลินลี่ย์ไม่ต้องการพูดคุยกับคนเหล่านี้มากนัก แต่ก็มีหลายคนที่แวะมาพูดคุยกับเขาสองสามคำ ตอนนี้พวกเขาคุ้นเคยกันหมดแล้ว และอย่างน้อยคนเหล่านี้รู้แล้วว่าลินลี่ย์เป็นใคร
“ข้าจัดเตรียมที่พักไว้ให้ทุกท่านแล้ว” จากนั้นผู้บัญชาการสามตาหัวเราะ “ทุกท่าน! ขอเชิญทุกท่านเลือกที่พักใกล้ๆ ได้เลย สถานที่นี้ติดกับริมฝั่งแม่น้ำดวงดาว เมื่อการสู้รบเริ่มขึ้นพวกท่านเหล่าผู้บัญชาการทั้งหมดจะได้เข้าร่วมสู้รบกันได้ง่ายๆ”
ไม่มีใครยืนเฉยเกรงใจ พวกเขาต่างคนต่างเลือกที่พักและเข้าไปนั่งรอศึกสุดท้ายอย่างเงียบสงบ
นี่คือสถานการณ์ฝ่ายโลกธาตุมืด และฝ่ายโลกธาตุแสงก็มีการประชุมรวมตัวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเทพพารากอนที่อยู่ฝ่ายโลกธาตุแสง มีเพียงแม็กนัสเท่านั้นที่ปรากฏตัว ขณะที่ไบเออร์ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
“ท่านแม็กนัส” ผู้บัญชาการทุกคนที่มาประชุมรวมกันเข้ามาทักทายแม็กนัสอย่างเป็นกันเองด้วยมิตรภาพอบอุ่นและนอบน้อม
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บัญชาการและมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก แต่ต่อหน้าเทพพารากอน... เป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องทำตัวเช่นนี้ พวกเขารู้สึกเหมือนกับสามัญชนที่เข้าเฝ้าจักรพรรดิ แม้ว่าสามัญชนเป็นคนหยิ่งยโส แต่พวกเขาก็ต้องมีมารยาทนอบน้อมที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ และการนอบน้อมเช่นนี้...ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกอับอาย เพราะนี่เป็นเรื่องที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนคุกเข่าเมื่อได้พบมหาเทพ นี่ก็เป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของพวกเขาบอกว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ
การต้อนรับที่แม็กนัสได้รับในค่ายของเขาตรงกันข้ามกับที่ลินลี่ย์ได้รับจากค่ายของเขา
แต่แม็กนัสไม่สามารถใส่ใจคนเหล่านี้ได้ เขาเองก็ไปเลือกมุมหนึ่งเช่นกัน และข้างๆ เขามีโอมาน เชกวินและแรมสันนั่งอยู่ด้วย
“ทุกคน, มียอดฝีมือที่น่ากลัวคนไหนในฝ่ายโลกธาตุมืดที่เราต้องรู้อีกบ้างไหม? ถ้าพวกท่านรู้อะไร ก็ขอให้บอก เราจะได้เตรียมตัวรับมือพวกเขา” บุรุษหนุ่มคิ้วขาวผมหงอกคนหนึ่งพูดขึ้น
ทันใดนั้นผู้บัญชาการทุกคนเริ่มระบุรายชื่อออกมาบางส่วน มี่ชื่อของรีสเจมและบีบีก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยด้วยเช่นกัน
“เราเผชิญกับยอดฝีมือที่น่าจะเป็นเทพพารากอนคนหนึ่ง” โอมานกล่าว “เขาเป็นเทพพารากอนธาตุไฟ! เขาเป็นคนของค่ายศัตรู แต่ชื่อของเขา...เราไม่แน่ใจ ทั้งหมดที่เราทราบเขามีคิ้วสีแดง!”
ผู้บัญชาการทุกคนเงียบทันที เทียบกับเทพพารากอนคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรีสเจมหรือบีบีก็ยังไม่สามารถคุกคามจากระยะไกลได้
“ข้ามีอยู่ชื่อหนึ่ง!” แฮมเมอร์พูดเสียงดัง “ข้าสงสัยว่า เขาจะเป็นพารากอนเช่นกัน!”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนมองดูแฮมเมอร์ ทุกคนรู้ว่าแฮมเมอร์เป็นใคร เนื่องจากพลังของแฮมเมอร์ คำพูดของเขาก็คงจะเป็นจริง
“คนผู้นี้เป็นสมาชิกของเผ่ามังกรฟ้าแห่งสี่ตระกูลอสูรศักดิ์สิทธิ์ พลังของเขาประหลาดมาก ตอนแรก เขาดูอ่อนแอมาก แต่หลังจากนั้น เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นจนเหนือข้า เขามีความพัฒนาก้าวหน้าในช่วงไม่กี่ร้อยปีนี้ และเขาบอกว่าเขาฝึกฝนมาไม่ถึงสามพันปี ข้าไม่กล้าเชื่อเรื่องนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน พลังของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า!” แฮมเมอร์พูดอย่างไม่สบายใจ “ข้าสงสัยว่าเขาคงถึงระดับเทพพารากอนไปแล้ว!”
ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะพร้อมกันทันที
ทุกคนรู้ว่าแฮมเมอร์เป็นคนกะโหลกหนาปัญญาหยาบ อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำพูดของแฮมเมอร์ ทุกคนพากันหัวเราะลั่น
“แฮมเมอร์! ฝึกมาไม่ถึงสามพันปีก็กลายเป็นเทพพารากอน เจ้าว่าอย่างนั้นหรือ? ถ้าเขากลายเป็นเทพพารากอนไม่ถึงสามพันปี อย่างนั้นเราที่เหลือคงไม่กล้าบากหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปแน่ ฮ่าฮ่า” เห็นได้ชัดว่าไม่มีสมาชิกของยอดฝีมือเหล่านี้ยอมเชื่อเขาแม้แต่คนเดียว
“แฮมเมอร์, อย่าเชื่อคำโกหกของคนผู้นี้เลย” ผู้บัญชาการต่างๆ ไม่เชื่อแม้แต่น้อย
“ยอดฝีมือเผ่ามังกรฟ้า กัซลีสันหรือเปล่า? เขาก็แค่พอๆ กับเรา และพวกเขาจะมีพารากอนได้ยังไง? ถ้าพวกเขามีจริง พวกเขาคงไม่ถูกแปดตระกูลใหญ่ไล่ต้อนจนมีสภาพอย่างนั้นเป็นแน่”
เห็นได้ชัดว่าในการพูดคุยกันนี้ไม่มีใครเชื่อคำพูดของแฮมเมอร์
“เป็นไปไม่ได้!”
แม็กนัสนัjงอยู่ในมุมห้องพูดช้าๆ “กลายเป็นเทพพารากอนในเวลาไม่ถึงสามพันปีน่ะหรือ? เป็นไปไม่ได้โดยประการทั้งปวง! อย่าว่าแต่สามพันปีเลย ต่อให้สามหมื่นปีหรือสามแสนปีก็ยังเร็วเกินไปที่คนผู้หนึ่งจะไปถึงระดับเทพพารากอนได้! การถึงระดับเทพพารากอนภายในเวลาล้านปีก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
แม็กนัสในฐานะที่เป็นพารากอนเองเป็นแหล่งที่ปรึกษาที่เด็ดขาด
“เป็นไปได้หรือว่า ข้าแฮมเมอร์จะโกหกพวกท่าน!” แฮมเมอร์โมโห ควันเริ่มออกมาจากจมูกของเขา เขาถลึงตาที่โตราวกับฆ้องทองแดงมองดูผู้บัญชาการอื่น ผู้บัญชาการเหล่านี้เริ่มก้มหน้าแอบหัวเราะโดยไม่รู้ตัว พวกเขาไม่ต้องการยั่วโทสะสหายแฮมเมอร์ผู้นี้
“ถ้าพวกเจ้าไม่อยากฟัง งั้นก็ไม่ต้องฟัง เมื่อพวกเจ้าตาย อย่ามาโทษว่าข้าก็แล้วกัน” แฮมเมอร์แค่นเสียง จากนั้นนั่งลงแล้วคว้าเนื้อย่างขาหนึ่งบนโต๊ะมากัดกินอย่างดุดัน
ค่ายทหารฝ่ายโลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์ และค่ายของโลกธาตุมืดทั้งสองค่ายรออยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำดวงดาวแต่ละฝั่งอย่างเงียบสงบ พวกเขากำลังรอคอยให้ศึกสุดท้ายมาถึง เทียบกับผู้บัญชาการทหารแล้ว กลับเป็นพวกทหารธรรมดาที่มีความกระตือรือร้นมากที่สุด!
อัตตราการตายในพวกทหารในสมรภูมิมหาพิภพสูงมาก
ทหารเหล่านี้ทุกคนต้องการสร้างความดีความชอบทางทหารเพื่อเอาไปแลกพลังมหาเทพ และทหารทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีชีวิตมายาวนานมาก พวกเขาต้องการมีประสบการณ์กับสงครามมหาพิภพที่น่ากลัวนี้บ้างสักครั้ง! ดังนั้น พวกเขาจึงส่งร่างแยกเข้ามา พวกเขายินดีเสียสละร่างแยก เพื่อให้ได้รับสัมผัสประสบการณ์ของสงครามมหาพิภพในตำนานด้วยตนเอง
นี่เป็นความโง่หรือความบ้ากันแน่?
ยากจะบอกได้ แต่หลังจากเทพตนหนึ่งมีชีวิตมานานนับไปไม่ถ้วน และไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป พวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้
สงครามมหาพิภพนั้นอำมหิตและโหดร้ายมาตั้งแต่แรก
ค่ายของโลกธาตุมืดศักดิ์สิทธิ์ ที่พักอาศัยของผู้บัญชาการ กลุ่มของลินลี่ย์อาศัยอยู่ภายในลานว่างของบ้าน
รีสเจมและบีบีนั่งขัดสมาธิพูดคุยกันตามปกติ
ทันใดนั้น...
“ครืน...” เสียงดังกึกก้องน่ากลัวเต็มไปทั้งท้องฟ้า เหมือนกับว่าระลอกพลังงานที่ทำให้ท้องฟ้าถล่มและแผ่นดินพังทลายแผ่ขยายกระจายออกไปทุกทิศ
“ครืนนนน”
อาคารสิ่งก่อสร้างสองฝั่งแม่น้ำดวงดาวเมื่อเผชิญกับระลอกพลังก็พังทลายกลายเป็นผุยผงทันที มองเห็นทหารและผู้บัญชาการที่อยู่ภายในทันที ทหารนับไม่ถ้วนและและผู้บัญชาการหลายคนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแต่ละฝ่ายหันมามองทางเดินดวงดาว
ทะเลผู้คนมากมายทั้งหมดจ้องมองมองดูทางเดินข้ามแม่น้ำดวงดาว
ลินลี่ย์จ้องมองดูในระยะไกล เห็นแต่เพียงทางเดินสองด้านเปล่งรัศมีแสงสีรุ้ง รัศมีแสงนี้ฉายขึ้นท้องฟ้าทำให้มิติพื้นที่สั่นสะเทือน ในขณะนั้นเองทางเดินเชื่อมสองด้านของแม่น้ำดวงดาวมองดูสะดุดตากว่าที่เคยเป็นมา
“ศึกสุดท้ายกำลังจะเริ่มในที่สุด!” ลินลี่ย์เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดพึมพำกับตนเองมิได้
ตามกฎของสงครามมหาพิภพ หลังจากพันปีผ่านไป ทางเดินดวงดาวจะระเบิดพลังเป็นรัศมีสีรุ้งที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก นี่เป็นสัญลักษณ์ว่าศึกสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้น! ตามตำนานกล่าวว่า นี่เป็นการออกแบบของมหาเทพ แต่บางตำนานอื่นก็ว่าออกแบบโดยจอมเทพ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันแน่นอนก็คือ...
ศึกสุดท้ายกำลังเริ่มขึ้น
ยังไม่มีการเคลื่อนกำลังพล แต่ก็ไม่มีการลังเลใจแต่อย่างใด
“ฆ่า!” เสียงกระหึ่มตะโกนลั่นดังไปทั้งท้องฟ้า
ทหารผู้รอเวลานี้มาโดยตลอดแต่ละฝั่งทางเดินต่างก็เข้ามาในทางเดินทันทีและบุกข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม ขณะที่พวกเขาทหารจากค่ายโลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ลังเลใจเช่นกันโถมเข้ามาในทางเดินดวงดาวเตรียมโจมตีศัตรูของพวกเขา
“ฮ่าฮ่า.... การสู้รบเริ่มแล้ว!” รีสเจมหัวเราะลั่น “ไปข้างหน้ากันเถอะ!”
“เคลื่อนขบวน!” บีบีตะโกนอย่างอารมณ์ดี
กลุ่มของลินลี่ย์สี่คนพุ่งไปข้างหน้าเข้าไปในทางเดินดวงดาวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ผู้บัญชาการหลายคนไม่จำเป็นต้องจัดอยู่ในกลุ่ม พวกเขาทุกคนเคลื่อนไหวตามชอบใจ ขณะที่พวกทหารจากค่ายทหารจะจัดตั้งขบวนทัพทันที และจากนั้นเป็นเหมือนมังกรเลื้อย และเริ่มเคลื่อนขบวนไปตามทางเดิน ภารกิจของค่ายทหารแต่ละฝ่ายได้จัดการไว้แล้วระหว่างประชุมครั้งก่อน
การเข่นฆ่าเริ่มขึ้นทันที!
เส้นทางเดินสองฝั่งแม่น้ำดวงดาวที่ดูเหมือนฝันก่อนนั้นตอนนี้เปล่งแสงสีรุ้ง ปรากฏมองดูเหมือนกับภาพมายาหรือภาพฝันมากมาก แต่ทั้งสองฝ่ายคือค่ายโลกธาตุแสงและค่ายโลกธาตุมืดเริ่มเข่นฆ่าฟันกันในสองเส้นทางเดิน
ลินลี่ย์ บีบี รีสเจมและเรย์โฮมยืนอยู่ที่ริมทางเดินดวงดาว
“บ้าคลั่งไปแล้ว” ลินลี่ย์มองดู
ในอากาศเหนือแม่น้ำดวงดาวตั้งแต่พื้นยันท้องฟ้าเต็มไปด้วยทหารนับไม่ถ้วน ด้วยหน่วยทหารแต่ละหน่วยมีคนเป็นพัน พวกเขาใช้พลังโจมตีวัตถุและพลังโจมตีวิญญาณใส่แต่ละฝ่ายพร้อมกันโดยใช้พลังโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขาต่อศัตรูข้างหน้า การโจมตีระยะห่างเหล่านี้เกิดขึ้นทันที และจากนั้นทหารจำนวนมากของทั้งสองฝ่ายเหมือนอสุรกายขนาดยักษ์วิ่งเข้าปะทะกัน สนามรบเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย
โลหิตสาดกระเซ็นในทุกที่ ประกายเทพกลิ้งตก ป้ายประจำตัวร่วงหล่น
เป็นสงครามที่บ้าคลั่งที่สุด
“ตามกฎของสงครามมหาพิภพ ถ้าฝ่ายหนึ่งชนะสงครามได้ในเส้นทางข้ามทั้งสองทาง นั่นจึงจะถือว่าได้ชัยชนะ ถ้าพวกเขาชนะได้ทางเดียว ก็ถือว่าเสมอ” ตาของรีสเจมเป็นประกาย “ฮ่าฮ่า, ลินลี่ย์ ไม่ต้องลังเล ผู้บัญชาการอีกฝ่ายหนึ่งบุกเข้ามาแล้ว”
ลินลี่ย์เห็นป้ายขาวและป้ายดำร่วงหล่นป้ายแล้วป้ายเล่า ทหารบางคนกวาดมือทีเดียวก็ได้ป้ายทหารสิบหรือยี่สิบป้ายแล้ว ในการเข่นฆ่าที่ป่าเถื่อนอย่างนั้น การสะสมความดีความชอบทางทหารทำได้เร็วจริงๆ แต่ก็อันตรายและบ้าบิ่น
“ไปกันเถอะ!”
กลุ่มของลินลี่ย์ทั้งสี่คนบุกเข้าไปในทางเดินดวงดาว กลืนเข้าไปในกลุ่มการสู้รบที่บ้าคลั่ง ด้านหลังพวกเขากำลังทหารเคลื่อนตามผู้บัญชาการต่างๆ เข้าไปด้วยเช่นนั้น