ตอนที่ 19-56 คำขอของบีบี
ถ้าวูดริจไม่สบายใจกับวิธีที่ลินลี่ย์มองดูเขา เขาก็คงโกรธกับท่าทีเหยียดหยามที่บีบีมองดูเขาและพูดกับเขา
“เจ้าเด็กที่สวมหมวกฟาง!” วูดริจหน้าบึ้ง และเขากำลังจะตะคอกใส่
“วูดริจ! อย่าวู่วาม” ชายชราผมขาวที่อยู่ใกล้ๆ พูดทางใจ
“มีอะไร?” วูดริจหันไปมองบุรุษชราผมขาว “เป็นคนของรีสเจมก็ทำหยิ่งยโสต่อหน้าข้ายังพอทำเนา แต่เจ้าเด็กหมวกฟางนั่นคิดว่าตนเองเป็นใคร? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน” สำหรับคนที่รอดอยู่ในสมรภูมิมหาพิภพจนถึงบัดนี้ได้ถือว่าได้พิสูจน์พลังของเขาแล้ว วูดริจไม่ยอมให้คนอื่นมาดูถูกเขาได้ง่ายๆ
ถ้าเขาได้ยินคำพูดไม่น่าพอใจแม้แต่คำเดียว เขาคงต้องการฆ่าคนพูด!
“เจ้าไม่ได้ไปยังแม่น้ำอีกฝั่งหนึ่ง ดังนั้นเจ้าไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มหมวกฟางนี่เป็นใคร” ชายชราผมขาวพูดสีหน้าเคร่งขรึม “ชื่อเสียงของเด็กหนุ่มหมวกฟางเป็นที่รู้จักกันในศูนย์บัญการของโลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์”
“โอว?” วูดริจหรี่นัยน์ตาแคบ “เขาเป็นใคร?”
“หนูกินเทพตัวที่สอง ที่นอกจากเบรุต!” ชายชราผมขาวพูดอย่างงจริงจัง
หน้าของวูดริจเปลี่ยน “อะไรนะ? หนูกินเทพ?! เป็นไปได้อย่างไร? เบรุตเป็นหนูกินเทพเพียงตัวเดียวไม่ใช่หรือ? แล้วหนูกินเทพอีกตัวหนึ่งมาจากไหน?”
“ข้าไปผจญภัยฝั่งแม่น้ำโน้นมาแล้ว แน่นอนข้ารู้ข่าวนี้ เจ้าสามารถถามใครดูก็ได้ ผู้บัญชาการที่ข้ามไปที่แม่น้ำฝั่งโน้นจะต้องได้ยินชื่อหนูกินเทพเด็กหนุ่มผู้สวมหมวกฟางมาแน่นอน เจ้าระวังตัวไว้ดีที่สุด” ชายชราผมขาวชำเลืองมองเขา “ถ้าเกิดอะไรที่แย่ขึ้นมา อย่าบอกนะว่าไม่มีใครเตือนเจ้า!”
หลังจากพูดเสร็จชายชราชุดขาวเดินกลับเข้าไปในที่พักตนเอง
“หนูกินเทพ?” วูดริจมองดูกลุ่มลินลี่ย์เข้าไปในลานบ้านและจากนั้นแค่นเสียงและเดินจากไป
บ้านที่ค่ายทหารจัดไว้ให้ผู้บัญชาการแต่ละคนจะใหญ่โตมากทั้งนั้น หลังหนึ่งจะมีอยู่หลายห้อง
“ไม่เลว ไม่เลว!” รีสเจมก้าวเข้าไปในห้องโถงมองดูรอบๆ ถอนหายใจด้วยความพอใจ “เหมือนกับว่าสมาชิกของค่ายทหารซื้อสินค้าดีๆ มาตกแต่งไว้ก่อน” ห้องโถงใหญ่มีของตกแต่งไว้มาก แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ก็ทำด้วยไม้ แค่เหลือบมองก็บอกได้ว่าไม่ได้สร้างจากวัสดุของสมรภูมิมหาพิภพ
“ลินลี่ย์! เราไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่พักเฉยๆ และต่อไปข้าคิดว่าผู้บัญชาการของค่ายทหารนี้จะมาเยี่ยมเรา ผู้บัญชาการที่อยู่ใกล้ๆ ก็อาจมาเยี่ยมด้วยเช่นกัน ทั้งหมดที่เราต้องทำคือมารับหน้าพวกเขา! สำหรับศึกสุดท้ายยังเหลือเวลาอีกเดือนกว่า” รีสเจมตรงไปที่ห้องใกล้ทันที “ระหว่างช่วงเวลานี้ ข้าจะพักอยู่ที่นี่”
ลินลี่ย์คนอื่นๆ ต่างเลือกห้องพักของตนเอง
เป็นจริงดังที่รีสเจมคาดการณ์ไว้ ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเข้าไปแล้ว ก็มีผู้บัญชาการค่ายทหารเข้ามาเยี่ยมพวกเขา หลังจากนั้นกลุ่มของลินลี่ย์ก็ต้องออกมาต้อนรับผู้มาเยือนด้วยเช่นกัน แต่แน่นอน รีสเจมและคนอื่นๆ ไม่ได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงของลินลี่ย์
ในพริบตาเดียวผ่านไปครึ่งเดือน
ภายในลานบ้าน ลินลี่ย์และบีบีนั่งหันหน้าเข้าหากัน
“บีบี! เจ้าขมวดคิ้วทำไม? ถ้ามีเรื่องอะไรที่เจ้าอยากพูด จะเก็บเอาไว้ทำไม? พูดออกมาเถอะ” ลินลี่ย์บอกได้ทันทีว่าบีบีมีความในใจ
บีบีสูดหายใจลึก
“พี่ใหญ่, ความจริง ข้ารู้สึกขัดแย้งในใจมาก” บีบีมองดูลินลี่ย์
“เอ๋? มีเรื่องอะไร?” ลินลี่ย์ถาม
บีบีก้มหน้ามองโต๊ะ เขาพูดเสียงอ่อย “พี่ใหญ่, ความจริงมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ข้าต้องการให้ท่านเข้ามาร่วมสงครามมหาพิภพ เป็นความในใจที่ข้ายังรู้สึกลังเลใจ ... เรื่องจะให้พ่อกับแม่ข้ากลับมามีชีวิตด้วย”
ลินลี่ย์ตะลึง เขาลืมไปได้อย่างไร?
บีบีผู้ไร้กังวลมาตลอดหลายปีมานี้ทำให้ลินลี่ย์ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน...แต่ความคิดบีบีไม่จำเป็นต้องเหมือนกับลินลี่ย์
“ข้าไม่เคยพบพ่อแม่ ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านหน้าตาเป็นยังไง ใจของข้าสับสนไปหมดแล้วในตอนนี้ ข้าไม่มีภาพของพวกท่านในใจเลย ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ข้าคุ้นเคยกับการไม่มีพ่อแม่มานานแล้ว แต่..ข้ายังรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้อยู่ดี”
บีบีพึมพำเบาๆ กับตนเอง “ข้าไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก แต่พี่ใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวและสหายของท่าน ท่านถึงกับมาเข้าสงครามมหาพิภพ นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ข้า ข้าควรตามหาพ่อแม่ข้าด้วยไหม? แต่ข้ารู้ว่ามันยากจริงๆ สำหรับท่านกว่าจะรวบรวมป้ายผู้บัญชาการได้สักป้าย พี่ใหญ่, ข้าไม่ต้องการเพิ่มภาระให้ท่าน ดังนั้น ข้าจึงลังเลใจว่าข้าควรจะตามหาพ่อแม่ข้าดีหรือไม่ นั่นทำให้ข้าไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี”
“แต่พี่ใหญ่, ตอนนี้ท่านแข็งแกร่งทรงพลังมากนัก คงไม่ยากที่ท่านจะรวบรวมป้ายอีกสักสองป้าย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ข้าเริ่มคิดเรื่องนี้อีกครั้ง”
บีบีเงยหน้าขึ้นมองลินลี่ย์
“บีบี, ข้าขอโทษ” ลินลี่ย์พูดขอโทษ
เขาเองรู้สึกละอายใจจริงๆ เขากับบีบีเป็นพี่น้องกันมานาน และบีบีเสี่ยงชีวิตตนเองมารบกับเขาที่นี่ในสมรภูมิมหาพิภพ แต่เขาเองกลับลืมพ่อแม่ของบีบีไปได้
“พี่ใหญ่, อย่าพูดอย่างนั้น” บีบีส่ายศีรษะ “ความจริง, ข้าเองก็ยังลังใจว่าข้าควรจะตามหาพ่อแม่ข้าหรือไม่ ที่สำคัญข้าไม่เคยพบพวกท่าน...และข้าไม่รู้ว่าวิญญาณภูตผีพ่อแม่ข้ายังอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ถ้าข้าสามารถพบพ่อแม่ข้าได้ ข้าจะพูดอะไรกับพวกท่าน? พวกท่านอาจจะไม่รู้จักข้า ถ้าพวกท่านเห็นข้า!”
แม่ของบีบีไม่ได้เห็นบีบีเติบโตและเปลี่ยนแปลงเป็นร่างมนุษย์ แม้ว่านางจะมีความทรงจำ นางก็คงจำภาพบีบีไม่ได้
“ได้พบกันอีกโดยจำกันไม่ได้..” บีบีมีอารมณ์ซับซ้อนและว้าวุ่นใจ
บีบีตั้งใจจะพูดว่า ‘ช่างมันเถอะ’ พ่อแม่ของเขามีกรรมเป็นของตนเอง และไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามฝืนหลายสิ่งหลายอย่าง และเดิมทีก็เป็นเรื่องยากสำหรับลินลี่ย์ในการรวบรวมป้ายผู้บัญชาการให้พอ แต่ตอนนี้หลายอย่างแตกต่างออกไป
“ไม่ต้องห่วง ให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง ข้าจะหาป้ายผู้บัญชาการเพิ่มอีกสองป้าย!” ลินลี่ย์สัญญา
“ได้” บีบีพยักหน้า
“เฮ้อ!” บีบีนั่งตัวตรงระบายลมหายใจยาว “แย่จริง ช่างมันเถอะ! พวกท่านเป็นพ่อแม่ข้า ข้าจะต้องพบพวกท่าน! หึหึ ข้าคิดว่าถ้าพวกท่านเห็นว่าพวกท่านมีลูกเป็นหนูกินเทพ พวกท่านคงภูมิใจมาก” บีบีดูเหมือนจะยักไหล่สลัดทิ้งเรื่องกวนใจกลายเป็นคนไม่มีห่วงกังวลอีกครั้ง
ลินลี่ย์หัวเราะบาๆ แต่ในใจของเขา เขาตั้งใจไว้แล้วระหว่างศึกสุดท้าย เขาจะหาป้ายผู้บัญชาการเพิ่มอีกสองป้าย
ลินลี่ย์และบีบีผจญภัยด้วยกันมาตลอดชีวิตของพวกเขา บีบียินดีเสี่ยงชีวิตเพื่อลินลี่ย์ และในทางกลับกันก็เหมือนกัน นอกจากนี้เนื่องจากระดับในปัจจุบันของลินลี่ย์ เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะทำให้เขาตาย
“ก๊อกๆ” ทันใดนั้นมีเสียเคาะประตูดังขึ้น
ลินลี่ย์โบกมือและพลังเทพกวาดออกไปข้างหน้าผลักเปิดประตูลานบ้านออก มีบุรุษหนุ่มผมดำสวมชุดดำขลิบทองเดินเข้ามา “ลินลี่ย์ บีบี, รีสเจมกับเรย์โฮมอยู่ที่นี่ไหม?” นี่คือวอลนัทผู้บัญชาการค่ายทหารนี้ พวกผู้บัญชาการที่มาในสมรภูมิมหาพิภพรวมทั้งผู้บัญชาการทหารทั้งสองประเภทมีหน้าที่รับผิดชอบในค่ายทหาร
“เฮ้, มีอะไร?” เสียงดังออกมาจากห้องโถง จากนั้นเป็นรีสเจมบินออกมา
ลินลี่ย์และบีบีมองดูวอลนัทเช่นกัน
“นี่คือสถานการณ์ตอนนี้ ก่อนที่ศึกสุดท้ายจะเริ่มต้น ผู้บัญชาการของค่ายทหารและผู้บัญชาการสมทบจะมารวมตัวประชุมกันอีกครั้งเพื่อพูดคุยของแผนการรบศึกสุดท้ายของพวกเรา ขณะเดียวกัน ทุกคนจะได้ทำความคุ้นเคยกันและกัน” วอลนัทพูดพลางหัวเราะ
“เมื่อไหร่?” รีสเจมถาม
ลินลี่ย์รู้เรื่องนี้เช่นกัน การประชุมก่อนศึกสุดท้ายเป็นเรื่องที่กำหนดไว้
“วันนี้!” วอลนัทพยักหน้าและหัวเราะ “มีผู้บัญชาการรออยู่ข้างนอกแล้ว รีสเจม พวกเจ้าทั้งสี่คนก็ไปประชุมได้เช่นกัน ข้าจะไปแจ้งผู้บัญชาการคนอื่นก่อน แล้วเราค่อยไปพร้อมกัน”
“ได้” รีสเจมพยักหน้า และลินลี่ย์กับคนอื่นเดินออกมาข้างนอกเช่นกัน
มีคนสามคนที่ออกมาข้างนอกอยู่แล้ว เมื่อทั้งสามเห็นกลุ่มของลินลี่ย์ทั้งสี่คน ก็หัวเราะทักทายเขา “รีสเจม บีบี เรย์โฮม ลินลี่ย์!” พวกเขาเดินเข้ามาหาทุกคน กลุ่มของลินลี่ย์ทั้งสี่คนต้อนรับพวกเขา ขณะที่คนอื่นเห็น คนในกลุ่มลินลี่ย์ทั้งสี่คนรายล้อมรีสเจมและบีบีอยู่ตรงกลาง
ขณะที่เรย์โฮมและลินลี่ย์ พวกเขาไม่ค่อยได้รับความสนใจ ที่สำคัญชื่อเสียงของรีสเจมและชื่อเสียงบีบีในฐานะหนูกินเทพยิ่งใหญ่มาก
ทันทีที่ผู้บัญชาการทหารค่ายนี้มารวมตัวกันที่นี่ทุกคน
รวมทั้งวอลนัทด้วย มีผู้บัญชาการรวมสิบคน
“เอาล่ะทุกท่าน ไปกันได้แล้ว” วอลนัทพูดพลางหัวเราะ
“มีค่ายทหารหลายสิบค่าย แต่ละค่ายมีผู้บัญชาการราวๆ สิบคน แล้วเมื่อค่ายทหารหลายสิบค่ายรวมกำลังกัน... ผู้บัญชาการก็มีมากจริงๆ” บีบีพูดพลางถอนหายใจ
“ไม่มากขนาดนั้น” วอลนัทพูดและหัวเราะอย่างใจเย็น “นั่นเป็นเพราะค่ายทหารทั้งหมดที่รวมกำลังกันอยู่ที่สองทางเดินเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำดวงดาว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ค่ายทหารทั้งหมดมาต้อนรับการกลับมาของผู้บัญชาการ! ค่ายทหารที่ตั้งค่ายลึกเข้าไปข้างในจะไม่ต้อนรับผู้บัญชาการคนไหนๆ”
ตอนนี้บีบีเข้าใจแล้ว
“ดังนั้น ฝ่ายโลกธาตุมืดของเรามียอดฝีมือระดับผู้บัญชาการที่รอดชีวิตอยู่รวมทั้งหมดราวๆ ห้าสิบคน” วอลนัทประมาณตัวเลข
เกินกว่าพันปีมานี้ ผู้บัญชาการตายไปมาก
ผู้บัญชาการที่รอดชีวิตอยู่ไม่ได้มีมาก แต่แน่นอน ในบรรดาคนเหล่านั้นที่ยังท่องเที่ยวไปอยู่ คนที่รอดอยู่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บัญชาการทั้งหมด ก็แค่ยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการ ตัวอย่างเช่น แม้บีบีและเรย์โฮมจะไม่ถึงกับทรงพลังมากก็ตาม แต่พวกเขาเข้ามาด้วยสถานะทหารธรรมดา และติดตามอยู่ข้างลินลี่ย์และรีสเจม ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ใกล้ๆ
ค่ายทหารถูกแบ่งออกเป็นสองปีก และกลุ่มของลินลี่ย์เดินเลียบไปตามชายฝั่งแม่น้ำดวงดาวตรงไปยังตำแหน่งของท่าแม่น้ำดวงดาว
สถานที่รวมตัวสำหรับประชุมครั้งนี้อยู่ติดกับสะพานทางเดินด้านหนึ่ง
นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่กว่าสถานที่ซึ่งกลุ่มของลินลี่ย์พักอาศัยไม่มากนัก ลานว่างจะมีเก้าอี้และโต๊ะอยู่ข้างในหลายตัว และมีคนราวยี่สิบ หรือสามสิบคนอยู่ในลานอยู่แล้ว
“วอลนัท, เจ้ามาถึงแล้ว!” ขณะที่กลุ่มของวอลนัทเดินเข้ามา มีคนมากมายสังเกตพวกเขาได้ทันที
“ฮ่าฮ่า โอวิล เจ้าก็เป็นผู้โชคดีไม่ใช่หรือ ยังรอดชีวิตอยู่ได้ เอ๊ะ?”
“บานสลี่ย์! ครั้งนี้เจ้าเข้ามาในสมรภูมิมหาพิภพด้วยหรือนี่? ฮ่าฮ่า...”
“รีสเจม!”
ทันใดนั้นกลุ่มยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการต่างเรียกขานชื่อกัน และพูดคุยหยอกหัวเราะกัน สุดยอดฝีมือชั้นสูงในแผ่นดินของตนเหล่านี้ล้วนคุ้นเคยกันมาก และหลายคนเป็นสหายกัน
ลินลี่ย์ บีบีและเรย์โฮมรู้จักคนน้อยมาก ดังนั้นพวกเขาเดินไปที่มุมลานว่างพบที่นั่งสามตัวและนั่งลง จัดแจงแก้วเหล้าและเริ่มดื่ม
ขณะต่อมาหลังจากรีสเจมสังสรรค์กับสหายเก่าเสร็จ เขากลับมาสมทบเช่นกัน
“ครึกครื้นดีจริง” บีบีพูดพลางหัวเราะ
รีสเจมพูดพลางยิ้ม “ครึกครื้นหรือ? มีความสุขจะตาย คนอื่นหยอกล้อ พวกที่เป็นสหายกับเจ้าก็หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่รอด พวกเขาไม่หวังจะให้พวกเจ้าตาย พวกเจ้ารู้จักคนน้อยมาก อีกหน่อยข้าคิดว่าจะมีบางคนเข้าคุยสนทนากับเจ้า และเจ้าจะคุ้นเคยกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว”
ลินลี่ย์ยิ้มอย่างเยือกเย็น ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ
“วูดริจ! เจ้าก็มาพร้อมกับพวกเขาด้วย สามคนที่อยู่ข้างรีสเจมเป็นใคร?” ยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการต้องการรู้ข้อมูลกันและกัน ยิ่งพวกเขารู้รายละเอียดผู้บัญชาการคนอื่นมากก็ยิ่งดี
ก่อนที่วูดริจจะมีโอกาสพูด คนหัวโล้นตัวใหญ่ที่อยู่ใกล้กระซิบบอก “ข้าไม่รู้ว่าสองคนนั่นเป็นใคร แต่เจ้าคนที่สวมหมวกฟาง.. ชื่อของเขาถูกกล่าวขานในฝั่งแม่น้ำอีกฝั่งหนึ่งค่อนข้างมาก ในค่ายของพวกโลกธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์ กล่าวกันว่านั่นคือหนูกินเทพตัวที่สองต่อจากเบรุต!”
“หนูกินเทพ?” มีหลายคนตกตะลึง
มีคนไม่กี่คนที่มีสมบัติมหาเทพปกป้องวิญญาณ เมื่อไม่มีสมบัติมหาเทพชนิดปกป้องวิญญาณ ใครพบกับบีบีมีแต่ต้องตาย ที่สำคัญพารากอนยังทำอะไรไม่ได้
คนเหล่านี้มองดูรีสเจมและบีบีด้วยความประหลาดใจ “แล้วอีกสองคนที่นั่งถัดจากรีสเจมและหนูกินเทพล่ะ เป็นใคร?”
วูดริจหัวเราะ “สองคนนั้นค่อนข้างจะธรรมดา คนที่ดูเย็นชาหน่อยชื่อเรย์โฮม เป็นทูตของมหาเทพเรดบุด ส่วนเจ้าเด็กผมน้ำตาลข้างเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในเผ่ามังกรฟ้า ชื่อลินลี่ย์!”
“ลินลี่ย์?” ความจริง มีบางคนโดยเฉพาะในแดนนรกที่เคยได้ยินชื่อลินลี่ย์ อย่างไรก็ตามในสายตาของผู้บัญชาการเหล่านี้ ผลงานของลินลี่ย์ที่บันทึกในผลึกบันทึกแสดงให้เห็นว่าเป็นเพียงอสูรเจ็ดดาวที่ทรงพลัง ยังไม่ใช่ระดับผู้บัญชาการ พวกเขาจึงไม่ค่อยใส่ใจเขาเท่าใดนัก
ขณะที่เวลาผ่านไป ยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการเข้ามามากขึ้น หลายคนที่รู้จักกันก็เริ่มพูดคุยกันในระหว่างพวกเขา อย่างไรก็ตามน้อยคนนักที่จะมาพูดคุยกับลินลี่ย์ ที่สำคัญสถานะของลินลี่ย์ในฐานะ ‘ลอร์ดทาร์ทารัส’ เพิ่งจะได้รับมาหลังจากสงครามมหาพิภพเริ่มขึ้นแล้ว ลินลี่ย์เองก็ไม่ให้ความสนใจพูดคุยกับผู้คนเหล่านี้ เขาชอบความเงียบสงบมากกว่า