SN-ตอนที่ 42 วิธีการกลายเป็นลิช
อัลดิช ไม่ได้ตอบรับ แฟลร์กาน ในทันที แต่ยังคงระมัดระวังเขาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะยังหลงเหลือความผิดปกติในตัว แต่ หลังจากเห็นเส้นใยความสัมพันธ์ระหว่าง เจ้านายและลูกน้อง เขาก็มองเห็นข้อความที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
[เควสทดสอบ : การค้นหาเสร็จสิ้น]
[+500 ค่าประสบการณ์]
[+500 เหรียญ]
[ได้รับสกิลพาสซีฟ : เกราะศพ]
[ได้รับสกิล : สัมผัสแห่งความตาย]
[ได้รับสกิลประจำคลาส : ดูดซับศพ]
[ได้รับหนังสืออัพเกรดสกิล]
[ได้รับหินรูน x1]
[ได้รับการชาร์จขวดโพชั่นฟื้นฟู x3]
=
[แถบค่าประสบการณ์ : 370/1,400 > 870/1,400]
อัลดิช ได้สูดลมหายใจเข้าลึกและสัมผัสได้ถึงพลังที่หลั่งไหลเข้าสู่ตัวของเขาทีละนิด นอกจากนี้ ด้วย [สัมผัสแห่งความตาย] ทำให้ อัลดิช รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของ ยูนิตใด ๆ ที่มีพลังต่ำกว่า 10% ของพลังชีวิตสูงสุด ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงสกิลประเภทตายทันทีในการจัดการอีกฝ่าย
[ดูดซับศพ] อนุญาติให้ อัลดิช ดูดซับศพโดยจะฟื้นฟูพลังชีวิต 5% จากพลังชีวิตสูงสุดของเขา นอกจากนี้ ยังสามารถใช้กับพวก อันเดด ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ โดยการทำลายอันเดดตัวนั้น และ ดูดซับพลังมาฟื้นฟู 10% ของพลังชีวิตสูงสุด
[เกราะศพ] เป็นเกราะป้องกันที่สร้างขึ้นมาจากพลังชีวิต 30% ของเขา โดยสิ่งที่ยอดเยี่ยมก็คือเกราะป้องกันนี้สามารถงอกใหม่ได้อย่างรวดเร็วผ่านการดูดซับซากศพเข้าไปในนั้น
แน่นอนว่า หาก อัลดิช ใช้เกราะศพ เขาจะไม่สามารถทำให้ศพที่ดูดซับเข้ามากลายเป็นอันเดดได้
[หนังสืออัพเกรดสกิล] ให้สิทธิ์แก่ อัลดิช ในการเข้าถึงเวอร์ชั่นอัปเกรดของสกิลปัจจุบันของเขา โดยรวมแล้ว ถือเป็นการเพิ่มพลังให้เขาเป็นอย่างมาก
“ผู้อาวุโส มีอะไรงั้นหรือไม่?” แฟลร์กาน ได้กล่าวถาม
อัลดิช มองไปที่ แฟลร์กาน และ สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายทันที
“ไม่มีอะไร” หลังจากที่เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นศัตรู เขาก็กล่าวถาม “บอกฉันมาว่านายจำอะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ได้บ้าง และ ก็เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาด้วย”
วาเลร่า เองก็รู้สึกสงสัยเหมือนกับ อัลดิช นั่นก็คือ พวกเขาต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจักรวาลของเกมเอลเดน เวิลด์
“ที่ข้าจำได้…ก็มีเพียงแต่ตัวข้าเท่านั้น” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ “เพราะข้าหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาชีวิตนิรันดร์ เป็นเวลาหลายปี ทำให้หมกมุ่นไปกับการค้นคว้าจำนวนมาก จนเมื่อถึงจุดนึง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ข้ารู้สึกราวกับว่าตัวเองตกลงไปในหมอกควัน และ เมื่อข้าเดินเข้าไป ข้าก็ได้ค้นพบเข้ากับความฝันที่ไม่มีวันตื่น”
“ในระหว่างนั้นข้ามีสติเพียงแต่ไม่รู้สึกตัว แน่นอนว่าในระหว่างนั้นข้าได้พยายามค้นหาวิธีการเป็นอมตะ ทว่า ข้าก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับกำลังควบคุมตัวเองอยู่ ข้า…”
“กำลังละเมออยู่ใช่ไหม?” อัลดิช ได้ตอบกลับ และ หันไปทาง วาเลร่า “นี่คล้ายจะเหมือนกับเธอทุกประการ นอกจากนี้ดูเหมือนว่าพวกเธอจะเข้าสู่ห้วงนิทราชั่วนิรันดร์”
“เป็นเช่นนั้นจริงนายท่าน” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
“แล้วนายจำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้วเหรอ?” อัลดิช ได้หันไปทาง แฟลร์กาน
แฟลร์กาน ได้สั่นศีรษะและตอบกลับ “ไม่แล้ว”
“ฉันเข้าใจแล้ว” อัลดิช กล่าว และ พูดต่อ “จากที่ฉัน สังเกตุ ดูเหมือนความมุ่งมั่นของนายในการค้นคว้าความเป็นอมตะจะสูงมากทีเดียว”
“ใช่เลย หัวหน้า ฉันหวังว่า เขาจะได้บ้าขึ้นมาภายหลังหรอกนะ” ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“นี่คือสิ่งที่ฉันกังวล” อัลดิช ได้ตอบ
“นี่ ยัยเด็กน้อย ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่า ให้รักษามารยาทเวลาพูดคุยกับนายท่าน” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
“หืม? เด็กน้อย? พูดอย่างกับว่าเธอเป็นแม่มดแก่ๆอย่างนั้นแหล่ะ?” ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ตอบโต้ทันที
ได้ยินเช่นนี้ วาเลร่า ได้ลุกขึ้น และ เดินไปหา ไดนาไมต์เกิร์ล ในทันที เธอจ้องมองไปที่ ไดนาไมต์เกิร์ล อย่างดุเดือด
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” วาเลร่า ได้กล่าวถาม
“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ฉันคิดเท่านั้น” ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“เคะ (ทะเลาะกันไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก)” กีสต์ ได้ส่งเสียงห้ามปราม
“หุบปาก!” ทั้ง วาเลร่า และ ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ส่งเสียงออกมาพร้อมกัน ใส่ กีสต์ ที่พูดแทรก
“เคะ! (เชิญต่อเลย)” กีสต์ ได้ยกแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อชูขึ้นในอากาศและแสดงท่าทียอมจำนน
“พวกเธอทั้งหมดใจเย็นลงก่อน มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาโต้เถียงกันที่นี่ นอกจากนี้ เธอ และ วาเลร่า ควรจะขอบคุณ กีสต์ เพราะมันได้ช่วยปกป้องชีวิตพวกเธอหลายต่อหลายครั้ง” อัลดิช ได้พูดขึ้นในเวลานี้
“เอ่อ…” วาเลร่า ได้บ่นพึมพัมออกมาและหันศีรษะไปทาง กีสต์ “ข้าขอบคุณเจ้า เจ้าสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด”
“ไม่สิ ข้าหมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ช่วยเหลือข้า”
“เคะ” กีสต์ ได้เกาศีรษะและพยักหน้ารับคำขอโทษ
“หึ่ม จริงสิ ไม่ใช่ว่าพวกเราทุกคนก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกฏแห่งความตายหรอกเหรอ?” ไดนาไมต์เกิร์ล ได้พูดขึ้นในเวลานี้
“ถูกต้อง ตอนนี้พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ” วาเลร่า ได้พูดขึ้น “แต่พวกเราไม่ได้จัดอยู่ในวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตแบบปกติอีกต่อไป แต่ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกฏธรรมชาติโดยสมบูรณ์”
“เดาว่านั่นคงหมายถึง อันเดด สินะ” ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“เป็นเช่นนั้น” แฟลร์กานได้พูดขึ้น “เป็นเวลากว่าหลายทศวรรษแล้วที่ข้าตามหาวิธีการกลายเป็นอันเดด เพราะมันเป็นรูปแบบริสุทธิ์ที่สุดในการก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกาย แต่ อันเดดที่ไร้สตินั้นเป็นอะไรที่เรียกว่าสิ่งผิดปกติเล็กน้อย ทว่า อันเดดระดับสูงเช่นพวกเรา ยังสามารถคงสติเอาไว้ได้เฉกเช่นเดิมและอยู่เหนือกฏธรรมชาติอย่างแท้จริง”
แฟลร์กาน พยักหน้าให้กับ วาเลร่า และ พูดต่อ “สำหรับคำถามของท่าน ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าความมุ่งมั่นในการเป็นอมตะของข้านั้นหายไป ซ้ำในตอนที่หลับใหลไป ความมุ่งมั่นและความบ้าคลั่งของข้ารั้งแต่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”
“ทว่าตอนนี้ หลังจากได้รับการปลดปล่อยออกมาจากการหลับใหลอันยาวนาน และ ยังได้รับสถานะอันเดดที่เป็นอมตะ มันก็ไม่มีอะไรมาฉุดรั้งให้ข้าต้องขาดสติอีกต่อไป”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อัลดิช ได้ตอบกลับ “หากนายไม่ปกติขึ้นมา ฉันก็คงทำให้นายกลายเป็นทาสไร้สติ”
“นี่ต้องขอบคุณของขวัญที่ท่านประทานให้ ด้วยของขวัญชิ้นนี้ข้าจะรับใช้ท่านอย่างสุดความสามารถ” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ
“เอา เป็นว่า ตอนนี้…” อัลดิช หยิบ ลูกแก้วแก่นแท้ของแฟร์กาน ขึ้นมา และ กล่าวถาม “อธิบายเกี่ยวกับเจ้านี่มาหน่อย และ มันยังใช้การได้อยู่หรือไม่?”
“แน่นอนว่า ของสิ่งนี้เป็นของท่าน และ มันไม่มีประโยชน์กับข้าแล้ว” แฟลร์กาน ได้อธิบาย “อันที่จริง ท่านสามารถใช้สิ่งนี้ในการก้าวข้ามอันเดดเพื่อกลายเป็นลิชที่แท้จริงได้”
“แล้วมันทำงานยังไง?” อัลดิช กล่าวถาม “ฉันหมายถึง ขั้นตอนการกลายเป็นลิช”
อัลดิช ไม่ลังเลเลยที่จะกลายเป็น ลิช เพราะมันจะช่วยเพิ่มพลังให้เขาอย่างมหาศาล และ นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริง เพราะ ในตำนานของ เอลเดน เวิลด์ เนโครแมนเซอร์ ที่รวมกลุ่มกับ นักรบ นักเวทย์ และ นักบวช ยังไม่มีพลังเพียงพอที่จะเอาชนะ ลิช ตัวเดียว
แม้แต่ ลิช ที่มีเลเวล ต่ำ ก็ยังถือเป็นมอนสเตอร์ประเภทบอสที่แข็งแกร่ง
เพราะ ลิช นั้นคุ้นเคยกับความตายและเวทย์มนตร์มากกว่ามนุษย์ พวกเขาสามารถควบคุมคนตายได้มากขึ้น ยิ่งมีคนตายมากขึ้น คำสาปก็จะยิ่งรุนแรง และ เวทย์มนตร์แห่งความตายก็จะยิ่งทรงพลังมากกว่าเดิม
สำหรับมนุษย์ที่ยุ่งเกี่ยวกับความตายพวกเขาสามารถทำได้เพียงจุ่มเท้าลงไปในบ่อพลังนั่นคือ สถานะ เนโครแมนเซอร์ แต่ ลิชนั้น ได้ดำดิ่งลงสู่ศาสตร์มืดทั้งตัวและสามารถควบคุมพลังของคลาสได้อย่างไร้ขีดจำกัด
สิ่งที่ อัลดิช ต้องการก็คือความรู้ที่จะกลายเป็นลิช เพราะนี่คือสิ่งที่ แฟลร์กาน ได้อุทิศเวลากว่าหลายทศวรรษในการกลายเป็นอมตะ
“มี 3 ขั้นตอนหลักในการทำพิธีกรรม” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ “ลูกแก้วแก่นแท้ คือ 1 ในขั้นตอนแรก เพราะมันถูกสร้างมาจากการเล่นแร่แปรธาตุและการใช้เวทย์มนตร์ โดยมีส่วนผสมเป็น โอริคัลคุม , ผงปีกนางฟ้า,ผงฟันมังกร เปลวไฟของปีศาจเพลิง…”
“ใช่ แล้วนายก็รวบรวมมันทั้งหมดเอาไว้ในนี้แล้ว” อัลดิช พยักหน้าและมองไปที่ ลูกแก้วแก่นแท้ “ในเมื่อนายบอกว่ามันยังสามารถใช้ได้อยู่ แสดงว่ามันสามารถใช้กับฉันได้ใช่มั้ย?”
“แน่นอน” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ
“แล้วอีก 2 ขั้นตอนที่เหลือ?”
“ขั้นตอนที่สองก็คือการตัดโซ่ตรวนที่ท่านมี” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ
“โซ่ตรวน เวรเอ้ย หยุดพูดเป็นปริศนาและบอกมาได้แล้ว” ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“หึ่ม ข้าต้องเปลี่ยนคำพูดให้ฟังดูง่ายขึ้นเพียงเพราะเจ้าบอกงั้นหรือไม่?” แฟลร์กาน ไม่ได้สนใจคำทักท้วงของ ไดนาไมต์เกิร์ล เลย
“ฮะ!?” เมื่อ ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ยิน เธอก็เริ่มกลายเป็นก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น แต่ได้ถูก อัลดิช หยุดเอาไว้ก่อน
“หยุด ต่อจากนี้ฉันมีสิทธิ์ที่จะคุยกับ แฟลร์กานแค่คนเดียว พวกเธอทั้งหมดเงียบไว้” อัลดิช กล่าวพูดและมองไปที่ ไดนาไมต์เกิร์ล
“เข้าใจแล้ว หัวหน้า” ไดนาไมต์เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“เอาล่ะ โซ่ตรวน ที่ว่าคืออะไร?” อัลดิช ได้กล่าวถาม
แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ “พันธะส่วนบุคคล การผูกมัดทางอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนผูกมัดจิตวิญญาณของท่านกับระนาบทางกายภาพ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะแยกจิตวิญญาณออกมาจากกายมนุษย์และเก็บไว้ในลูกแก้วแก่นแท้”
“อันนี้ฉันเข้าใจแล้ว” อัลดิช ได้ตอบกลับ เรื่องนี้เขาถนัด เท่าที่เขารู้ เขาไม่มีพันธะอะไรอีกต่อไป พ่อแม่ของเขาได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ อดัม และ เอเลเน่ ก็ได้กลายเป็นเพียงอันเดด และ วิญญาณของพวกเขาก็ได้จากหายไปตลอดกาล “แล้วขั้นตอนที่สามล่ะ?”
“รับสัญลักษณ์แห่งพลังจากราชาแห่งความตาย” แฟลร์กาน ได้กล่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“อันนี้ฉันเข้าใจ เรื่องนี้จำเป็นจะต้องท้าทายราชาแห่งความตายและแย่งชิงสัญลักษณ์แห่งพลังมาจากเขา นี่ถูกต้องหรือไม่?”
“ขอรับ!”
“และถ้าให้ฉันเดา นายก็ติดอยู่ที่ขั้นตอนนี้ใช่หรือไม่?” อัลดิช กล่าวถาม “นายได้เตรียมความพร้อมทั้งหมดแล้ว และ สามารถย้ายจิตวิญญาณเข้ามาอยู่ภายในนี้ได้ ซึ่งก็หมายความว่านายไม่มีพันธะใด ๆ หลงเหลืออยู่”
“แต่ทว่า นายก็ยังไม่กลายเป็นลิช แสดงว่า นายไม่ประสบความสำเร็จในการท้าทาย ราชาแห่งความตายสินะ”
“ขอรับ ข้าพยายามแล้ว แต่การทดสอบที่วางเอาไว้นั้นยากเกินกว่าที่จะเอาชนะได้” แฟลร์กาน ได้ตอบกลับ “สิ่งนี้ทำให้ ข้าต้องหลบหนีออกมาด้วยความไม่เต็มใจ จนกระทั่งหลายปีที่ผ่านมา ข้าพยายามศึกษาวิธีที่จะเอาชนะการทดสอบของราชาแห่งความตายด้วยพลังใหม่ แต่มันก็ไร้ผล”
“แล้วการทดสอบที่ว่านี้เป็นอย่างไร?’ อัลดิช ได้กล่าวถาม
“ทำไมเจ้าไม่ลองดูด้วยตัวเองเลยล่ะ!”
ในขณะนี้ เสียงทุ้มลึก ก็ดังออกมาจากลูกแก้วในมือของเขา ในเวลานี้ ควันจำนวนมากได้ปล่อยออกมาทั่วพื้นที่แห่งนี้
“นายท่าน รีบทิ้งวัตถุต้องสาปนั่นไปเร็วเข้า!” วาเลร่า ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่คลื่นพลังบางอย่างได้กระแทกเธอออกไป สิ่งนี้ทำให้ ทุกคน ยกเว้น อัลดิช ได้ก้าวถอยหลังไป
“การทดสอบ ถูกสร้างขึ้นก็เพื่อการพิสูจน์คุณสมบัติ”
“ข้าสัมผัสได้ถึงความปราถนาของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าเต็มใจที่จะละทิ้งควาามเป็นมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย”
“แต่นั่นหาใช่สิ่งที่ทำให้เจ้าพิเศษกว่าคนอื่น…”
“เจ้าเป็นเพียงหนึ่งในมนุษย์จำนวนมากที่สิ้นหวังพอที่จะละทิ้งความเป็นมนุษย์”
“พวกมนุษย์นั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งไร้ค่า”
“ไม่สิ ข้าจะตัดสินคุณค่าของเจ้าเอง”
“ด้วยการทดสอบของข้า!!”