ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 164 คลื่นใต้น้ำ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 164 คลื่นใต้น้ำ
แปลโดย iPAT
“ท่านยาย อย่ากังวล ท่านสามารถรออยู่ที่นี่ ข้าไม่เชื่อว่าเด็กนั่นจะไม่กลับเมืองเจียเผิงตลอดชีวิต! หากเขาไม่กลับมาจริงๆ เขาจะกลายเป็นคนทรยศของผู้พิกษ์หมาป่าอินทรีย์ ข้าร่วมงานกับนิกายเมฆาพิรุณมาหลายปี ข้าจะให้บทสรุปที่น่าพอใจแก่นิกายของท่านอย่างแน่นอน ข้ายึดหอเมฆาพิรุณที่โจวเหวินปิงปิดลงไว้แล้ว นิกายของท่านเพียงต้องส่งคนมาที่นี่ จากนั้นพวกท่านจะสามารถเปิดทำการได้อีกครั้ง”
จ้าวจื่อป๋อกล่าวอย่างกระตือรือร้นทั้งเพื่อกำจัดหลี่ฉิงซานและผลประโยชน์ที่จะได้รับจากนิกายเมฆาพิรุณ
ยายประจิมกล่าวอย่างเฉยเมย “ขอบคุณสำหรับความตั้งใจของเจ้า ผู้บัญชาการจ้าว นิกายเมฆาพิรุณจะส่งคนมาเร็วๆนี้ ข้าต้องขอให้ท่านดูแลพวกเขาอย่างดี อย่างไรก็ตามข้าต้องออกจากเมืองเจียเผิงเร็วๆนี้” ท้ายที่สุดโลกแห่งการบ่มเพาะก็เต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่ง แม้นางจะต้องการให้จ้าวจื่อป๋อช่วยแต่นางก็ยังหยิ่งผยองมาก
จ้าวจื่อป๋อรู้สึกประหลาดใจ “เพราะเหตุใด?”
ยายประจิมกล่าว “มันเป็นคำสั่งของผู้นำนิกาย ข้าไม่สามารถขัดขืน”
“เหตุใดผู้นำนิกายของท่านจึง...มันเป็นเพราะ...”
เศษเสี้ยวแห่งความขุ่นเคืองพุ่งผ่านดวงตาของยายประจิม “ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงจากตระกูลฮัว นิกายเมฆาพิรุณของเราไม่สามารถทนแรงกดดันจากผู้บัญชาการฮัว”
“ข้าเข้าใจ” จ้าวจื่อป๋อรู้สึกเสียใจ เขาไม่สามารถฆ่าคนด้วยดาบที่ยืมมา อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าพอที่จะวิจารณ์ฮัวเฉิงซาน
ยายประจิมกล่าว “เด็กคนนี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสอง เพียงเจ้าก็พอแล้ว ผู้บัญชาการจ้าว! ผู้นำนิกายของเราให้สัญญาไว้แล้วว่าตราบเท่าที่เจ้าสามารถส่งเทพธิดาน้อยที่อยู่ข้างกายเด็กนั่นให้นิกายเมฆาพิรุณ ผู้นำของเราจะมอบเม็ดยาเมฆาพิรุณให้เจ้าเป็นค่าตอบแทน”
เม็ดยาเมฆาพิรุณเป็นยาที่พิเศษมาก มันสร้างมาจากสมุนไพรจิตวิญญาณที่หายากและใช้วิธีลับในการปรุง แม้มันจะไม่สามารถเสริมสร้างพลังปราณ แต่มันสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกของพลังปราณ จ้าวจื่อป๋อไม่เข้าใจว่าเทพธิดาน้อยที่ถูกกล่าวถึงมีความพิเศษอย่างไร นิกายเมฆาพิรุณจึงให้ความสนใจนางถึงเพียงนี้
เขากล่าวด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “ท่านยาย ข้าจะโจมตีลูกน้องของตนเองได้อย่างไร? แต่ข้าจะจำเด็กผู้หญิงที่ท่านกล่าวถึงเอาไว้ ข้าจะไม่ทำให้นิกายที่น่านับถือของท่านผิดหวัง”
ยายประจิมกล่าว “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าอยากพาศิษย์ของข้าคนนี้ไปเที่ยวเมืองชิงเหอ”
“ศิษย์?” จ้าวจื่อป๋อรู้สึกสับสนแต่เขาเห็นเฉียนหรงจื่อที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะว่า “ขอบคุณ ท่านยาย”
ใบหน้าของจ้าวจื่อป๋อจมดิ่งลงทันที “หรงจื่อ นี่มันเรื่องใดกัน?”
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ยายประจิมอาศัยอยู่ในเมืองเจียเผิง เฉียนหรงจื่อเป็นคนดูแลนาง ในเวลาเพียงไม่กี่วัน นางก็สามารถสร้างสายสัมพันธ์และโน้มน้าวยายประจิมให้รับนางเป็นศิษย์ อย่างไรก็ตามจ้าวจื่อป๋อพึ่งได้ยินข่าวในเวลานี้ มันเหมือนเขาทำหน้าที่เป็นกระดานกระโดดน้ำให้นาง
เฉียนหรงจื่อยิ้ม “ท่านยายรู้ว่าข้าไม่เคยเข้าร่วมนิกายมาก่อน ดังนั้นท่านจึงรับข้าเป็นศิษย์ ข้าต้องการไปที่นิกายเมฆาพิรุณเพื่อฝึกฝนสักระยะ ข้าหวังว่าผู้บัญชาการจ้าวจะอนุญาติ”
พรสวรรค์ในการบ่มเพาะของนางเป็นที่ยอมรับและนางก็มีความงามบางอย่างในตัว แม้นางจะไม่ใกล้เคียงกับเทพธิดากลิ่นหอมแห่งสวรรค์ แต่มันก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของยายประจิม ในเวลาเดียวกันนางก็มีความสามารถในการโน้มน้าวใจคน การกระทำและคำพูดของนางเหมาะสมกับรสนิยมแปลกๆของยายประจิม นั่นทำให้หญิงชรารับนางเป็นศิษย์ ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
นางเป็นเหมือนเถาวัลย์พิษที่ขยายสาขายออกไปและไขว่คว้าโอกาศทั้งหมด นางพยายามปีนขึ้นที่สูงไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดเพียงเพื่อให้ได้รับแสงแดดมากขึ้น ในสายตาของนาง เฉียนเยี่ยนเหนิงไม่ถือเป็นสิ่งใด จ้าวจื่อป๋อก็ไม่ กระทั่งยายประจิมก็เช่นกัน ทุกคนเป็นเพียงเครื่องมือของนาง
ยายประจิมเป็นจอมยุทธ์ขั้นเก้าขณะที่จ้าวจื่อป๋อเป็นจอมยุทธ์ขั้นหก นางไม่แม้แต่จะต้องเปรียบเทียบว่าเครื่องมือชิ้นใดดีกว่า ด้วยร่มเงาของนิกายเมฆาพิรุณ นางไม่จำเป็นต้องก้มหัวประจบประแจงจ้าวจื่อป๋ออีกต่อไป นี่เป็นเหตุให้ทัศนคติของนางที่มีต่อเขาเปลี่ยนไป
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เป็นเพียงงาน มันไม่มีกฎห้ามสมาชิกเข้าร่วมนิกาย เช่นเดียวกับเตียวเฟยที่มาจากนิกาย ในความเป็นจริงหากจ้าวจื่อป๋อต้องการขัดขวางนาง เขามีหลายวิธีที่จะทำให้นางลำบาก อย่างไรก็ตามคนตรงหน้าเขาคือยายประจิม ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ากระทำการเช่นนั้น ยายประจิมกล่าวเรื่องนี้กับเขาแต่นางไม่ได้ขอความคิดเห็นหรือการอนุมัติ
เฉียนหรงจื่อยิ้ม นางมั่นใจมาก เหตุผลที่นางบอกจ้าวจื่อป๋อตอนนี้เพียงพอที่จะขจัดโอกาสทั้งหมดที่เขาจะขัดขวางนาง หากมีโอกาส จ้าวจื่อป๋อจะต้องคว้ามันไว้อย่างแน่นอน ไม่มีผู้ชายคนใดยินดีปล่อยผู้หญิงที่ว่านอนสอนง่ายและเชื่อฟังที่พวกเขาสามารถเล่นสนุกอย่างไรก็ได้ไป
จ้าวจื่อป๋อหรี่ตา “หรงจื่อ เจ้าจัดการพาตัวเองไปในที่ที่ดีได้แล้ว ในฐานะผู้บัญชาการของเจ้า ข้าต้องยินดีกับเจ้าด้วย หากเจ้าสามารถเรียนรู้ทักษะบางอย่างจากนิกายเมฆาพิรุณ เจ้าจะสามารถทำภารกิจของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน ข้าจะอนุญาตให้เจ้าลางานสองสามเดือน แต่เจ้าจะไม่ได้รับเม็ดยาใดๆระหว่างนี้ นอกจากนั้นข้ายังต้องพาพวกเจ้าที่เป็นสมาชิกใหม่ทั้งสามไปพบผู้บัญชาการทั้งสองที่เมืองชิงเหอ ดังนั้นเจ้าสามารถไปก่อนล่วงหน้า”
เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หากเขายืนกรานที่จะกีดขวางนาง เขาจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ นั่นทำให้เขาต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจ แม้เขาจะรู้ว่ามันเป็นคำพูดเคลือบน้ำตาลของเฉียนหรงจื่อซึ่งไร้ความจริงใจ แต่ความภาคภูมิใจของเขาในฐานะบุรุษยังถูกสั่นคลอน เขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกทอดทิ้ง นี่ทำให้เขาพัฒนาความไม่พอใจต่อเฉียนหรงจื่อขึ้นมา
ก่อนที่เฉียนหรงจื่อจะขึ้นรถม้า นางโค้งคำนับอย่างงดงาม “ขอบคุณผู้บัญชาการจ้าว อีกไม่กี่วันหรงจื่อจะกลับมารับใช้ท่านอีกครั้งเพื่อตอบแทนความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของท่าน” นางกล่าวเสริมในใจว่า ‘หากท่านยังมีชีวิตถึงเวลานั้น’
แม้นางจะเข้าร่วมนิกายเมฆาพิรุณ แต่สถานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ของนางยังเหมือนเดิม ดังนั้นก่อนที่นางจะแข็งแกร่งกว่าจ้าวจื่อป๋อ นางจะไม่ดูหมิ่นเขา อย่างไรก็ตามนางรู้สึกว่าจ้าวจื่อป๋อจะต้องตายในเงื้อมมือของหลี่ฉิงซานอย่างแน่นอน นี่เป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงและส่วนใหญ่มาจากการคำนวณทั้งหมดของนาง เห็นได้ชัดว่าไม่มีเหตุผลที่นางจะต้องสุภาพกับคนตาย
จ้าวจื่อป๋อกล่าว “แน่นอน” เขามองรถม้าแล่นออกไป ตอนนี้เขาไม่มีที่ระบายความปรารถนาที่อยู่ในเป้ากางเกงของเขาอีกแล้ว นั่นทำให้เขาทุบโต๊ะหินตรงหน้าอย่างแรงจนมันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
…..
ในเมืองชิงเหอ ภายในสวนเล็กๆของคฤหาสน์ตระกูลฮัว ฮัวเฉิงซานกล่าวกับฮัวเฉิงลู่ “เอาล่ะ ยายประจิมถูกเรียกตัวกลับจากเมืองเจียเผิงแล้ว นางจะไม่ก่อปัญหาให้เด็กนั่นในช่วงนี้”
ฮัวเฉิงลู่พยักหน้า “ดี”
ฮัวเฉิงซานกล่าว “หายากนักที่เจ้าจะร้องขอบางสิ่งจากข้าเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น”
“เพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่นงั้นหรือ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ของท่าน ข้าไม่ได้ขอแต่กำลังช่วยท่าน ท่านไม่รู้จักเขาจริงๆงั้นหรือ?”
ฮัวเฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง “เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าช่วยข้า เราไม่รู้จักกันจริงๆ เราเคยพบกันครั้งเดียว แม้ข้าจะไม่เคยคิดว่าเด็กนั่นจะรอดมาจากที่นั่นแต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวจื่อป๋อ!”
ฮัวเฉิงซานจมอยู่ในห้วงแห่งความคิด เกือบหนึ่งปีผ่านไปตั้งแต่วันนั้น ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับหลี่ฉิงซานเลือนลางไปเป็นส่วนใหญ่ เพียงเมื่อฮัวเฉิงลู่กล่าวถึงเด็กหนุ่ม เขาจึงจำเรื่องทั้งหมดได้ เขาค่อนข้างประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดว่าหลี่ฉิงซานจะสามารถรอดชีวิตออกมาจากภูเขาได้จริงๆและเด็กหนุ่มยังกล้าพอที่จะมาเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ภายใต้การนำของจ้าวจื่อป๋อ เขากระทั่งสร้างปัญหาให้จ้าวจื่อป๋อมากมาย
ฮัวเฉิงลู่ถาม “เหตุใดเขาต้องต่อต้าน?”
“ถึงบอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่”
ฮัวเฉิงลู่ก่นเสียงเย็น “เรื่องของผู้ใหญ่? หลี่ฉิงซานอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสอง การบ่มเพาะของเขาก็ไม่ต่างจากข้า!” การบ่มเพาะของนางอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นสอง ตอนนี้นางอยู่ห่างจากขั้นสามเพียงก้าวเดียว
“เหตุใดเจ้าไม่ไปฆ่าจอมยุทธ์ขั้นห้า?”
“เหตุใดข้าต้องไปฆ่าจอมยุทธ์ขั้นห้า!”
“เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงจอมยุทธ์พลังปราณแต่เขายังเป็นผู้บ่มเพาะร่างกาย หนึ่งเดือนก่อน เขาทำลายกองกำลังของจอมยุทธ์พลังปราณระหว่างปฏิบัติภารกิจแรก เขาสังหารจอมยุทธ์ขั้นห้า ผู้ดูแลหอเมฆาพิรุณของเมืองเจียเผิงก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นห้าเช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของคนผู้นี้ สิ่งสำคัญก็คือเวลานั้นเขายังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง”
ข้อมูลนี้ไม่ได้มาจากความแข็งแกร่งในฐานะผู้ฝึกตนของเขา แต่เป็นพลังอำนาจของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่มีหูตาอยู่ทั่วโลก อย่างไรก็ตามฮัวเฉิงซานไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เขามีหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าเหล็กดำหลายสิบแห่งอยู่ภายใต้การปกครอง เหตุใดเขาต้องสนใจบางคนจากเมืองเจียเผิง เพียงเมื่อฮัวเฉิงลู่กล่าวถึงเรื่องนี้ เขาจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบ ในไม่ช้ารายงานที่มีรายละเอียดมากมายก็วางอยู่บนโต๊ะของเขา และข้อมูลที่เขาได้รับก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
หลังจากได้รับข้อมูล ฮัวเฉิงลู่ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดยายประจิมจึงต้องออกตามหาหลี่ฉิงซาน เขามีพลังมากพอ เขาไม่แปลกใจที่เด็กหนุ่มสามารถต่อต้านกลิ่นอายและแรงกดดันของยายประจิม เช่นเดียวกับที่เขาไม่แปลกใจที่เด็กหนุ่มสามารถหลบหนีจากยายประจิมได้อย่างง่ายดาย
“ไม่จำเป็นต้องคิดมาก เจ้าควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบเข้าในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ข้าตรวจสอบผู้หญิงที่เจ้าพากลับมาแล้ว นิสัยของนางไม่เลว อารมณ์ของนางดีกว่าเจ้ามาก นี่คือเม็ดยาสำหรับนาง นางจะสามารถบ่มเพาะพลังปราณหลังจากกินมันเข้าไป” ฮัวเฉิงซานส่งยาให้ฮัวเฉิงลู่ มันเป็นยาที่ช่วยทำลายขีดจำกัดของพรสวรรค์
สำหรับหลี่ฉิงซาน เขาเป็นเพียงหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่น่าสนใจของฮัวเฉิงซาน เขาไม่คู่ควรที่จะได้รับความสนใจมากเกินไป ตราบเท่าที่หลี่ฉิงซานยังมีชีวิตอยู่ เขาเชื่อว่าพวกเขาจะได้พบกันในไม่ช้า
…..
หลี่ฉิงซานมองจันทร์เต็มดวงอยู่ท่ามกลางฝูงชนในเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้กับเมืองเจียเผิงและตระหนักว่ามันเป็นกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ในสถานที่ห่างไกล เขากลับสู่ร่างปีศาจ ตอนนี้เขาสูงมากกว่าแปดเมตร ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขาเกือบบรรลุความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัวแล้ว
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาหยุดกินยา ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาก็ช้าลงจนแทบหยุดนิ่ง ชัดเจนว่าถึงเวลาที่เขาต้องกลับเมืองเจียเผิงแล้ว
เขาตั้งใจหักขนมไหว้พระจันทร์ออกเป็นสองส่วนและส่งส่วนหนึ่งให้เสี่ยวอันก่อนจะพานางเดินผ่านฝูงชน เขาโผล่ออกมาจากคลื่นมนุษย์ที่กำลังเฉลิมฉลองและมุ่งหน้าสู่เมืองเจียเผิงโดยตรง
หลังจากลับมาถึงเมืองเจียเผิง หลี่ฉิงซานและเสี่ยวอันก็เก็บซ่อนกลิ่นอายทั้งหมดของพวกเขาและลอบขึ้นภูเขา หลี่ฉิงซานใช้จมูกดมกลิ่นและเป็นไปตามความคาดหมาย เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย มันเป็นกลิ่นน้ำหอมหนักๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยายประจิม ดังคาด ยายประจิมรอเขาอยู่ที่นี่
มีหลายวิธีสำหรับผู้ฝึกตนที่จะเก็บซ่อนกลิ่นอายของพวกเขา แต่คนเหล่านั้นมักหลงลืมเรื่องกลิ่นตัวของตนเอง หลี่ฉิงซานติดตามร่องรอยที่สดใหม่และไปถึงนอกเมือง ในที่สุดเขาก็ยืนยันว่ายายประจิมออกจากเมืองเจียเผิงไปแล้ว
หลี่ฉิงซานมองรูปปั้นอินทรีย์สีดำที่อยู่บนยอดเขาและเผยรอยยิ้ม ‘จ้าวจื่อป๋อ เม็ดยาที่อยู่บนตัวเจ้าควรจะทำให้ข้าบรรลุขั้นที่สองของหมัดปีศาจวัว!’