ตอนที่แล้วตอนที่ 696 ผิงเสี่ยวซาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 698 ส่งมอบไหมทอง

ตอนที่ 697 ทดสอบ


ผิงเสี่ยวซานไม่พูดแม้เมื่อถังเทียนจะใช้ไหมทองมัดมือเขาไขว้หลังและโยงมาถึงคอของเขาเหมือนกับลูกซาลาเปาเวลาที่ทั้งสองฝ่ายผลัดกันเคลื่อนไหวสั้นมาก  แต่ในการลองกำลังนั้นเขาเจ็บตัวจากการทุบตี เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่าย และรู้ว่าพลังของอีกฝ่ายเหนือเขาห่างไกล

อยู่ต่อหน้าคู่ต่อสู้เช่นนั้นขืนเล่นลูกไม้มีแต่หาเรื่องให้ตนเองอับอาย

‘ถ้าเขาต้องการฆ่าข้า  ข้าคงไม่มีชีวิตไปแล้ว’

ถ้าเป็นจากมุมมองของเขาอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องมัดเขา เขาเองก็ไม่สามารถหลบหนีได้ แต่ทัศนคติจริงจังของอีกฝ่ายทำให้เขาเลือกที่จะเงียบ

‘เขาดูอายุเยาว์มาก...’

ผิงเสี่ยวซานประหลาดใจมาก  เขาลอบประเมินถังเทียนคาดเดาเบื้องหลังของเขา  ‘หรือว่ามียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเซวีย?  ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเขามาก่อน แม่เฒ่าเจ้าเล่ห์ในตระกูลเซวียถูกขโมยมาก็หลายครั้งแล้ว’  ในเมืองจื่อจวนไม่ใช่เพียงตระกูลเดียวที่ต้องการจะขโมยของจากตระกูลเซวีย  ‘นักสู้แข็งแกร่งและอายุเยาว์อย่างนั้น  เขาต้องมาจากตระกูลใหญ่แน่ไม่เพียงแต่เขาต้องมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำคนอื่น แต่เขาต้องใช้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติมากมายเช่นกัน’

‘เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลเซวียจับร่องรอยบางอย่างได้และขอให้คนที่แข็งแกร่งมาช่วยสนับสนุนพวกเขาจากที่ใดที่หนึ่ง?’

‘นั่นคือการคาดเดาที่สมเหตุผลที่สุด ไหมทองมีราคาเป็นเงินมากมาย  ถ้าแม่เฒ่าเซวียใช้เป็นไพ่ต่อรองก็จะมีตระกูลใหญ่หลายตระกูลยินดีจะช่วย แม้ว่าทุกคนในแดนบาปจะผิดหวังกันหมด แต่พวกเขาก็ยังมีประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองของพวกเขาและกลยุทธในทางการเมืองของพวกเขาก็ดีเช่นกัน  การร่วมมือการประนีประนอมและการสู้รบจึงเกิดขึ้นถี่มาก’

ผิงเสี่ยวซานคิดอย่างรวดเร็ว และประการแรกถูกกำจัดไปจากเมืองจื่อจวน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่พวกเขาไม่ใช่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนบาป  ผิงเสี่ยวซานรู้จักตระกูลนักสู้ผู้แข็งแกร่งทุกคนของเมืองจื่อจวน

‘อย่างนั้นมันเป็นใคร?’

‘เขาใช้หมัด ตระกูลยิ่งใหญ่ในแดนบาปที่เชี่ยวชาญวิชาหมัดหมายก็คือตระกูลเลี่ยมีเพลงหมัดพิฆาต ตระกูลชี่เล่อมีเพลงหมัดดนตรีและตระกูลมู่ก็มีเพลงหมัดของตระกูลมู่เอง  กฎธรรมชาติของหมัดพิฆาตเองมีพลังที่เข้มแข็งและรุนแรงเป็นวิชาที่เดินหน้าฆ่ามันลูกเดียว ถ้าไม่ฆ่าก็ต้องเป็นฝ่ายถูกฆ่า หมัดดนตรีของตระกูลชีเล่อเดินตามแนวกฎดนตรีมีรูปแบบที่ลึกซึ้ง  วิชาหมัดตระกูลมู่ลึกลับมากที่สุด กฎธรรมชาติที่พวกเขามีไม่มีใครกล้ายืนยัน’

เมื่อคิดถึงหมัดที่เรียบง่ายแต่สั่นสะท้านใจผิงเสี่ยวซานรู้สึกว่าเขาอาจจะมาจากตระกูลมู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นหมัดพิฆาตหรือหมัดดนตรี กฎธรรมชาติชัดเจนมากและหมัดของถังเทียนยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้

ถ้าตระกูลเซวียพบผู้หนุนหลังในตระกูลมู่ อย่างนั้นคงไม่มีใครกล้าแตะต้องธุรกิจของตระกูลเซวียแน่

แม่เฒ่าในตระกูลเซวียมีไม้ตายซ่อนอยู่ในแขนเสื้อจริงๆโดยไม่มีใครรู้นางพบหนทางเชื่อมโยงกับตระกูลมู่ได้

ถังเทียนไม่รู้ว่าผิงเสี่ยวซานกำลังคิดไปไกล  ทั้งสองฝ่ายปะทะฝีมือกันในช่วงเวลาสั้นๆแต่เมื่อได้แลกความแข็งแกร่งกันนับเป็นเรื่องดีเยี่ยม และความแข็งแรงทางร่างกายของเขาก็ยังต่ำ  เขางุ่มง่ามมัดผิงเสี่ยวซานจากนั้นนั่งลงกับพื้นและหอบหายใจ

เขาเพิ่งจะก้าวเข้าไปในอาณาจักรกฎธรรมชาติและรู้เรื่องเพียงเล็กน้อย  ดังนั้นเขาจึงไม่คุ้นกับการเผชิญหน้ากันมากเท่าใดนัก  ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งรู้แจ้งบวกกับการรับรู้ที่แหลมคมและความแข็งแรงที่ไม่ธรรมดา  เขาคงไม่สามารถจับผิงเสี่ยวซานได้

ศึกแรกในแดนบาปก็ทำให้ถังเทียนรู้สึกกลัวเสียแล้ว  ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เรือรบครองอวกาศที่เต็มไปด้วยพลังหนาแน่น   แนวโจมตีซึ่งลงมานั้นเป็นภาพที่งดงาม แต่ในแดนบาปแค่เพียงความแตกต่างกันของกฎพลังธรรมชาตินิ้วเดียวก็อันตรายมากขึ้น  คาดการณ์ไม่ได้และหยั่งไม่ได้  ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดี  อาจจะนำไปสู่ความตายทันทีได้

ผิงเสี่ยวซานเองสังเกตว่าถังเทียนถึงกับอ้าปากหอบหายใจและหลั่งเหงื่อทั่วตัวก็ถอนหายใจโล่งอก  แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะแข็งแกร่ง  แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เขาสามารถรับได้

“เจ้าชื่ออะไร?”

ถังเทียนปาดเหงื่อและถาม  ในการต่อสู้,กฎธรรมชาติของถังเทียนครอบคลุมทั่วคลังสินค้า และไม่มีเสียงปรากฏ  ถังเทียนเข้าใจขึ้นมาบ้าง  ถ้าพลังงานเป็นของแข็ง  อย่างนั้นกฎธรรมชาติก็เหมือนหลักนามธรรมเป็นเหมือนมือที่มองไม่เห็น มือที่มองไม่เห็นนี้ไม่เพียงแต่ควบคุมพลังงานได้เท่านั้น  แต่สามารถควบคุมอากาศ เสียง แสงและความมืด ฯลฯ

‘มิน่าเล่ากฎธรรมชาติระดับสูงถึงได้แข็งแกร่ง  แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงเท่ากับวิชาจิตวิญญาณ แต่ความผันแปรของมันไม่อาจหยั่งได้’

“ผิงเสี่ยวซาน”  ผิงเสี่ยวซานตอบตามตรง

“เจ้ามาขโมยไหมทองใช่ไหม?”  ถังเทียนถาม

“ใช่”  ผิงเสี่ยวซานยอมรับ

ถังเทียนลูบหัวตัวเองเขาไม่รู้จะสอบสวนต่อไปยังไง เรื่องแบบนั้นมักปล่อยให้เป็นความคิดของปิงผู้มีความละเอียดและเจ้าเล่ห์ การพยายามหลอกล่อและโกหกต่อหน้าเขาเท่ากับหาเรื่องลำบาก

‘ข้าไม่รู้จะถามอะไรดี..ถ้าไม่อย่างนั้น... ดูเหมือนข้าจะล้มเหลวในงานรักษาความปลอดภัยเสียแล้ว?’

ถังเทียนเค้นสมองและในที่สุดก็ได้ความคิดอย่างหนึ่ง  “เมื่อครู่นี้เจ้าพยายามใช้วิชาอะไรหลบหนี?”

ผิงเสี่ยวซานตกใจ  “วิชาพรางตัวของตระกูลผิงของข้า”

“วิชาพรางตัวตระกูลผิง?”  ถังเทียนลอบระบายลมหายใจ และยิ้ม“มันไม่ใช่ชื่อเฉพาะอย่างนั้น  แต่มันสามารถใช้กฎอวกาศได้  มันทรงพลังมาก เจ้าสอนให้ข้าได้ไหม?”

ผิงเสี่ยวซานมองดูสีหน้ากระตือรือร้นของถังเทียนแล้วพูดไม่ออก

‘เจ้าผู้นี้...กำลังคิดอะไร?’

เมื่อเห็นว่าผิงเสี่ยวซานไม่พูดอะไร  ถังเทียนเสริมทันที  “ถ้าเจ้ายินดีสอนข้า  ข้าจะปล่อยเจ้าไป  แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจกลับมาขโมยไหมทองในอนาคตอีก”

ผิงเสี่ยวซานมองดูถังเทียนอย่างเหลือเชื่อ  เขาคงไม่พ่ายแพ้โดยมอบวิชาพรางตัว แม้ว่าวิชาพรางตัวตระกูลผิงจะเป็นวิชาเฉพาะ  แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนจากตระกูลมู่ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน  สิ่งที่ทำให้เขาสับสนก็คือว่า  ถ้าอีกฝ่ายต้องการวิชาลับเขาสามารถทรมานและเค้นเอาจากเขาได้เงื่อนไขที่มีเปรียบเช่นนั้นทำให้ผิงเสี่ยวซานสงสัย

ถังเทียนตบอกตัวเอง  “ข้าคือลูกผู้ชายตัวจริง พูดคำไหนคำนั้น!”

ผิงเสี่ยวซานเงียบอยู่ชั่วครู่  “จะ..จริงหรือ?”

“จริงจริงสิ!” เมื่อเห็นว่าผิงเสี่ยวซานสนใจ ถังเทียนยิ่งดีใจและกล่าว “ทำไมข้าต้องโกหกเจ้าด้วยเล่า?”

ผิงเสี่ยวซานรู้สึกเหมือนกัน  ว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องโกหกเขา  ‘ก็ได้,  ต่อให้เขาหลอกข้า,ข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว, ชีวิตของข้าอยู่ในเงื้อมมือของเขาแล้ว’  เมื่อคิดได้ดังนั้นผิงเสี่ยวซานพยักหน้า  “ก็ได้”

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

ผิงเสี่ยวซานมองดูร่างที่กระพริบอยู่รอบๆตัวเขาอย่างตกตะลึง ร่างนั้นเดี๋ยวหาย เดี๋ยวปรากฏ ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงถังเทียนก็ใช้วิชาพรางตัวของตระกูลผิงได้อย่างคล่องแคล่ว  แม้ว่าจะมีจุดบกพร่องอยู่หลายแห่ง  แต่เขาใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ผิงเสี่ยวซานจำได้ว่าเมื่อเขาฝึกวิชาพรางตัวเมื่อตอนยังเด็ก เมื่อเขายังเด็กต้องลำบากอยู่นานก่อนจะทำได้ดีขึ้น

‘เขาเรียนแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง...’

‘ช่างเถอะถ้าเขาเป็นศิษย์ตระกูลมู่ ก็ไม่มีอะไรแปลก..’

“อะไรนะ? เจ้าแซ่ถังหรือ?”  ผิงเสี่ยวซานตะลึง  ‘ไม่ใช่แซ่มู่  เขาไม่ได้มาจากตระกูลมู่!’

“ใช่แล้ว” ถังเทียนโอบไหล่ของผิงเสี่ยวซาน เหมือนกับว่าพวกเขาคุ้นเคยกันและกัน  “เจ้าสอนวิชาพรางตัวให้กับข้าจากนี้ไปเจ้าเป็นพี่น้องที่ดีของข้า ถ้ามีอะไร แค่พูดชื่อของข้า...”

ทันใดนั้นถังเทียนจำได้ทันทีว่าเขาไม่ได้อยู่ในทวีปซางโจวหรือกลุ่มดาวหมีใหญ่  เขาเปลี่ยนคำพูดทันที  “ก็แค่มาหาข้า”

‘หาเจ้า...’

ผิงเสี่ยวซานมองดูถังเทียนอย่างว่างเปล่า  เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเขาดูเหมือนสมองจะมีปัญหา  ‘เราเป็นศัตรูกัน  เราเพิ่งจะสู้กันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนและเจ้า.. โอว,, ข้ายังถูกมัดอยู่เลย’

ถังเทียนมองตามสายตาของผิงเสี่ยวซานและสังเกตได้ว่าผิงเสี่ยวซานยังถูกมัดอยู่ เขาหัวเราะทันที  “โอว ข้าลืมไปสนิทเลย”

ผิงเสี่ยวซานมองดูถังเทียนแก้เชือกให้อย่างว่างเปล่า ความตื่นเต้นของถังเทียนทำให้เขารู้สึกสับสน  ‘เจ้านี่...ไม่ปกติ!’

ผิงเสี่ยวซานไม่พูดอะไรออกมา  แต่เขารู้สึกอึดอัดใจมาก

“ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?”  ผิงเสี่ยวซานถามอย่างระมัดระวัง

“ใช่..ไปได้เลย”  ถังเทียนพูดเหมือนเป็นจริงเป็นจัง  “จำเอาไว้, ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไร เจ้ามาหาข้าได้”

ผิงเสี่ยวซานถามด้วยสีหน้ามึนงง  “เจ้าชื่ออะไร?”

“ถังเทียน!”  ถังเทียนเอามือแปะอกอย่างมีความสุข  “เจ้าเรียกข้าว่าหนุ่มชาวฟ้าได้เช่นกัน”

‘หนุ่มชาวฟ้า...’

หน้าของผิงเสี่ยวซานบิดเบี้ยว เขารู้สึกสับสนอย่างหนักกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ‘ชีวิตก็คงเป็นแบบนั้นคาดเดาไม่ได้และสับสน  แต่ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าบ้านี่’

แต่เพราะเหตุผลบางอย่างหมัดที่ดูเรียบง่ายของถังเทียนกลับผุดขึ้นมาในใจของเขา  มันดูเหมือนจะฝังแน่นอยู่ในใจของเขา  เขาจ้องมองถังเทียน  ก็ไม่สามารถมองทะลุเขาได้  เป็นไปได้ยังไงเจ้าคนสติไม่ดีนี่ปล่อยพลังหมัดอย่างนั้นได้?

และยังใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ใช้วิชาพรางตัวของตระกูลผิงได้ พรสวรรค์ขนาดนั้นสูงล้ำน่าประหลาดใจ

‘หลอกลวง! เขาต้องหลอกอำกันแน่ๆ!’

ใจของผิงเสี่ยวซานตื่นตัวการกระทำที่ไร้สมองของถังเทียน หลังจากตีความแล้ว เขาถึงกับเคร่งเครียด  ‘เจ้าผู้นี้กำลังวางแผนใหญ่บางอย่างไม่ว่าจะเป็นวิชาพรางตัวตระกูลผิง  ต้องเป็นความตั้งใจของเขาแน่เขาต้องวางแผนเอาไว้ก่อนอย่างแน่นอน นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ฆ่าข้า ทำไมเขาไม่ฆ่าข้า? เป็นเพราะเขามีแผนอยู่ในมือ!’

เหมือนกับว่าผิงเสี่ยวซานติดตาข่ายที่มองไม่เห็นซึ่งแผ่คลุมทั่วทั้งตระกูลเซวียอย่างเงียบงันทำให้เขาสั่นสะท้าน รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและไม่มีอันตรายของถังเทียนกลายเป็นน่ากลัวในสายตาของเขา

สีหน้าของผิงเสี่ยวซานเริ่มสงบลงและเขายิ่งคิดมากจนเขาลืมไปว่าเขาอยู่ที่ไหน

“เอ.. เจ้ายังจะไม่ไปอีกหรือ?”  ถังเทียนสังเกตว่าผิงเสี่ยวซานยังยืนงงอยู่ที่จึงรู้สึกประหลาดใจ

ผิงเสี่ยวซานสะดุ้งเรียกสติกลับคืนมาและตอบทันที “ข้ากำลังจะไปแล้ว!”

เพียงแค่นั้นเขาก็หลบหนีไปโดยไม่ลังเล

ถังเทียนมองดูร่างที่น่าสงสารของผิงเสี่ยวซาน  และอดเตือนเขาไม่ได้  “เฮ้, เจ้ากำลังไปผิดทาง!”

ผิงเสี่ยวซาน  “.....”

หลังจากผิงเสี่ยวซานจากไป  ถังเทียนยังคงฝึกต่อไป  หลังจากต่อสู้แล้ว  เขาได้รู้แจ้งแล้ว  เกรงว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขาจะลืม  ดังนั้นเขาทบทวนฝึกฝนอีกครั้งหนึ่ง

ในตอนเช้ากลุ่มของสตรีก็วิ่งเข้ามาในเรือนคลัง

“พี่หมิงจู, แม่นายผู้เฒ่าพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ? โอวตายแล้ว, นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ!”

“เรื่องอะไรกัน? คุณนายผู้เฒ่ายังไม่ได้สอบสวนเสร็จเลยไม่ใช่หรือ?  เขาแข็งแกร่งมากและกล้าหาญไม่กลัวใคร  บางทีท่านอาจจะชอบเขาก็ได้”

“ข้าเกรงว่าเขาหยาบกร้านเกินไป  สำหรับตระกูลเซวียของเรายังเป็นตระกูลเก่าที่มีสถานะจะเป็นเรื่องสะดวกสบายได้อย่างไร? ท่านยายทำเกินไปหน่อยในครั้งนี้...”

หมิงจูทนไม่ได้อีกต่อไปและตวาด  “พวกเจ้าทุกคน เงียบเลยนะ!  เรื่องการตัดสินใจของท่านยายต้องให้พวกเจ้ามาคอยวิจารณ์ตั้งแต่เมื่อใด?”

กลุ่มสตรีเหล่านั้นยังคงเงียบอย่างว่าง่าย  แต่มีสองสามคนที่มีท่าทางไม่สบายใจ

“การป้องกันที่คลังสินค้าเมื่อคืนนี้ยากมาก และยิ่งกว่านั้นเรือนคลังสินค้ายังเต็มไปด้วยไหมทอง  ราคาของไหมทองใครๆ ก็รู้ว่าค่าควรเมือง  ปล่อยให้เขาเฝ้าดูแลอย่างนั้นก็ยังคงเป็นการทดสอบนิสัยของเขา” หมิงจูมองไปรอบๆ เห็นว่าสตรีอื่นๆ กำลังคิดเลยเถิด  นางแค่นเสียง “พวกเจ้าจะมองเห็นความรอบคอบของนายผู้หญิงได้ยังไง?  การขอให้เขาเฝ้าดูแลสองสามคืน  เราจะสามารถมองเห็นนิสัยของเขา”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นกลุ่มสตรีพยักหน้าเห็นด้วย

“เมื่อเราไปดูเราจะไม่รู้ทุกอย่างหรอกหรือ?” หมิงจูกล่าว

พอดีพวกนางมาถึงหน้าประตูคลังสินค้า  หมิงจูผลักเปิดประตู และข้างในสว่างด้วยแสงแดด

คลังสินค้ายุ่งเหยิง  ไหมทองเกลื่อนไปทุกที่มีร่างหนึ่งนอนกรนเสียงดังสนั่น เสียงกรนของเขาราวกะฟ้าคำราม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด