ตอนที่ 695 ธนูติดปีก
ทันทีที่เด็กสาวยักษ์ปรากฏตัว นางจับมังกรแผ่นดินไหวทุ่มลงกับพื้น
พญาคชสารและมังกรแผ่นดินไหวแม้มีขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่เทียบกับนางที่มีความสูงมากกว่าสองร้อยเมตร
ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของขนาดร่างกายพวกมันก็คือพวกมันมีน้ำหนักมากเกินไป แม้ว่าส่วนสูงของพวกมันจะสูงไม่พอ พวกมันก็ยังสามารถจัดอยู่ในกลุ่มอสูรยักษ์ได้ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะแข่งขันกับอสูรยักษ์ดึกดำบรรพ์ซึ่งมีขนาดเหมือนกับเรือสำราญลอยฟ้า ฉลามปีศาจโบราณ จ้าวปลาหมึกร้อยหนวดและปลาไหลมังกรไฟฟ้า มังกรแผ่นดินไหวเป็นสายพันธุ์ย่อยของมังกร บางทีในช่วงเวลาของต้นกำเนิด มันอาจมีเลือดมังกรอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามลักษณะกายภาพและพลังของมันยังด้อยกว่ามังกรโบราณแท้อยู่มากมาย! พญาคชสารก็เหมือนกัน ด้วยพลังจักษุทิพย์ของเย่ว์หยางเขาเห็นได้ว่าพญาคชสารนี้ไม่ได้มีร่างกายใหญ่ขนาดนั้น มันได้รับเลือดของอสูรเทพบางอย่าง และหลังจากหลอมรวมกับโลหิตได้แล้วจึงมีขนาดและพลังเพิ่มขึ้น
พญาคชสารใช้งวงของมันรวบน่องของเด็กสาวยักษ์เอาไว้ มันต้องการพลิกร่างนางให้ล้มแล้วใช้เท้าทั้งสี่ของมันเหยียบย่ำนาง
“ฮ่า...!”
เด็กสาวยักษ์โกรธมากขึ้น
นางโน้มตัวลงและคว้างาของพญาคชสาร
พลังของแขนทั้งสองข้างถูกใช้ และบิดตัวพญาคชสารร่างเอียงไปข้างๆ แม้แต่เมื่อคู่ต่อสู้หันกลับมา มังกรแผ่นดินไหวบุกเข้าหาและกระแทกสีข้างของเด็กสาวยักษ์ทำให้นางเสียหลัก
หลังจากเด็กสาวยักษ์ถูกโจมตีแล้ว นางโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะทรงตัวเองไว้ได้
คราวนี้นางโมโหมากขึ้น นางคว้าคือมังกรแผ่นดินไหวและพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างมันและระดมหมัดใส่มังกรแผ่นดินไหวครั้งแล้วครั้งจนมันร้องโหยหวน พญาคชสารใช้งวงของมันรัดข้อมือของสาวยักษ์และฉุดนางลงมาจากหลังมังกรแผ่นดินไหวช่วยเหลือมันจากสภาพเลวร้าย เด็กสาวยักษ์กระโจนขึ้นและใช้ประโยชน์จากแรงเหวี่ยงกระแทกใส่หลังของมังกรแผ่นดินไหว ด้วยกระโดดเตะ นางเตะใส่ศีรษะของพญาคชสาร...
การต่อสู้ระหว่างทั้งสามน่ากลัวยิ่งกว่าสวรรค์ถล่มโลกทลาย
สุสานพังทลายอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้ที่จะทนรับการต่อสู้แบบนี้ได้ ทุกหนแห่งอสูรยักษ์ใหญ่ทั้งสามผ่านไปไม่มีอะไรหยุดพวกเขาได้
“พระเจ้า, นี่ช่างน่ากลัวจริงๆ!” หัวหน้าลี่เยี่ยนเพิ่งจะกระโดดออกมาจากซากหักพลัง ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นฉากภาพนี้ แม้ว่านางจะมั่นใจพลังของตนเอง แต่พอเทียบกับอสูรยักษ์ทั้งสามข้างหน้านาง มิอาจเทียบได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นขนาดร่างกายและพลัง พวกเขาล้วนแต่อยู่ในระดับที่ต่างกัน
เด็กสาวยักษ์เป็นเผ่าพันธุ์ไตตันชั้นสูง แม้ว่าจะสู้เพียงผู้เดียว แต่นางไม่ได้เสียเปรียบเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ทั้งสอง
นางสูงเกินสองร้อยเมตร และนางได้เปรียบมากในเรื่องความสูงเกินกว่าพญาคชสารและมังกรแผ่นดินไหว อย่างไรก็ตามร่างของพญาคชสารและมังกรแผ่นดินไหวมีขนาดใหญ่โตมโหฬารและน้ำหนักของพวกมันมีมากเกินไป นอกจากนี้ทั้งสองยังได้เปรียบที่จำนวนและระดับชั้นนักสู้ ในที่สุดแล้วชนะหรือพ่ายแพ้ก็ยากจะตัดสิน
“ไปลงนรกซะ!” โวกัวพบว่าพญาคชสารปราณฟ้าระดับห้า แข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคาดด้วยความช่วยเหลือจากมังกรแผ่นดินไหว แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นไตตันโบราณ พวกมันสามารถสู้ได้จนถึงที่สุด
เขาวิ่งเข้าหาลี่เยี่ยนซึ่งยังคงยืนอยู่ และใช้หมัดทั้งหกระดมโจมตีอย่างต่อเนื่อง
เขาวิ่งตรงไปเผชิญกับลี่เยี่ยนโดยตรง
ลักษณะของโวกัวง่ายและซื่อ แต่ในความเป็นจริงเขาเจ้าความคิด
มีเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกลี่เยี่ยนผู้ซึ่งมีระดับที่สูงกว่า คือตอนนี้เขาสามารถเห็นได้ว่าสาวยักษ์มีพลังล้วนๆ แต่ไม่มีอสูรศึกคอยช่วยนาง เมื่อเขาสู้กับนาง เขาจะมีความได้เปรียบ บุรุษหน้ากากนั้นแตกต่างออกไป อสูรของเขามีไม่สิ้นสุด และเขามีความเสียเปรียบในการสู้กับคนผิดธรรมดานั้น เขาตัดสินใจให้สหายของเขากู่เติ้งสู้กับบุรุษหน้ากาก และเขาจะรับหน้าที่ปราบสาวยักษ์นี้
“ข้าต้องกลัวเจ้าด้วยหรือ?” เมื่อถึงเวลาปะทะกันโดยตรง ลี่เยี่ยนก็ไม่กลัวเหมือนกัน
สาวยักษ์ปล่อยหมัดออกไป กระแทกใส่โวกัว
ขณะที่นางใช้วิทยายุทธ นางวิ่งวนอยู่รอบๆ โวกัวผู้มีความเร็วต่ำกว่านาง
อารมณ์ของนางดื้อดึง แต่นางไม่ใช่คนโง่แน่ ในสถานการณ์ที่พลังของนางใกล้เคียง นางไม่ฝืนสู้กับอสูรจนถึงที่สุด แต่ใช้ความคล่องแคล่วของนางและความเร็วจัดการกับพวกมัน
นอกจากนี้ปีศาจดำและอาหมันเริ่มสู้กันแล้ว
ไม่เพียงแต่ปีศาจดำมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่มันยังเชี่ยวชาญในการโจมตีด้วยพลังจิตของมัน ภายในสนามพลังจิตโดยมีร่างมันเป็นศูนย์กลาง คู่ต่อสู้ทั้งหมดจะได้รับผลกระทบจากพลังจิตของมัน ถ้าเป็นแต่ก่อนที่จะสู้กับปีศาจหน้าเห็ด อาหมันคงจะพบกับความยากลำบากในการต่อต้านพลังจิตโจมตีอย่างนั้น ซึ่งจะมาตรงไหนเมื่อใดก็ได้ ตอนนี้การป้องกันพลังจิตของนางเพิ่มขึ้นมาก...แม้ว่าจะยังมีผลอยู่บ้าง แต่พลังรบของนางยังคงอยู่อย่างน้อย 90% และไม่ได้ลดลงไปมากนัก... ปีศาจดำสู้อย่างเจ็บปวด แม้ว่ามันจะสูงถึงยี่สิบเมตร แต่พลังของมันยังด้อยกว่าอาหมันห่างไกล เมื่อมันถูกอาหมันทุบตี มันจะปลิวกระเด็นไปตามแรงทุบ โชคดีที่มันยังมีความสามารถพิเศษที่กลายเป็นควันและสลายพลังโจมตีของศัตรูได้ มิฉะนั้นมันคงจะถูกทุบตีจนตาย
ภายใต้พลังโจมตีของเหยี่ยวราตรีอสูรปราณฟ้าและหญ้าเริงระบำปราณฟ้าระดับหนึ่ง อิคคาบินขึ้นลงอย่างมีอิสระ
นางฝึกสามท่าลับซึ่งใช้ในการต่อสู้มาด้วย
หญ้าระบำไม่มีผลต่อการโจมตีจิตใจนาง และหนามหญ้าที่ยิงออกมาก็ถูกดาบนางฟ้าตัดได้อย่างง่ายดาย สำหรับเหยี่ยวราตรี มีความสามารถในการบิน แต่อยู่ต่อหน้าอิคคา มันดูเหมือนเมาและเคลื่อนไหวอย่างงุ่มง่าม
ความสามารถในการบินของพวกเขาแตกต่างระดับกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือทักษะการบิน เหยี่ยวราตรีถูกอิคคาบดบังหมด
เส้นทางลับพังถล่ม
เพราะการสู้รบระหว่างเด็กสาวยักษ์และพญาคชสารและมังกรแผ่นดินไหว สุสานและทางลับถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
กู่เติ้งบังคับให้เย่ว์หยางถอยอย่างต่อเนื่องไปที่วงเวทประตูเทเลพอร์ตของสุสาน
เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นตกอยู่ในกับดักของเขา
เมื่อสุสานพังทลาย พวกเขาถูกส่งและเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยทรายเหลือง ทันทีที่เขาถอยกู่เติ้งดีใจและไล่ตามทันที ลี่เยี่ยนเลิกสู้กับโวกัวทันที ในใจนางไม่ว่าเย่ว์หยางจะทรงพลังเพียงไหน แต่นางรู้สึกว่านางต้องปกป้องเขา แน่นอนโวกัวไม่ต้องการอยู่ในสุสานที่สามารถฝังเขาทั้งเป็นได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันเขาวิ่งเข้าไปในอีกโลกไล่ตามลี่เยี่ยนไป
อิคคา เหยี่ยวราตรี หญ้าระบำ อาหมันและปีศาจดำก็เข้าไปด้วยเช่นกัน
เหลือแต่เพียงอสูรใหญ่ยักษ์ที่ไม่เกรงกลัวจะถูกฝังทั้งเป็นยังคงรั้งอยู่ต่อไป
ยังไม่สิ้นสุดการต่อสู้
“แมงมุมทรายเขี้ยวเหล็ก!” เมื่อกู่เติ้งก้าวเข้ามาในโลกทราย เขาเรียกแมงมุมทรายเขี้ยวเหล็กปราณฟ้าระดับหนึ่งออกมาช่วยปีศาจดำสร้างกับดักจับอาหมัน
“ค้างคาวกินวัว” โวกัวยังคงเรียกอสูรปราณดินระดับแปดออกมาช่วยเหยี่ยวราตรีจัดการอิคคา
ในแง่สถานการณ์การต่อสู้ เหยี่ยวราตรีและหญ้าระบำตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากขึ้น โชคไม่ดีที่กู่เติ้งไม่มีอสูรบินอีกต่อไป และโวกัวก็ไม่มีอสูรบินมากนัก พวกเขาไม่ถนัดในการต่อสู้กลางอากาศ และอสูรบินก็คือจุดอ่อนของพวกเขา โวกัวลังเลอยู่นาน จากนั้นจึงเรียกแมงป่องดาวซึ่งมีระดับความภักดีต่ำออกมาให้มันร่วมรบ
แมงป่องดาว : อสูรทองระดับสิบ (เทียบเท่าปราณฟ้าระดับหนึ่ง) เลือดทอง, เปลือกผิวลายดาว มีปัญญาระดับต่ำ ทักษะพิเศษ : พิษแมงป่องที่ เยื่อพันดวงดาว
สิ่งที่ทำให้โวกัวมีความสุขก็คือหลังจากที่เรียกเจ้าแมงป่องดาวนี้ออกมา มันไม่ได้ทรยศเขา
มันไม่ได้โจมตีทันที แต่เคลื่อนไหวไปมาราวกับว่าหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม เพราะช่วงเวลานั้นมันไม่แน่ใจว่าจะโจมตีอาหมันหรืออิคคาที่บินอย่างงดงามในท้องฟ้า
“ตัวหมัดระเบิด” โวกัวเรียกอสูรตัวสุดท้ายออกมา
แม้ว่ามันจะเทียบเท่ากับอสูรปราณดินระดับห้า หรืออสูรชั้นทองระดับห้า โวกัวไม่คาดหวังว่าตัวหมัดจะสามารถทำร้ายศัตรูได้ ตราบใดที่มันสามารถรบกวนอิคคาในทองฟ้าได้ อย่างที่คาดไว้ ทันทีที่ตัวหมัดปรากฏมันกระโดดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง อิคคาไม่กังวลใจแม้แต่น้อย สามท่าร่างลึกลับที่นางเรียนรู้ฝึกเสร็จพอดี อิคคารำคาญจึงยิงปืนใหญ่ไป 8-9 ครั้ง แต่ร่างของตัวหมัดไม่ใหญ่และความเร็วของมันน่าทึ่ง บวกกับโชคอีกเล็กน้อย ปืนใหญ่ทั้งเก้านัดจึงยิงไม่ถูก
อิคคาควงดาบนางฟ้าพุ่งลงไปข้างหน้าพร้อมจะสังหารตัวหมัดที่น่ารำคาญ
มันตระหนักได้ว่าสถานการณ์แย่ จึงรีบซ่อนตัวในหลุมทรายที่แมงมุมทรายเขี้ยวเหล็กสร้างไว้ ไม่กล้าออกมา
เหยี่ยวราตรีและหญ้าระบำ และค้างคาวกินวัวตามมารุมล้อมนางทั้งหมดอิคคาได้แต่บินขึ้นด้วยความรังเกียจและเปลี่ยนเป็นร่างสองรูปร่างเหมือนเย่ว์ปิง และฝึกฝนสามท่าร่างลึกลับต่อเนื่อง
กู่เติ้งควงดาบโค้งยาวเข้าต่อสู้กับเย่ว์หยาง
มือซ้ายเย่ว์หยางถือดาบจันทร์เสี้ยว ขณะที่ประดาบกับกู่เติ้งด้วยทักษะรบ มือขวาของเขาถือดาบเทาเถี้ย ดาบที่ถือนี้ไม่มีการเคลื่อนไหว ยังคงสะสมพลังโจมตีรุนแรง
เพราะเหตุนี้กู่เติ้งไม่กล้าทุ่มพลังโจมตี เพราะกลัวเย่ว์หยางตอบโต้หนัก
เมื่อดาบสองเล่มปะทะกัน ประกายดาบกระจายแปลบปลาบเหมือนดอกไม้ไฟ
เหมือนดอกไม้ไฟเต็มท้องฟ้า
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงการต่อสู้ก็อยู่ในลักษณะยันกันเหมือนเคย และทั้งสองฝ่ายถูกตรึงในลักษณะยันกัน
หลังจากประฝีมือกันเป็นร้อยกระบวนท่ากับลี่เยี่ยน ร่างและพลังของเขาค่อยๆ อยู่ในสภาพโทรมลง เขาตะโกนใส่กู่เติ้ง “เจ้ากำลังรออะไรอยู่? ถ้าเจ้าไม่สามารถรับมือเจ้าบุรุษหน้ากากได้ งั้นมาเปลี่ยนคู่ต่อสู้กัน” เขาพบว่าแม้ว่าสาวยักษ์ลี่เยี่ยนนี้จะไม่มีอสูรรบช่วยเสริมพลัง แต่ไม่ง่ายที่จะจัดการนาง ก่อนอื่นเลย ระดับของคู่ต่อสู้ของเขาก็สูงกว่าอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจำนวนอสูรเสริมพลังของเขามีมาก เขาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือสาวยักษ์ผู้นี้ปล่อยหมัดเป็นร้อยเป็นพัน แต่นางไม่แสดงให้เห็นอาการเหน็ดเหนื่อย
ความอดทนของนางน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าแรงของนาง
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพียงเพราะโวกัวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้แต่ลี่เยี่ยนเองก็ยังรู้สึกว่าความอดทนของนางดีกว่าเมื่อก่อน
เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อเจ้าเด็กนั่นใช้เพลิงอมฤตชำระร่างของนางปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายของนาง
อย่างไรก็ตามปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างกาย นี่ไม่เป็นการโอ้อวดไปหน่อยหรือ?
ในอดีต, ลี่เยี่ยนสามารถคงอยู่ได้มาเป็นเวลานาน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมาถึงได้ในระดับอย่างวันนี้... ตอนนี้ ไม่เพียงแต่นางไม่เหนื่อย แต่นางยังตื่นเต้นมากเหมือนกับว่านางแค่เริ่มอุ่นเครื่องเท่านั้น
“เฮ้ เฮ้ หยุดก่อกวนได้แล้ว!” เมื่อกู่เติ้งเห็นว่าโวกัวโยนลี่เยี่ยนมาให้เขาด้วยตั้งใจจะแลกเปลี่ยนคู่ต่อสู้ เขาอดรู้สึกกลัวไม่ได้ เขาไม่เคยสู้กับบุรุษหน้ากากผู้นี้มาก่อน ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้ทรงพลังมากแค่ไหน เจ้าเด็กนี่มีแผนตามหลังทุกความเคลื่อนไหว และเขาสามารถใช้พลังของศัตรูสะท้อนกลับมา การสู้กับเขาต้องใช้วิชาของนักสู้ปราณฟ้าก็เท่ากับหาเรื่องเจ็บตัว
กู่เติ้งรู้สึกว่าการต่อสู้กับเย่ว์หยางอาจเป็นการกระทำที่โง่ที่สุดก็ได้
ทักษะต่อสู้ของเจ้าเด็กนี่เลิศล้ำจริงๆ ไม่ว่าการโจมตีใดถูกยับยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่แย่ที่สุดคือใช้พลังของเขาย้อนกลับมาโจมตีล้วนๆ ซึ่งสะท้อนกลับออกมาได้สมบูรณ์
“การอุ่นเครื่องจบแล้ว...” ร่างของเย่ว์หยางทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า โดยมีเขาเป็นศูนย์กลางบัวเพลิงสวรรค์และคลื่นเยือกแข็งแยกทะเลทรายเหลือเป็นโลกสองส่วนแตกต่งกัน เขาเก็บดาบจันทร์เสี้ยวและดาบเทาเถี้ย อาเหยาอาหยูสองเทพองครักษ์ศึกปรากฏตัวข้างเขา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางร่วมมือกับเขาต่อสู้อย่างเป็นทางการ
ในแดนสวรรค์ เพราะเย่ว์หยางกังวลว่าพลังที่แท้จริงจะแพร่กระจายออกไป เขาจึงไม่มีโอกาสได้ร่วมสู้กับเทพองครักษ์ศึกของเขา
ตอนนี้ ในโลกที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ ในที่สุดก็มีโอกาสได้แสดงฝีมือ
“ธนูติดปีก...” หลังจากฝึกกับสองสาวเทพองครักษ์ศึก เย่ว์หยางมีความเข้าใจเคล็ดในการเปลี่ยนเป็นอาวุธเทพร่างมนุษย์
แม้ว่ายังห่างไกลจากการใช้พลังงานเต็มที่ ก็ยังถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี เขาเหยียดแขนคว้าเอวบอบบางของเทพองครักษ์ศึกผู้น้อง สาวมังกรผู้น้องชื่อว่าอาหยูเหยียดร่างตรง มือและขาของนางรวบเข้าด้วยกัน และตลอดทั้งตัวนางโก่งงอเป็นรูปคันธนู